รายงานการเมือง
ยังไม่จบไม่สิ้นในส่วนของความไม่ชอบมาพากล โครงการจัดซื้อจัดจ้างผู้ให้บริการติดตั้ง และวางโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล หรือ “เครื่องส่งทีวีดิจิตอล” ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เพราะยิ่งขุดยิ่งคุ้ยก็ยิ่งเจอ “ตอ” มากขึ้น
เปลือยกายเผยโฉม “มาเฟีย” แห่งแดนสนธยาออกมาเรื่อยๆ
ภายหลังจากที่ “เอเอสทีวีผู้จัดการ” ได้นำเสนอความล่าช้าของโครงการจัดซื้อเครื่องส่งดิจิตอลทีวีของ อสมท ที่ได้ตัวผู้ชนะโครงการไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการลงนามในสัญญาแต่อย่างใด ท่ามกลางกระแสข่าวว่า จะมีการยกเลิกโครงการจัดซื้อ ทั้งๆ ที่ผู้ได้รับเลือกอย่าง “บริษัท เทค ทีวี จำกัด” ได้ดำเนินการสั่งซื้ออุปกรณ์ และเตรียมบุคลากรเพื่อให้ทัน “เดดไลน์” ที่กำหนด รวมทั้งแจ้งขอเข้าดำเนินการติดตั้งไปยัง อสมท หลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้ส่งมอบพื้นที่สถานีสำหรับติดตั้ง แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ
ล่าสุด เรื่องมาแดงขึ้นอีกเมื่อ อสมท กลับเลือกใช้วิธีการ “เช่าเครื่อง” จากผู้ประกอบการรายอื่น โดยตั้งเรื่องโครงการจัดเช่าคู่ขนานไปกับการจัดซื้อที่ยังค้างคาอยู่ ส่งผลให้ อสมท ต้องสูญเสียงบประมาณโดยใช่เหตุถึง 18 ล้านบาท ทั้งๆ ที่เครื่องส่งที่ใช้ออกอากาศอยู่ในขณะนี้ก็เป็นเครื่องที่ “เทคทีวี” ให้ยืมใช้ในช่วงทดลองออกอากาศ และยังไม่ได้ขอคืนตาม “ข้ออ้าง” ที่ อสมท ใช้ตั้งเรื่องโครงการจัดเช่า ร้อนถึงทีมพีอาร์ อสมท ต้องร่อนจดหมายถึงสื่อมวลชน เพื่อชี้แจงและยืนยันถึงความโปร่งใสขององค์กรแบบทันควัน
แต่เมื่อถอดรหัสคำชี้แจงของ อสมท ที่ว่า ก็ยิ่งชี้ให้เห็นถึงเงื่อนงำของโครงการจัดเช่ามากยิ่งขึ้น
ทั้งในเรื่องที่ อสมท อ้างว่า ได้แจ้งยกเลิกโครงการจัดซื้อไปแล้ว เพราะไม่มีผู้ประกอบการรายใดเสนอได้ถูกต้องตามข้อกำหนด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศให้ “เทคทีวี” เป็นผู้ชนะโครงการ และมีการเรียกไปต่อรองราคาถึง 3 หน โดยหนสุดท้าย “เอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์” ที่ขณะนั้นยังเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท เข้าร่วมประชุมด้วยตัวเองด้วย
เมื่อเจาะลึกไปในรายละเอียดไปก็พบว่า “จุดพลิกผัน” ของโครงการจัดซื้อฯที่สุดพิลึกพิลั่น เพราะ “ฝ่ายจัดซื้อ” ที่ควรมีหน้าที่แค่ตรวจสอบเอกสารเพื่อดำเนินการจัดซื้อต่อไป กลับสวมวิญญาณ “คณะกรรมการเปิดซองฯ” ไล่พิจารณาคุณสมบัติ และข้อเสนอของผู้เสนอโครงการใหม่ทั้งหมด ทั้งๆ ที่คณะกรรมการเปิดซองฯ ได้มีมติพิจารณาคัดเลือกผู้เข้าเสนอราคาที่ได้รับคะแนนสูงสุดไปแล้ว
โดยตีเรื่องกลับไปยังคณะกรรมการเปิดซองฯชี้ว่า คุณสมบัติของอุปกรณ์ประกอบชิ้นหนึ่งของ “เทคทีวี” ไม่ตรงกับข้อกำหนดในทีโออาร์ แต่ทางคณะกรรมการเปิดซองฯก็ประชุมกันถึง 5 ครั้ง ก่อนแทงหนังสือกลับมายัง “ฝ่ายจัดซื้อ” ระบุว่า อุปกรณ์ที่ว่าเป็นแค่เพียงอุปกรณ์ส่วนประกอบ ไม่ใช่อุปกรณ์หลัก และไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการให้บริการโครงการ
