คสช.สั่งผุด “ศูนย์ปรองดองฯ” ให้กองทัพภาค 1-4 ดูแล หวังสลายสีปูทางปฏิรูปประเทศ ขู่ใครปล่อย-แชร์คลิปให้ร้ายทหารโดนหนักแน่ “วินธัย” ระบุ “ประยุทธ์” กำชับงาน 8 ด้าน เน้นต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ ย้ำทหารแค่ดูแลให้งานเดิน ไม่ออฟไซด์งาน ขรก. เมิน “จาตุรนต์” แถลงก่อนโดนรวบแค่ชิงพื้นที่สื่อ มั่นใจสื่อต่างชาติเข้าใจ คอนเฟิร์มปล่อย “ยิ่งลักษณ์” แล้ว สั่งห้ามออกนอกประเทศ เรียกนักข่าวไทยรัฐอย่าถามจี้ ร้องปิดคอมเมนต์เฟซบุ๊ก “วาสนา” สั่งทหารไม่ต้องระแวง ประชาชนมอบสิ่งของ ลั่นตรวจสอบได้
วันนี้ (27 พ.ค.) ที่อาคารกำลังเอก ภายในสโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเวลา 14.30 น. พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้า คสช.ได้เป็นเป็นประธานในการประชุม คสช. ณ กองบัญชาการทหารบก ถนนราชดำเนิน โดยในช่วงต้น พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจ่ายเงินให้โครงการรับจำนำข้าวให้แก่เกษตรกรชาวนา เนื่องจาก คสช.ต้องการแก้ไขความเดือดร้อนพื้นฐานของภาคเกษตรโดยเร็ว ทั้งนี้ยังได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลในส่วนของความต่อเนื่องในการดำเนินการอย่างเต็มที่ สำหรับภาคเกษตรอื่นๆ ที่มีปัญหารอการแก้ไขนั้นได้มอบเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานไปดำเนินการเพื่อให้แก้ปัญหาได้เช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวที่ได้เข้าสู่การแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดที่สุด
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวอีกว่า สำหรับความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวนั้น ทาง คสช.ได้ประเมินว่าภาคธุรกิจเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นในทิศทางการแก้ไขปัญหาของประเทศที่ คสช.กำลังขับเคลื่อนอยู่ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบของทั้งภาคราชการ และเอกชน โดยในส่วนของการสร้างความเข้าใจแนวทางบริหารราชการของ คสช.ภายใต้ระบบราชการที่มีอยู่แก่ต่างประเทศ ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับทูตทหารเร่งดำเนินการเข้าชี้แจงกับทุตานุทูตของทุกประเทศให้เข้าใจถึงวิธีการบริหารราชการแผ่นดินปัจจุบันซึ่งอยู่บนพื้นฐานของระบบราชการปกติภายใต้อำนาจปลัดกระทรวงทบวงกรมต่างๆ โดยมี คสช.เป็นผู้เห็นชอบ
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัย ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ควบคู่ไปกับการสร้างความสมานฉันท์ ลดความขัดแย้งให้กับคนในชาติ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปด้านต่างๆ หัวหน้า คสช.ได้มอบหมายให้กองทัพภาคต่างๆ จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ขึ้นในแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นศูนย์กลางให้ประชาชนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเป็นศูนย์ให้ข้อมูลความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายต่างๆ นำข้อมูลไปบิดเบือนให้เกิดความไม่เข้าใจ โดยได้สั่งการให้เร่งตั้งศูนย์และแนวทางปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด
- เตือนหยุดปล่อยคลิปโจมตีทหาร ระวังแกนนำนัดชุมนุมแล้วหายหัวจะเดือดร้อน
