xs
xsm
sm
md
lg

หันหัวกลับ พึ่งตัวเอง-พอเพียง-ไม่เลิกคบเพื่อนความสุขยั่งยืน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ได้ยินจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เน้นย้ำเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้คนไทย โดยเขากล่าวเป็นเป็นแนวทางในการบริหารบ้านเมืองที่กำลังขับเคลื่อนให้ไปสู่เป้าหมายดังกล่าว

ในการจัดรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ได้เน้นย้ำเรื่องดังกล่าวอีกครั้งว่าต้องการให้แนวทางการบริหารบ้านเมืองโดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยยึดถือความพอประมาณ พอเพียง มีคุณธรรมเป็นภูมิคุ้มกัน ก็ต้องถือว่าเป็นการชะลอความเร็วมานั่งทบทวนก่อนจะดิ่งลงเหวพร้อมกันได้อย่างทันท่วงที

ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจากจากระบอบทุนนิยมธรรมดา กลายพันธุ์มาเป็น “ทุนนิยมสามานย์” ที่ผูกขาด เอาเปรียบ จนในที่สุดระบบเศรษฐกิจในบ้านเรามีความร่ำรวยกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่ครอบครัว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกกันว่าในยุคระบอบทักษิณ ที่เป็นยุค “ทุนนิยมสามานย์” แบบเต็มขั้น เป็นยุคที่มีการสร้างภาพลวงตาว่าเป็นยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟู มีการจับจ่ายใช้คล่อง แต่ในความเป็นจริงก็คือ “การเป็นหนี้” ของชาวบ้านทั้งประเทศ อันเกิดจากการสร้างกระแส “ความต้องการเทียม” การใช้จ่ายเกินตัว จนตกเป็นทาสสินค้าฟุ่มเฟือย มีการส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ จนครั้งหนึ่งหากจำกันได้ ทักษิณ ชินวัตร บอกว่า “หากอยากรวยก็ต้องเป็นหนี้เสียก่อน” ผลที่ตามมาก็คือหนี้สินครัวเรือนที่สูงปรี๊ด ไม่ได้รวยตามที่พูด มีแต่ความจนที่เพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะในกลุ่มชาวไร่ชาวนา ชนชั้นล่างที่มีรายได้น้อย ขณะที่อานิสงส์ความร่ำรวย ความมั่งคั่งกลับไปตกอยู่กับกลุ่มทุนของพวกนักการเมืองที่มีอำนาจ นั่นคือธุรกิจในครอบครัวของทักษิณนั่นแหละ ต่อเนื่องมาจนถึงยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกือบหายนะจากนโยบายประชานิยมสารพัด แน่นอนว่าในความทรงจำก็คือ โครงการรับจำนำข้าว ที่ขาดทุนไปกว่า 5 แสนล้านบาท มีการทุจริตกันอย่างมโหฬาร ทุกอย่างล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

จนกระทั่งเกิดการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศทันทีว่า “ต้องปฏิรูปกันทุกภาคส่วน” แน่นอนว่าต้องได้รับการขานรับในเบื้องต้นอย่างล้นหลาม จนต่อมาเขาได้ยืนยันถึงแนวทางในการขับเคลื่อนบ้านเมืองในอนาคตโดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้กับคนไทยมานานหลายปีแล้ว เพียงแต่ว่าหลายรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ได้นำมาใช้อย่างจริงจัง มีแต่พูดด้วยปากเท่านั้นไม่ได้ส่งเสริมการปฏิบัติจริง

หรือแม้แต่บางยุคเช่นในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร มีการโจมตีแนวทางปรัชญาดังกล่าวในทำนองว่า “ถ่วงการพัฒนา” เสียอีก อ้างว่าไม่ได้ส่งเสริมการลงทุน การค้า เพราะคำว่า “พอเพียง” ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ว่าจะทำอะไรให้รู้จักประมาณตน มีความรอบคอบ ใครมีกำลังแค่ไหน ก็ทำเท่านั้นไปก่อน เมื่อมีความเข้มแข็งเชี่ยวชาญแล้ว ขยายออกไปตามความสามารถ ไม่ใช่ทำการค้าไม่ได้ ลงทุนไม่ได้

แต่การขัดขวางบิดเบือนน่าจะมาจากผลกระทบที่ตัวเองกอบโกยไม่ได้

นอกจากนี้ แนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คสช. ที่ย้ำว่าต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้นั้น ก็ถือว่าเป็นหัวใจของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพราะคนเราจะทำอะไรให้เกิดความสำเร็จ มั่นคงแบบยั่งยืนก็คือพึ่งพาตัวเองให้ได้ก่อน ให้ตัวเองเกิดความเข้มแข็งก่อน เมื่อตัวเองเข้มแข็ง ประสบความสำเร็จเหลือกินเหลือใช้ก็ส่งขายภายนอก รวมทั้งช่วยเหลือเจือจานเพื่อนบ้านต่อไป ไม่โลภโมโทสันจนเกินพอดี ซึ่งจะว่าไปแล้วแนวทางดังกล่าวก็อิงแอบมาจากหลักของพระพุทธศาสนา ที่ยึดความพอดีนั่นเอง

ขณะเดียวกัน การเดินหน้าชี้แจงต่างประเทศเพื่อทำความเข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็นในการเข้ายึดอำนาจของ คสช.ยังต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญไม่ไปตอบโต้หรือต่อล้อต่อเถียง ยืนยันว่าจะรักษาข้อตกลงเดิมที่เคยทำกันไว้ รวมทั้งคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของต่างชาติที่เคยเป็นมาไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความมั่นใจ สร้างบรรยากาศในการลงทุน ความหมายก็คือเรายังคบเพื่อนอยู่เหมือนเดิม หากเพื่อนคนไหนยังไม่เข้าใจ แม้จะมีเจตนาแฝงเข้ามาก็ยังอดทนชี้แจง อะไรประมาณนี้

ดังนั้น การกลับมาเน้นแนวเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตัวเอง ก็เหมือนกับว่าเราได้หันหัวกลับมาสู่ความเป็นตัวตนของเรา สร้างความเข้มแข็งในแบบของเรา ในตอนแรกอาจไม่หรูหราฟูฟ่านัก แต่ในเมื่อมันคือความสุขที่ยั่งยืน มันก็สมควรเดินไปทางนั้นไม่ใช่หรือ!!
กำลังโหลดความคิดเห็น