ที่สำคัญเจ้าอุปกรณ์ที่ว่านี้มีศักยภาพที่เหนือกว่าข้อกำหนดในทีโออาร์ด้วยซ้ำ
เมื่อคณะกรรมการเปิดซองฯยืนยันไปเช่นนั้น ส่งผลให้ “หัวหน้าใหญ่ฝ่ายจัดซื้อ” ยินยอมดำเนินการจัดซื้อ แต่มี “ไอ้โม่ง” ที่คอนโทรล “ฝ่ายจัดซื้อ” อยู่ใช้ “ช่องทางพิเศษ” ชงเรื่องให้ “กก.ผอ.ใหญ่” ให้ยกเลิกโครงการจัดซื้อฯ และย้าย “หัวหน้าใหญ่ฝ่ายจัดซื้อ” ให้พ้นทางเพื่อตั้งคนใหม่มาทำหน้าที่แทน
น่าสนใจว่า “ไอ้โม่ง” เพียงคนเดียว กลับเป็นผู้มีอำนาจล้มมติคณะกรรมการเปิดซองฯ ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการคัดเลือกมาจากบอร์ด อสมท
และ “ไอ้โม่ง” คนเดิมก็อยู่เบื้องหลังในการตั้งโครงการจัดเช่าฯขึ้นมาแทน และเป็น “เบื้องหลัง” ของซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนทั้งหมด ส่งผลให้เกิดความล่าช้า และ อสมท ต้องสูญเสียงบประมาณเช่าเครื่องถึง 18 ล้านบาท โดยใช่เหตุ ทั้งๆ ที่หากเร่งดำเนินการโครงการจัดซื้อฯให้แล้วเสร็จ ก็จะสามารถให้บริการได้ทันตามเดดไลน์ของ กสทช.
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้งบประมาณที่เสียเพิ่มเติมก็ถือเป็นความเสียหายโดยตรงของ อสมท และบรรดาผู้ถือหุ้นเอง
ที่สำคัญเงื่อนไขในการจัดเช่าฯที่เร่งรีบทำขึ้นมา ส่งผลให้ปัจจุบันอุปกรณ์ที่ติดตั้งในสถานีต่างๆ ของ อสมท มีหลากหลายยี่ห้อ และสเปกแตกต่างกันออกไป รวมถึงขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานสำหรับการเช่าจากผู้ให้บริการในแต่ละรายด้วยซ้ำ
เรียกว่างานนี้สุกเอาเผากินแบบสุดๆ
สืบสาวราวเรื่องต่อไปถึงการลงนามยกเลิกโครงการจัดซื้อฯ และอนุมัติโครงการจัดเช่าฯ ก็พบชื่อ “เอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์” อดีต กก.ผอ.ใหญ่ อสมท เป็นผู้อนุมัติทั้ง 2 โครงการ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น “เอนก” ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงลาป่วยไปแล้วครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงปลาย เม.ย. 57 ที่ผ่านมา โดยขอให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 57 ก่อนจะมายื่นใบลาออกอีกครั้งเมื่อช่วงกลางเดือน พ.ค. 57 โดยให้มีผลวันที่ 12 มิ.ย. 57
ซึ่งหลังจากที่ยื่นใบลาออก ทาง “บอร์ด อสมท” ก็ได้คำสั่งให้ “เอนก” งดลงนามในเอกสารแต่งตั้งโยกย้ายหรือโครงการใดๆ อันจะมีผลผูกพันต่อองค์กรในระยะยาว แต่ต่อมาอีกไม่กี่วัน “เอนก” กลับเพิกเฉยต่อมติของบอร์ดทั้ง 2 เรื่อง ในการย้าย “หัวหน้าใหญ่ฝ่ายจัดซื้อ” และเซ็นยกเลิกโครงการจัดซื้อฯเดิม รวมไปถึงอนุมัติโครงการจัดเช่าฯ
ล่าสุด คนใน อสมท ต้องงงป็นไก่ตาแตก เมื่อ “เอนก” โผล่เข้ามาทำงานที่ อสมท อีกครั้ง โดยอ้างว่าได้รับคำสั่งจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้กลับเข้ามาทำหน้าที่ ทั้งที่ไม่เคยมีใครได้ยินประกาศ หรือได้เห็นคำสั่งใดๆเลย มีเพยงรายงานข่าวผ่านสื่อบางสำนัก ซึ่ง “เอนก” เป็นคนล็อบบี้ด้วยตัวเอง