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ในสังคมออนไลน์ได้การเผยแพร่ข้อความหรือคลิปที่พยายามทำให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารลุแก่อำนาจ ยกตัวอย่างเช่น คลิปของบุคคลแต่งกายคล้ายทหารเข้าไปในร้านสะดวกซื้อเพื่อข่มขู่เอาสินค้าหรือสิ่งของ รวมไปถึงคลิปของบุคคลแต่งกายคล้ายทหารใช้คำพูดไม่เหมาะสมกับผู้ชุมนุมต่อต้าน เป็นต้น คสช.เห็นว่าการกระทำเช่นนี้ต้องการสร้างให้เกิดความเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่ จึงขอให้หยุดดำเนินการในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทหารทุกคนปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบ และอดกลั้นในทุกๆ เรื่อง ซึ่งเป็นนโยบายนโยบายขอหัวหน้า คสช.ที่ต้องการให้ทำหน้าที่ในขอบเขตที่เหมาะสม ส่วนผู้ที่กระทำไม่เหมาะสมในการเผยแพร่หรือโพสต์ข้อความต่างๆ นั้น คสช.กำลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเอาผิด
ขณะที่ พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกกองทัพบก กล่าวเสริมว่า สำหรับการจัดกิจกรรมของกลุ่มต่อต้านนั้น อยากให้ประชาชนพิจารณาถึงข้อห้ามตามกฎหมายความมั่นคงที่ประกาศใช้อยู่ในขณะนี้ด้วย การแสดงออกบางเรื่องก็สามารถรับฟังได้ เพียงแต่ต้องอยู่ในกรองขอบกฎหมาย นอกจากนี้ต้องระมัดระวังอย่าได้ตกเป็นเครื่องของคนบางกลุ่ม ที่ต้องการแสดงออกถึงความคิดของตนเอง พยายามโน้มน้าวและชักนำมวลชนมา แต่คนที่ชักชวนกลับไม่มาปรากฏตัว ซึ่งคนที่มาก็จะได้รับความเดือดร้อน เพราะอาจถูกจับกุมได้
- จัดตั้ง “ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป”
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกัน หัวหน้า คสช. ได้มีการสั่งการเพิ่มเติมใน 8 หัวข้อ ได้แก่ 1. การบริหารราชการกระทรวง ทบวง กรม คสช.ได้จัดให้มีคณะทำงานโดยผู้บัญชาการเหล่าทัพปฏิบัติหน้าที่ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เพื่อกำกับราชการให้เป็นไปตามนโยบายของหัวหน้า คสช. และเป็นไปตามระเบียบ โปร่งใส เป็นธรรม 2. เรื่องใดที่อยู่ในอำนาจนายกฯ และ ครม.เป็นอำนาจของหัวหน้า คสช.แต่เพียงผู้เดียว โดยให้ทุกหน่วยราชการตรวจสอบกลั่นกรองให้ถูกต้อง 3. ให้จัดตั้ง “ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป” ประกอบด้วย ศูนย์ส่วนกลาง และศูนย์ประจำพื้นที่กองทัพภาคที่ 1-4 ทั้งนี้เพื่อสร้างความรักความสามัคคี สลายสีเสื้อ เตรียมการไปสู่แนวทางปฏิรูปในอนาคต โดยอาจให้มีการคัดผู้นำหรือแกนหลักแต่ละกลุ่ม เข้าประชุมหารือหรือเสวนาต่างๆ ซึ่งจะมีรายละเอียดแจ้งให้ทราบลอีกครั้ง
4. ฝ่ายต่างๆ ของ คสช.ดำเนินการกำหนดแนวทางการทำงานให้ชัดเจน มีคำสั่งย่อยเพื่อสร้างความเข้าใจในระดับปฏิบัติ รวมทั้งเร่งรัดขับเคลื่อนติดตามงานของกระทรวง จัดลำดับในการทำงานแผนงานเฉพาะหน้า งานเร่งด่วน และแผนงานระยะยาว เป็นต้น โดยทุกแผนงานต้องรอบคอบ ลดงานธุรการเพื่อประโยชน์ของชาติ่ ให้ทุกหน่วยงานโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่เสียวินัยทางด้านการเงินการคลัง 5. สำหรับแผนงานโครงการที่ริเริ่มใหม่ ให้เสนอ คสช.พิจารณาอนุมัติ เพื่อบรรจุในปีงบประมาณปี 58 หากเป็นโครงการใหญ่ต้องมีโรดแมปที่ชัดเจน หรือลดขนาดเป็นหลายโครงการเพื่อเข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว 6. การดำเนินการต่างๆ ต้องโปร่งใส เป็นที่พึงพอใจของประชาชน และไม่มีผลผูกพันกับรัฐบาลใหม่ หากจำเป็นให้ขออนุมัติจาก คสช.
