xs
xsm
sm
md
lg

“ส.ศิวรักษ์” เตือนอย่าคาดหวัง คสช.เหน็บเนติบริกรเชื้อโรคที่แท้จริง จี้เลิก ม.112

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ (แฟ้มภาพ)
“ส.ศิวรักษ์” ชม คสช. เป็นผู้ดี ไม่แตะ “คุณหญิงพจมาน” อดีตเมีย “ทักษิณ” และครอบครัว หลังยึดอำนาจ แนะประชาชนอย่าคาดหวัง คสช. มากเกินไป เหน็บเนติบริกร และผู้เชี่ยวชาญบางคนนึกว่าตัวเองเป็นแพทย์ จะมาเยียวยาโรคทางสังคม หารู้ไม่ว่าตัวเองคือเชื้อโรคที่แท้จริง พร้อมจี้ คสช. ยกเลิก ม.112 ก่อนจะหายนะ ชี้ คสช. ซื่อสัตย์ ทำงานเร็ว ไม่พอต้องมีความกล้าหาญทางจริยธรรมด้วย ยกวาทะประธานาธิบดี ไอเซนฮาวน์ ให้เป็นแนวทางทำงาน บอกมีเสียงนินทา แกนนำมีการวางแผนขึ้นเป็นนายกฯเอง หลังเกษียณ

นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา “ส.ศิวรักษ์” นักเขียนเจ้าของรางวัลศรีบูรพา ประจำปี 2537 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจชื่อว่า “Sulak Sivaraksa” เรื่อง “หนึ่งเดือน คสช.” ว่า การยึดอำนาจของ คสช. เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ครบเดือนเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ตามเสียงประชาชน ดูจะเป็นที่พอใจมากกว่าเสียใจ กรณียกิจในระยะสั้นๆ ดูจะแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างรวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะเรื่องจำนำข้าว หรือการโยกย้ายข้าราชการที่มีทีท่าว่าทุจริต หรือโยงใยไปยังทักษิณ ชินวัตร แม้ คสช. จะไม่เอ่ยชื่อบุคคลผู้นั้นโดยตรง และดูจะไม่ทำอะไรให้กระทบกระเทือนอดีตภรรยาเขาและคนในครอบครัว จนมีคนสงสัยว่าจะมีการฮั้วกันกับเสี่ยแม้วอย่างไรบ้างหรือไม่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า คสช. แสดงความเป็นผู้ดี อย่างน่าชม

การคืนความสุขให้ประชาชนด้วยวิธี bread and circuses ที่พวกโรมันทำมาก่อนแล้วราวๆ ๒ พันปี ก็ได้ผลดีในระยะสั้น แต่น่าจะตราไว้ด้วยว่า เรื่อง “ยุทธหัตถี” นั้นเป็นการมอมเมาประชาชน หรืออย่างน้อยก็เป็นการแสดงอภินิหาร อย่างเกินเลยประวัติศาสตร์ไปมาก หาก คสช. ไม่ไยดีกับสัจจะเสียแล้ว ผลงานของเขาก็จะไปสู่ความจริง ความดี และความงามไม่ได้

เฉกเช่นการตั้งคนเก่าๆ ในระบบเก่าให้แก้ไขแบบเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมืองด้วยแล้ว มันก็จะลงอีหรอบเดิม ซึ่งเพิ่มความน่าเบื่อให้กับเยาวชน ยิ่งกว่าจะเป็นไปในทางความสนุกสนานอันควรคู่ไปกับความจริง และความดี

ดังเคยกล่าวมาก่อนแล้วว่าผู้เชี่ยวชาญบางคนนึกว่าตนเป็นแพทย์ จะมาเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บทางสังคม โดยหารู้ไม่ว่า พวกเขาคือเชื้อโรคแท้ทีเดียว ทั้งนี้รวมถึงเนติบริกรที่รับใช้เผด็จการตลอดมานั้นด้วย

แม้หลายคนจะรังเกียจการควบคุมสื่อ และอึดอัดกับการก้าวก่ายทางอิสรภาพ แต่คนไทยก็ใช้คำพูดในทางส่วนตัวได้มิใช่น้อย แม้จะแสดงออกทางสื่อสาธารณะไม่ได้ดังแต่ก่อน และมองเห็นไปในทางที่ปราศจาก hate speeches มากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นบุญกิริยาในระยะยาว

จะอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังมีการสั่งให้คนมารายงานตัว แทนเชิญผู้คนอย่างผู้ดีหรืออย่างคนที่เสมอกัน นั่นเป็นการแสดงออกของเผด็จการแท้ทีเดียว แม้บางคนจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่บางคนก็ถูกคุมตัวไว้อย่างรุนแรงจนเกินเลยไป ทั้งศาลไทยโดยทั่วๆ ไปก็เข้าข้างผู้มีอำนาจยิ่งกว่าจะยืนหยัดอยู่ข้างคนเล็กคนน้อย ซึ่งอาจบริสุทธิ์ แต่ศาลก็ต้องการให้เขาไปพิสูจน์ต่อหน้าตุลาการ ที่ซ้ำร้ายก็คือหลายคนไม่ได้รับการประกันตัวอีกด้วย