ไม่เพียงเท่านั้นยังวางกล้ามใหญ่โตกว่าก่อน เที่ยวคุยโวโอ้อวดว่า ตัวเองซี้ปึ้กกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. อีกต่างหาก
แต่ “เอนก” ก็รู้ตัวดีว่า บอร์ด อสมท มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบ และได้แจ้งไปที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลอดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ฝ่ายกฎหมาย อสมท ก็มีความเห็นว่าการลาออกมีผลสมบูรณ์แล้ว ขนาด “ธนะชัย วงศ์ทองศรี” รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ อสมท ที่มีความใกล้ชิดแนบแน่นกับ “เอนก” เองก็ยังออกมายืนยันว่า การลาออกจะมีผลทันทีในวันที่ 12 มิ.ย. นี้ ตามที่ “เอนก” ได้ยื่นจดหมายลาป่วยไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
เรื่องนี้ทำให้คนใน อสมท ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะมองว่า “เอนก” ไม่ให้เกียรติองค์กร อยากจะเข้าอยากจะออกได้ตามใจชอบ ที่สำคัญ ตำแหน่ง “กก.ผอ.ใหญ่” ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดทางฝ่ายบริหาร และเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ
ด้าน “เอนก” เองก็ไม่ลดละความพยายาม มีการวิ่งเต้นขอความช่วยเหลือกับ “ผู้ใหญ่” หลายคน โดยเฉพาะคนในบอร์ด อสมท ที่ล้วนแล้วแต่เป็นคนใน “ระบอบทักษิณ” ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “สุธรรม แสงประทุม” ประธานบอร์ด “ธงทอง จันทรางศุ” หรือ “จักรพันธุ์ ยมจินดา” รองประธานบอร์ด
โดยเฉพาะในรายของ “ธงทอง” ที่ถูก คสช. เรียกเข้ารายงานตัวและกักตัว ระหว่างนั้นก็มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สลน.) ซึ่งตามมารยาทแล้วต้องพ้นจากการเป็นบอร์ด อสมท ด้วย เพราะได้รับการแต่งตั้งตามตำแหน่งปลัด สลน.
ว่ากันว่าภายหลังจากที่ “ธงทอง” ได้รับการปล่อยตัวออกมาจากค่ายทหาร ก็รีบเข้าร่วมประชุมบอร์ด อสมท ทันที โดยอาศัยความคลุมเครือในเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของตัวเอง เพราะมีวาระสำคัญในการพิจารณาใบลาออกของ “เอนก” ซึ่งเป็นสายตรงของตัวเอง
การเข้าร่วมประชุมบอร์ด อสมท ของ “ธงทอง” ถือเป็นการผิดมารยาทอย่างรุนแรง และท้าทายคำสั่ง คสช. อย่างชัดเจน
สุดท้ายบอร์ด อสมท ก็ได้มีมติส่งให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความใบลาออกของ “เอนก” โดยอ้างถึงเงื่อนเวลาที่ขอให้มีผลในวันที่ 12 มิ.ย. นี้ จนเป็นที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า บอร์ด อสมท พยายามยื้อเวลาเพื่อช่วยเหลือ “เอนก”
แต่ด้วยความลุกลี้ลุกลนจึงทำให้ทุกอย่างดูไม่แนบเนียน และยังทำให้เห็นคอนเนกชันของกลุ่มคนที่พยายามยื้ออำนาจใน “แดนสนธยา” แห่งนี้ไว้ด้วย
ถือเป็นความพยายามยึดครอง “ขุมทรัพย์” ของ “มาเฟีย” แห่งแดนสนธยา โดยอาศัยจังหวะชุลมุนในช่วงที่ คสช. เข้ามาบริหารบ้านเมือง