7. การบริหารราชการทุกเรื่องไม่ใช่ทหารไปสั่งการให้ส่วนราชการทำอะไรที่ผิดระเบียบ เป็นเพียงการไปกำกับติดตามดูแล เพื่อให้การทำงานเร็วขึ้น โดยไม่ปรับเปลี่ยนแนวทางของส่วนราชการที่ทำไว้อยู่เดิม และ 8. ในส่วนของการแต่งตั้งที่ปรึกษานั้น คสช.จะมีการแต่งตั้งใน 2 ระดับ คือ 1. ที่ปรึกษาระดับนโยบาย ได้แก่ ที่ปรึกษา คสช. และที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และ 2. ที่ปรึกษาระดับนโยบายไปสู่การปฏิบัติของฝ่ายต่างๆ ของ คสช. โดยที่ปรึกษาทุกระดับจะได้รับการพิจารณาและอนุมัติโดยหัวหน้า คสช.เท่านั้น ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะต่างๆ จะทางผ่านสำนักงานเลขาธิการ คสช. เพื่อให้หัวหน้า คสช.พิจารณาแต่เพียงผู้เดียว
- เมิน “จาตุรนต์” แถลงสมาคมสื่อนอกต้องการชิงพื้นที่สื่อ
พ.อ.วินธัยยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งไม่ได้เข้ารายงานตัวตามประกาศของ คสช. และได้แถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (เอฟซีซีที) ด้วยว่า กรณีของนายจาตุรนต์ได้มีการเรียกรายงานตัว แต่ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามประกาศของ คสช. และจนถึงขณะนี้ก็ได้เลยเวลาที่กำหนด จึงถือว่าเป็นมีความผิด การดำเนินการใดๆ จะเป็นเรื่องขั้นตอนตามกฎหมาย เพราะว่าเนื้อหาที่นายจาตุรนต์เผยแพร่ก่อนหน้านี้มีส่วนในการสร้างปัญหานำมาสู่ความไม่สงบ ขัดนโยบายของ คสช.อย่างชัดเจน ทั้งนี้มองว่าการแถลงข่าวดังกล่าวเป็นเพียงความต้องการช่วงชิงพื้นที่สื่อ แต่ทาง คสช.มั่นใจในเหตุผลความจำเป็น และมีข้อมูลที่เพียงพอในการความเข้าใจต่อสื่อต่างประเทศว่า สิ่งที่ปฏิบัติเป็นเรื่องทางกฎหมาย
“นายจาตุรนต์มีความผิดในการฝ่าฝืนประกาศ คสช. ซึ่งขัดต่อการประกาศกฎอัยการศึก รวมทั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการควบคุม และนำตัวเข้าสู่กระบวนการ เพื่อส่งฟ้องต่อศาลทหารต่อไป” พ.อ.วินธัยระบุ
- ปล่อย “ยิ่งลักษณ์” เป็นอิสระ ห้ามไปเมืองนอก โชว์ภาพ “แกนนำแดง” อยู่สุขสบายพรุ่งนี้
ในส่วนของกระแสข่าวปล่อยตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการปล่อยตัวแล้วนั้น พ.อ.วินธัยกล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับการปล่อยตัวแล้วจริง โดยมีเงื่อนไขตามประกาศของ คสช. หากจะเดินทางออกนอกประเทศต้องขออนุญาตจากทาง คสช.ก่อน ทั้งนี้ การควบคุมตัวบุคคลระดับสูงนั้นโดยส่วนใหญ่มีการกักตัวไม่เกิน 3 วัน โดยรายละเอียดของผู้ที่เข้ารายงานตัว และผู้ที่ถูกควบคุมตัวจะมีการชี้แจงในวันพรุ่งนี้ (28 พ.ค.) อีกครั้ง รวมทั้งจะมีการนำภาพของแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่มาแสดงด้วย เพื่อให้เกิดความสบายใจ
- ขอร้องผู้ประสงค์ดีทำตามกฎ ห้ามชุมนุมเกินกว่า 5คน
พ.อ.วินธัย กล่าวด้วยว่า ทางกองทัพขอขอบคุณกลุ่มบุคคลที่ปรารถนาดี ได้รวมกลุ่มกันมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหาร แต่เนื่องจากในช่วงนี้ คสช. ห้ามมิให้มีการชุมนุมกันเกินกว่า 5คน จึงอยากขอความร่วมมือ ในการดำเนินกิจกรรมใดๆ ไม่ควรใช้คนจำนวนมากเกินกว่าที่กำหนด
- เรียกนักข่าวไทยรัฐอย่าถามจี้ “ประยุทธ์” หวั่นกระทบความเชื่อมั่น
