ผ่าประเด็นร้อน
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 ถือว่าเป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกวันหนึ่ง เนื่องจากเป็นวันที่เขาได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งในเวลาต่อมาเขาก็กล่าวว่ารู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งนับจากนี้ไป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างเป็นทางการ ถูกต้องตามกฎหมาย และประเพณีที่เคยปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แล้ว
แม้ว่าตามโครงสร้างแล้วถือว่า เขา พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงผู้เดียว แต่ขณะเดียวกันเมื่อมีอำนาจมากก็ย่อมต้องมีความรับผิดชอบมาก และเมื่อพิจารณาจากภารกิจข้างหน้าก็ต้องถือว่า “หนักอึ้ง” และมีความเสี่ยงสูง เช่นเดียวกัน นั่นคือ “เสี่ยงต่อความคาดหวังของประชาชน”
เพราะการเข้ามายึดอำนาจคราวนี้ถือว่า เข้ามา “ผ่าทางตัน” ป้องกันเหตุการณ์รุนแรง และที่สำคัญเข้ามาบังคับให้ รัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร ที่รักษาการโดย นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ออกไปหลังจากดื้อด้านจนาทีสุดท้าย
การเข้ามาดังกล่าว นอกจากเป็นการคลี่คลายสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เขาก็ย่อมรับรู้ถึงความปราถนาของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ว่าต้องการอะไร เพราะคำประกาศแรกที่ออกมาก็คือ “ปฏิรูปทุกภาคส่วน” ก่อนการเลือกตั้ง โดยมีทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและอื่นๆ คำประกาศดังกล่าวไม่ต่างจาก “สัญญาประชาคม” ที่ต้องทำให้ได้ ขณะเดียวกันนี่คือ “ความคาดหวัง” ของประชาชนส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นตรงกัน
และนี่คือคำตอบว่าทำไมการเข้ามายึดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะคราวนี้จึงได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามจากประชาชน แม้จะว่าไปแล้วจะมีการลิดรอนสิทธิ เสรีภาพหลายอย่างก็ตาม แต่ประชาชนก็ให้โอกาส ให้ความสนับสนุน รอคอยอย่างอดทนอดกลั้น ไม่ปริปากบ่น เพราะพวกเขาฝันถึงเป้าหมายและความสำเร็จของบ้านเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์สัญญาว่าจะทำให้ได้ และเริ่มดำเนินการให้เห็นบ้างแล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อฝ่ายสนับสนุนอีกด้านหนึ่งมันก็ต้องมีพวกต่อต้าน หรือพวกที่สร้างความรำคาญ นั่นก็คือรัฐบาลเก่าและเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่มาในรูปแบบต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งหลังจากมีการทลายเครือข่ายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง มีการจับกุมบุคคลพร้อมอาวุธสงครามร้ายแรง อีกทั้งตัวบุคคลที่เป็นเครือข่ายทุกรูปแบบทุกวงการล้วนน่าตกใจทั้งสิ้น ทำให้เกิดคำถามว่า หากกลุ่ม กปปส.สามารถโค่นล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงได้ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ จะต้องเจอกับความรุนแรงตามมาอย่างนองเลือดค่อนข้างแน่ เพราะการจับกุมอาวุธดังกล่าวย่อมมองเห็นภาพได้ดี และล่าสุดทหารก็ต้องพลีชีพไปหนึ่งนาย จากการเข้าไปตรวจค้นจับกุมเครือข่ายคนเสื้อแดงที่จังหวัดตราด เนื่องคนร้ายยิงต่อสู้ และคนร้ายกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่เคยขว้างระเบิดและใช้อาวุธสงครามถล่มใส่เวที กปปส.ที่จังหวัดตราดทำใหัมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากเมื่อหลายเดือนก่อน
การสร้างกระแสชุมนุมต่อต้าน การยั่วยุให้เกิดการปะทะ ให้เป็นข่าวกระจายในสื่อต่างประเทศที่เป็นเครือข่าย มีการใช้ประเทศตะวันตกมากดดัน เนื่องจากเสียผลประโยชน์ ซึ่งพวกนี้มีเจตนาที่ต้องการให้เกิดความรุนแรง ต้องการให้สถานการณ์บานปลาย หวังว่าเจ้าหน้าที่จะไม่หลงกล
แต่เหนือสิ่งอื่นใดแม้ว่านับจากนี้ไป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ขณะเดียวกันเขาก็ต้องมีภารกิจอันหนักอึ้ง ทั้งเป็นเรื่องเฉพาะหน้านั่นคือปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องชาวบ้าน การขจัดปัญหาคอร์รัปชัน และที่สำคัญก็คือการปฏิรูปประเทศทุกภาคส่วน ที่เป็นความคาดหวังและเขาก็ได้ประกาศไปแล้วว่า “ต้องทำ” นี่ต่างหากที่ต้องจับตา
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากคำพูดสำคัญที่เขา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดออกมาหลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ว่า “การใช้อำนาจต้องระมัดระวัง ยิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง” นั่นก็แสดงให้เห็นในเบื้องต้นแล้วว่าเขาเข้าใจดี
ส่วนเรื่องการตั้งสภานิติบัญญัติ สภาปฏิรูป หรือตั้งนายกรัฐมนตรีเมื่อไหร่ หรือใครจะมาเป็น นั่นเป็นเรื่องที่ต้องตามมาในภายหลัง แต่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และประชาชนที่ให้โอกาสเขาเท่านั้น!!