ยิ่งกรณีหมิ่นเบื้องสูงด้วยแล้ว คสช. ถือเป็นเรื่องอันสำคัญนัก ที่น่าจะนำความหายนะมาให้ คสช. และสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ นั้น ถ้ากล้าจริงก็ควรนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ซึ่งเคยมีพระราชวาจามาก่อนแล้ว ว่าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำร้ายพระองค์ท่าน และทำให้สถาบันกษัตริย์สั่นคลอน รัฐบาลที่แล้วๆ มา ใช้มาตราดังกล่าวเป็นเครื่องมือประเทืองอำนาจของตน โดยอ้างว่าจงรักภักดี แต่ไม่ไยไพกับพระบรมราชโอวาทเอาเลย ถ้า คสช. มีกึ๋นและจงรักภักดี ต้องแก้ประเด็นนี้ให้ตก โดยปล่อยมาตรานี้ไว้อย่างที่เป็นอยู่ มีแต่ผลร้ายถ่ายเดียว ถ้าไม่กล้าเลิก ก็ควรตั้งมาตรการให้รอบคอบ ซึ่งจะช่วยคนถูกฟ้อง ช่วยลดงานให้ตำรวจ อัยการ และศาล เป็นอย่างยิ่ง

ที่ว่ามานี้ ก็ด้วยความหวังดี ดังได้เขียนคำเตือนมาเป็นระลอกๆ แล้ว แม้ คสช. จะไม่ไยไพ มหาชนคนไทยก็รับรู้กันกว้างขวางมิใช่น้อย

การที่ คสช. ซื่อสัตย์สุจริต และประกอบกรณียกิจอย่างรวดเร็วทันใจนั้น น่าอนุโมทนา ผิดกับ รสช. ซึ่งเข้ามาโกงกินแต่แรกเลยทีเดียว แต่ความสุจริตอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความกล้าหาญทางจริยธรรม ประกอบไปกับความมีใจกว้าง โดยให้ตรวจสอบได้ แม้ฝ่ายตรงกันข้ามจะท้าทายหรือด่าว่า ก็น่าจะรับฟัง ดังในหลวงรัชกาลที่ ๗ ตรัสแต่ในสมัยราชาธิปไตยว่า จะห้ามราษฎรด่าพระเจ้าแผ่นดินนั้น เป็นไปได้หรือ

ขอย้ำอีกทีว่าที่ คสช. ซื่อสัตย์สุจริตนั้น นับว่าน่าอนุโมทนา แต่มวลมหาประชาชนต้องจับตาดูด้วยว่างบประมาณด้านทหารจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง โดยที่การกินตามน้ำและการทุจริตอย่างแอบแฝง พ่วงไปกับการจับจ่ายใช้สอยทางด้านนี้มิใช่น้อย พร้อมกันนี้ก็อยากให้หัวหน้า คสช. สำเหนียกไว้ด้วยว่า ประธานาธิบดี ไอเซนฮาวน์ นั้น เคยเป็นนายพลห้าดาวที่รบชนะเยอรมันและอิตาลีมาก่อนแล้วในสงครามโลกครั้งที่สอง หากเมื่อท่านมาเป็นประมุขรัฐ ท่านมีวาทะอันน่าชื่นชมดังนี้

National security does not mean militarism or any approach to it. Security cannot be measured by the size of munitions stockpiles or the number of men under arms or the monopoly of an invincible weapon. That was the German and Japanese idea of power which, in the test of war, was proved false. Even in time of peace, the index of material strength is unreliable, for arms become obsolete and worthless; vast armies decay while sapping the strength of the nations supporting them; monopoly of a weapon is soon broken.

และ

Every gun that is made, every warship launched, every rocket fired signifies a theft from those who hunger and are not fed, those who are cold and are not clothed. This world…. is spending the sweat of its laborers, the genius of its scientists, the hopes of its children. The cost of one modern heavy bomber is a modern brick school in more than 30 cities. It is two electric power plants, each serving a town of 60,000 populations. It is two fine, fully equipped hospitals. It is some 50 miles of concrete pavement. We pay for a single fighter plane with a half-million bushels of wheat. We pay for a single destroyer with new homes that could have housed more than 8,000 people This is not a way of life at all Under the cloud of threatening war, it is humanity hanging from a cross of iron.

ถ้าหัวหน้า คสช. ดำริตริตามถ้อยคำภาษาอังกฤษที่ยกมาให้อ่านกันนี้ น่าจะเป็นคุณประโยชน์

ในรอบหนึ่งเดือนมานี้ มีคนเห็นด้วยกับ คสช. มาก หากต้องตราไว้ว่านี่เป็น honey moon period ควรดูสิว่าหลังจากสามเดือนไปแล้ว สภาพของ คสช. จะเป็นอย่างไร อาจมีเสียงขยายกว้างออกไปว่าเชย หรือโกรธขึ้งที่บังคับให้ผู้คนต้องสยบอยู่อย่างเนืองนิตย์อีกด้วย

พร้อมกันนั้น ก็มีเสียงนินทาอย่างหนาหู ว่าผู้แต่งเพลงได้เตรียมการทางกองทัพให้เข้มแข็งไว้ให้หมู่บริษัทบริวารของตน เมื่อถึงเวลาตนจะได้ปลดเกษียณจากการเป็นแม่ทัพมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ประชาธิปไตยครึ่งใบ เพราะเนติบริกรที่เคยรับใช้เผด็จการ จะร่างรัฐธรรมนูญในอุดมคติกระไรได้

ยิ่งจะให้ คสช. ทำอะไรๆ ในทางอุดมคติ ย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้เพียงประวัติศาสตร์ชาติไทย เขายังแลเห็นได้ไม่ชัด ไม่เพียงแต่กรณีของพระนเรศวร หากรวมถึง เสด็จพ่อ ร.๕ ด้วย ทั้งสองพระองค์มีแง่ลบรวมอยู่ด้วยมิใช่น้อย อย่ามองแต่แง่บวกอย่างเดียว และถ้าไม่กล้ามองไปที่คณะราษฎร และผลงานของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งก็มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวด้วยแล้ว เราก็ย่อมอยู่แต่ในความฝันอันเราสร้างขึ้นเองอย่างน่าสมเพทเวทนา

ส.ศ.ษ.


กำลังโหลดความคิดเห็น