อีกด้านหนึ่งที่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน ว่าเมื่อเวลา 14.00 น. พล.ต.พลภัทร วรรณภักตร์ เลขานุการกองทัพบก ได้เชิญตัวนายศุภฤกษ์ ธงไชยฤทธิ์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และ น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เข้าพบที่ห้องทำงานเพื่อแจ้งข้อความจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้รับทราบพร้อมขอความร่วมมือกรณีการตั้งคำถามกับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะหลังการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมาเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์รู้สึกไม่ดีต่อการที่ต้องถูกตั้งคำถามในลักษณะรุกไล่จนทำให้กระทบความเชื่อมั่นในตัวผู้นำประเทศ
“พล.อ.ประยุทธ์ได้ฝากมาบอกว่าวันนี้ท่านไม่ได้เป็นแค่ ผบ.ทบ.เท่านั้น แต่เป็นถึงผู้นำในการบริหารประเทศ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและบริหาร ดังนั้นการจะตอบคำถามอะไรออกไปสู่สาธารณะจำเป็นต้องใคร่ครวญอย่างดี และขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาในการตอบคำถามเหล่านั้น โดยเฉพาะการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งการถามในลักษณะจี้ถามเช่นนั้นไม่เหมาะสม ฉะนั้นจึงขอความร่วมมืออย่าถามในลักษณะการรุกไล่อีก” เลขานุการ ทบ.กล่าว
- ร้องปิดคอมเมนต์เฟซบุ๊ก “วาสนา” เจ้าตัวแจงทำไม่ได้แต่ขอร้องไปแล้ว
ในส่วนเฟซบุ๊กของ น.ส.วาสนานั้น ทางกองทัพบกขอความร่วมมือตั้งระบบในการป้องกันไม่ให้บุคคลเข้ามาแสดงความคิดเห็น หรือคอมเมนต์ เพราะทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่ง น.ส.วาสนาชี้แจงว่าไม่อาจปิดคอมเมนต์ของตนเองได้เนื่องจากมีเพื่อนจำนวนมาก ส่วนผู้ติดตามที่เข้ามาคอมเมนต์นั้นได้ปิดไปแล้ว ทั้งนี้ บุคคลที่เป็นเพื่อนเข้ามาคอมเมนต์จะทะเลาะกันเองเพราะมีทั้งสองสี โดยก่อนหน้านี้ได้ออกประกาศในเฟซบุ๊กขอร้องไปแล้ว
- หน.คสช.เสนอตั้ง “สภาสมานฉันท์” เดินหน้าตั้งสภาปฏิรูป-สภานิติบัญญัติ
ขณะที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นประธานการประชุมคณะทำงาน คสช. โดยได้มีการพูดถึงแนวทางในการทำงานของ คสช.นับจากนี้ เพื่อเป็นรูปธรรมและเห็นผลโดยเร็วโดยเฉพาะการเร่งจ่ายเงินให้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวให้เสร็จตามกำหนด แล้วให้ติดตามเรื่องผลผลิตทางเกษตรที่จะมีปัญหาตามมา ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้แสดงความเป็นห่วงของกลุ่มสีต่างๆ ในขณะนี้โดยได้ให้แนวทางกับคณะทำงานไปหาวิธีในการสลายสีเสื้อต่างๆ ด้วยการตั้ง “สภาสมานฉันท์” ขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และเร่งดำเนินการให้ดีที่สุด เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมกันนี้หัวหน้า คสช. ยังจะเดินหน้าในการตั้งสภาปฏิรูปและสภานิติบัญญัติเพื่อเร่งหาทางทางออกนำไปสู่การเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้เมื่อใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นตัวกำหนด
- ประชาชนโทร.ศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทบ.กว่า 700 สาย ร้องลดเวลาเคอร์ฟิว
รายงานข่าวแจ้งว่า ตั้งแต่มีการเปิดสายด่วนให้ประชาชนทั่วไปได้โทรศัพท์มาร้องเรียนที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบกในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาหลังการรัฐประหาร ปรากฏว่าในแต่ละวัน มีประชาชนโทรศัพท์เข้ามามากกว่าวันละ 700 ราย ซึ่งมีทั้งการชื่นชมและตำหนิ รวมถึงข้อเสนอแนะต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบจากการประกาศเคอร์ฟิวที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยทั่วไปส่วนใหญ่ร้องเรียนต้องการให้ลดเวลาเคอร์ฟิว
