ผ่าประเด็นร้อน
ที่สำคัญเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่าต้อง “ปฏิรูปทุกภาคส่วน” และหนึ่งในนั้นมีการพูดถึงเรื่องการปฏิรูปด้านพลังงานด้วย ก็ยิ่งทำให้มีความหวัง
ปัญหาพลังงานที่มีราคาแพง เริ่มกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในอันดับต้นๆ ของบ้านเมือง กลายเป็นปัญหาระดับชาติที่ฝังรากลึก แม้ว่าจะเสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูป แก้ไขโครงสร้างกันมานาน แต่ก็ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนทำ โดยเฉพาะรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมือง เนื่องจากมีประโยชน์ทับซ้อน รวมไปถึงฝ่ายข้าราชการประจำต่างก็ไม่เล่นด้วย สาเหตุก็เรื่องเดียวกันคือ ได้รับผลประโยชน์กันอย่างมหาศาล
ปัญหาที่ต้องรื้อกันขนานใหญ่ก็คือ เรื่องก๊าซ และน้ำมัน ที่ถูกประชาชนระบุว่ามีการบิดเบือน จนมีการสร้างราคาที่สูงเกินจริง กลายเป็นการขูดรีดชาวบ้านสร้างควมมเดือดร้อนมานาน และที่ผ่านมาทางฝ่ายภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานธุรกิจเอกชน กลุ่มรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานก็ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ในทางตรงกันข้ามกลับใช้อิทธิพลด้านการเงินไปจ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์กับสื่อหลัก เพื่อสร้างภาพลักษณ์อีกด้านหนึ่ง ไม่ต่างจากการโฆษณาชวนเชื่อ แต่ประชาชนก็ต้องใช้น้ำมันแพง มีการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มแพง ทั้งที่มีการผลิตภายในประเทศ
แน่นอนว่า “จำเลย” สำคัญของสังคมในเวลานี้ก็คือ ปตท.รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลักก็คือ กระทรวงพลังงานโดยข้าราชการระดับสูงเป็นเป้าหมายสำคัญ
ในสายตาของผู้บริโภคน้ำมันและแก๊ส ที่ถือว่าเป็นพลังงานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันล้วนต้องพึ่งพาพลังงานดังกล่าว แต่กลายเป็นว่าพวกเขามองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นกลไกผูกขาด มีการสร้างกลไกด้านการตลาดเทียมขึ้นมาตบตา
ความเจ็บปวดของคนไทยที่บริโภคน้ำมันและแก๊สเริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่ ปตท.ถูกแปรรูปเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการกระจายหุ้นให้กับภาคเอกชนไปร้อยละ 49 ที่เหลือรัฐถือหุ้นแล้วอ้างว่ายังเป็นของรัฐอยู่ แต่นาทีนี้ทุกคนก็รู้เท่าทันแล้วว่านั่นคือเล่ห์กลของนักการเมืองที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในด้านธุรกิจพลังงาน โดยหากจำกันได้ในยุคของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่แปรรูปรัฐวิสาหกิจแห่งนี้เมื่อเปิดขายหุ้นกลายเป็นว่ามีแต่พวกนักการเมือง นามสกุลดังเท่านั้นที่กว้านซื้อไปจนหมด และคนพวกนี้รวมไปถึงพวก “ฝรั่งหัวดำ” ที่มาในหลายรูปแบบทั้งประเภทกองทุนนอมินีต่างเข้ามารุมทึ้งกอบโกยแบ่งปันผลกำไรกันในแต่ละปี
ขณะที่พวกข้าราชการประจำในกระทรวงพลังงาน ข้าราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด หรือแม้แต่ข้าราชการในกองทัพ และบรรดาขี้ข้าสมุนรับใช้การเมืองต่างก็ผลัดเปลี่ยนเข้ามาเป็นบอร์ด ปตท.รับเงินเดือน เบี้ยประชุม รับโบนัสกันอย่างอู้ฟู่
ที่ผ่านมามักจะอ้างว่า ปตท.เป็นของรัฐ เพราะรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คำถามก็คือในเมื่ออยากให้ ปตท.เป็นของรัฐแล้วแปรรูปไปให้เอกชนถือหุ้นด้วยทำไม ทำไมไม่ให้เป็นของรัฐทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ บางครั้งมีการประชดกันถึงว่าแม้จะบริโภคราคาน้ำมันลิตรละ 40 บาท แต่ผลกำไรที่ได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ยังเป็นของรัฐสามารถนำมาพัฒนาประเทศ ยังดีเสียกว่าต้องแบ่งกำไรไปให้พวกนักการเมืองในคราบนักลงมุนมาแบ่งปันไปถึงร้อยละ 49
สิ่งที่สังคมต้องการในเวลานี้ก็คือ ต้องการรับรู้ข้อมูลอย่างโปร่งใสและหลากหลาย จากบรรดาผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก นำข้อมูลมาหักล้างกันอย่างเปิดเผย ไม่ใช่นับฟังแต่ข้อเสนอของพวกข้าราชการในกระทรวงพลังงาน ข้อมูลจาก ปตท.รวมไปถึงนักการเมืองที่เข้ามาเกาะกินสร้างเครือข่ายในปตท.มาช้านาน
สังคมต้องการรับรู้ว่าข้อมูลแบบไหนเป็นของจริง จะได้ข้อสรุปเสียที แต่จะออกมาในลักษณะดังกล่าวได้ต้องผ่านการตรวสอบถกเถียงข้อมูลอย่างมีเหตุผลและเปิดเผยเสียก่อน
อย่างไรก็ดี ในการปฏิรูปโครงสร้างด้านพลังงานทาง คสช.ที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เป็นหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ ได้กำหนดเวลาไว้เบื้องต้นว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์ก็จะได้เห็นโรดแมปว่าจะเดินไปทางไหน จากนั้นก็จะมีการระดมความเห็นก่อนได้ข้อสรุป ซึ่งสังคมกำลังตั้งความหวังไว้มาก และมีการตื่นตัวสูงมาก ล่าสุดเท่าที่เห็นก็มีการตั้ง “กลุ่มจับตาการปฏิรูปพลังงานไทย” ที่มีนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมของคนไทยและผู้บริโภคมารวมตัวกัน เชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญทำให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปพลังงานไปสู่เป้าหมายนั่นคือประโยชน์ของคนไทยส่วนใหญ่ ได้บริโภคทรัพยากรอย่างเป็นธรรม
เชื่อว่าทาง คสช.โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ต้องรับฟัง และสร้างศรัทธาจากมวลชนที่เอาใจช่วยให้ได้ และเรื่องนี้แหละจะเป็นด่านหินที่จะพิสูจน์ในระยะอันใกล้นี้!!