โฆษก ปชป.เผย ปชช.พอใจ คสช.กวาดล้างหมิ่นสถาบัน ขอทำเช่นเดียวกับผู้ใช้ความรุนแรง ยก 2 อาทิตย์จับแยะกว่า รบ.ปู ชี้ชัดมีสุมกำลัง เชียร์ล้างบาง รวมถึงขยายผลโกงข้าว แนะแยกสต๊อกเก่า-ใหม่ แก้ปัญหาถูกกดราคา หนุนตรึงราคาพลังงาน เปิดโปงต้นทุนแท้จริง ขอยึดประโยชน์ความคุ้มค่า ในการทำโครงการลงทุนใหญ่ ควรคงมาตรา 67 ให้ศึกษาก่อนทุ่มงบ กันโกง
วันนี้ (3 มิ.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าบริหารประเทศว่า ช่วงที่ผ่านมา คสช.มีการจัดการกับขบวนการหมิ่นสถาบัน และจาบจ้วงเบื้องสูง ทำให้คนไทยมีความพอใจกับการเอาจริงเอาจังกับเรื่องดังกล่าว และหวังว่า คสช.จะได้ดำเนินการต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการหมิ่นสถาบันอย่างเด็ดขาดเพื่อมิให้พฤติกรรมเช่นนี้หวนกลับมาในสังคมไทยอีก
ทั้งนี้ อยากให้ทำชัดเจนคือการจัดการกับกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรง ซ่องสุมกำลังและอาวุธ ในการทำร้ายประชาชน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการทำงานของ คสช. ในเพียงระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ กลับมีประสิทธิภาพและสามารถจับกุมกรณีดังกล่าวได้มากกว่าการทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหลายเท่าตัว และก็เป็นหลักฐานชั้นดีว่าตั้งแต่ปี 2552 นั้นมีการจัดการในเรื่องเหล่านี้อย่างเป็นระบบ มีการส่องสุม ฝึกอาวุธ และจัดทำแผนปฏิบัติการเช่นขอนแก่นโมเดล นับว่าเป็นเรื่องดีที่กองทัพได้ติดตาม และสามารถจัดการเรื่องดังกล่าวได้ก่อนที่จะมีการปฏิบัติการ ตนเห็นว่าความเห็นต่างทางการเมืองนั้นเป็นเรื่องปกติ และเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย แต่การใช้ความรุนแรงจัดการผู้เห็นต่างนั้น ต้องยุติพฤติกรรมข่มขู่ คุกคาม การใช้อำนาจนอกกฎหมายควรจะถูกจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในครั้งนี้
ส่วนประเด็นการทุจริต คอร์รัปชันนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญที่พี่น้องประชาชนอยากจะเห็นผู้ที่คดโกงเงินภาษีประชาชน ปล่อยปละละเลยให้มีการทำร้ายชาวนา ถูกลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งจากตัวอย่างที่ชัดเจนในโครงการรับจำนำข้าว คสช.ก็ควรจะได้ขยายผลในสิ่งที่ ป.ป.ช. ได้มีการชี้มูล ไม่ว่าจะเป็นการขายข้าว จีทูจีลวงโลก การปั้นตัวเลขสต๊อกลม การลักลอบนำข้าวคุณภาพดีออกไปจำหน่าย และรวมถึงการสวมสิทธิ์ และการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาร่วมโครงการซึ่งประการนี้ตนเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการเอาจริงเอาจัง เพราะเป็นประเด็นที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจและเป็นประเด็นที่พี่น้องประชาชนเกิดความรู้สึกเสื่อมศรัทธานักการเมือง รวมทั้งควรทำความชัดเจนในกรณีคดีความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีที่มีโทษทางอาญา คดีที่เกิดจากการทุจริต คอร์รัปชัน หลายคดียังอยู่ในกระบวนการไม่ว่าจะเป็นในส่วนของอัยการ หรือศาลยุติธรรม ซึ่งหากทุกคดีมีการผลักดันให้มีผลตัดสินที่ชัดเจน ก็จะสามารถสร้างความสบายให้กับประชาชนว่าคนไทยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
ส่วนกรณีการแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนนั้น ตนสนับสนุนการตรึงราคาแก๊สหุงต้ม และน้ำมันดีเซลของ คสช. มากไปกว่านั้นตนเห็นว่า คสช.ควรใช้โอกาสนี้ในการทำความกระจ่างในแง่ของต้นทุนที่แท้จริงของราคาพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติซึ่งเราสามารถผลิตได้ภายในประเทศอย่างเพียงพอต่อการบริโภคในภาคครัวเรือน ควรเป็นภาคที่ได้รับการสนับสนุนให้ใช้แก๊สในราคาถูก ต่างจากภาคอุตสาหกรรม และปิโตรเคมี ซึ่งได้กำไรมหาศาลจากการใช้แก๊สกลับมีโอกาสในการใช้ก๊าซในราคาถูกกว่าประชาชนมาก
รวมถึงการดูแลระดับราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญเช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะกรณีการกำหนดราคาข้าวในฤดูกาลปัจจุบันว่าจะเป็นการใช้นโยบายในรูปแบบใด เนื่องจากในขณะนี้ชาวนาถูกกดราคาข้าวลงเหลือราคาตันละ 3,000-4,000 บาท จากการเทขายข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา ดังนั้น คสช.ควรแยกการบริหารข้าวในสต๊อกเก่ากับข้าวในฤดูกาลใหม่ออกจากกัน เพื่อให้การแก้ไขปัญหานั้นสามารถทำได้โดยที่ชาวนาจะขายข้าวได้ในราคาที่คุ้มทุน เช่นเดียวกับพืชเกษตรชนิดอื่นๆ ที่จำเป็นต้องมีการพัฒนาในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต การกำหนดพื้นที่เพาะปลูก และการขยายตลาดของไทยในเวทีโลก จึงเป็นเรื่องที่สำคัญในระยะต่อไป
ส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ตนเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐจะต้องทุ่มงบประมาณในการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตามตนขอให้ คสช.นั้นได้ใช้การพิจารณา การจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่างๆ โดยใช้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และความคุ้มค่าเป็นตัวตั้ง อย่าใช้งบประมาณเป็นตัวตั้งเหมือนรัฐบาลชุดที่ผ่านมา รวมทั้งในขณะนี้ไม่มีการตรวจสอบจากสภาและไม่มีการตรวจสอบโดยกฎหมายการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งอาจจะเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้ง่าย คสช.จึงควรจะมีการคงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ว่าด้วยการมีส่วนร่วมของบุคคล และชุมชน ในการคุ้มครอง และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมซึ่งจะทำให้โครงการต่างๆ นั้นก่อนการลงทุนจะต้องมีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน รวมทั้งจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะทำให้สามารถป้องกันการดำเนินโครงการที่ผิดพลาด ส่งผลกระทบด้านลบต่อประเทศ และสามารถป้องกันการทุจริต คอร์รัปชันได้ในระดับหนึ่ง