ด้าน พล.อ อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุมส่วนงานขึ้นตรงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ประกอบด้วย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี และ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยได้มีการหารือกันเพื่อกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนงานตามนโยบายและสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นการประชุมต่อเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้มีการหารือกันในเรื่องปัญหาสำคัญของแต่ละหน่วยงานที่เกิดขึ้น แผนงานระยะสั้น ระยะยาวที่ต้องดำเนินการ และการปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร
- สั่งทหารไม่ต้องระแวง ประชาชนมอบสิ่งของ ชี้หากจับได้ใส่ของแปลกปลอมจัดการขั้นเด็ดขาด
อีกด้านหนึ่ง ตลอดวันที่ผ่านมามีการส่งต่อข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์กันอย่างกว้างขวางว่า เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทหาร จากกองพันททหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน.1 รอ.) ตรวจสอบพบสิ่งผิดปกติในเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง ที่มีประชาชนขับจักรยานยนต์รับจ้างมาส่งมอบให้กับทหารกลางดึก ซึ่งพบว่าในขวดดังกล่าวที่ฝาเกลียวมีรอยเปิดทุกขวด และปริมาณน้ำในขวดไม่เท่ากัน พร้อมมีกระแสข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารราบที่ 9 ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณถนนพระราม 2 ได้แจ้งว่าพบสิ่งแปลกปลอม เป็นกาวเหนียวผสมในเครื่องดื่มชาเขียวยี่ห้อโออิชิ ที่มีประชาชนมามอบให้ ทั้งนี้ หลังเกิดข่าวดังกล่าวทางกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ทหารทุกหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ให้ระมัดระวัง และหากมีประชาชนนำสิ่งของมามอบให้ก็ให้ถ่ายรูปรับมอบกับบุคคลคนนั้นด้วย
พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กล่าวว่า ในส่วนพี่น้องประชาชนนำสิ่งของมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติ โดยปะปนกับสิ่งของอันตรายนั้นตนได้สั่งการไปยังทหารว่าไม่ต้องระแวง เพราะสามารถตรวจสอบ หากจับได้จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด
ขณะที่ พล.ต.ไพโรจน์ ทองมาเอง ผบ.พล.ร.9 กล่าวว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ทหารกำลังให้ทางโรงพยาบาลตรวจสอบอยู่ ดังนั้น ขอร้องประชาชนและสื่อมวลชนอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ซึ่งเชื่อว่าไม่ใช้การวางยาพิษ หรือนำสิ่งแปลกปลอมใส่ลงในเครื่องดื่ม แต่อาจจะเป็นเพราะเครื่องดื่มหมดอายุก็ได้ ซึ่งไม่ใช้ยาพิษ เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่กำลังพลไปหยิบในถัง ซึ่งไม่ใช้การยื่นส่งมอบให้โดยตรง และกำลังพลก็ไม่ได้ดื่มเข้าไป ตนเกรงว่าข่าวที่ออกไปจะเป็นการทำลายความรู้สึกของประชาชนที่หวังดี ส่วนจะเป็นอย่างใดนั้นต้องรอผลการตรวจสอบจากทางโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการอีกครั้ง อย่างไรก็ตามประชาชนก็ยังคงมีความเมตตาทหารอยู่