คณะกรรมการวินิจฉัยฯ ชี้คดีปลด “อภิสิทธิ์” ออกจากทหาร เป็นอำนาจศาลยุติธรรม ด้านศาลปกครองเตรียมโอนคดีเพื่ออำนวยความสะดวกคู่กรณี ขณะที่ศาลยุติธรรมชี้ปมสำคัญต้องวินิจฉัยเอกสารปลอม และใช้เอกสารปลอมหรือไม่
วันนี้ (26 พ.ค.) ที่ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองกลางอ่านคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ในคดีหมายเลขดำที่ 2900/2555 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้องรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดี กรณีออกคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1163/2555 ลงวันที่ 8 พ.ค. 2555 ให้ปลด ร.ต.อภิสิทธิ์ออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. 2531 เป็นต้นไป โดยคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล เห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เนื่องจากเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ สืบเนื่องมาจากคำสั่งกระทรวงกลาโหม ที่ 1163/2555 ลงวันที่ 8 พ.ย. ที่ปลด ร.ต.อภิสิทธิ์ออกจากราชการ เนื่องจากกระทำผิดวินัยทหารอย่างร้ายแรง
โดยปรากฏข้อเท็จจริงตามคำให้การว่า ขณะ ร.ต.อภิสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งยศแล้ว ได้นำใบสำคัญ สด.9 แทนฉบับที่ชำรุดสูญหาย ไปขึ้นทะเบียนทหารกองประจำการจนทำให้เจ้าหน้าที่ สัสดีผิดหลงออกใบสำคัญ สด.3 ขั้นทะเบียนกองประจำการให้แก่ ร.ต.อภิสิทธิ์ รมว.กลาโหมขณะนั้นจึงมีคำสั่งปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร พ.ศ. 2476 และข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการบรรจุ ปลด ย้าย เลื่อน และลดตำแหน่งข้าราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2502 ประกอบข้อบังคับทหาร ที่ 11/16536 พ.ศ.2482 ลงวันที่ 14 พ.ย. พ.ศ. 2482 ว่าด้วยการแบ่งประเภทนายทหารสัญญาบัตร ซึ่งเป็นข้อบังคับและระเบียบแบบแผนเกี่ยวกับวินัยทหารตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 กรณีจึงเป็นเรื่องวินัยทหารตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 คดี ที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ทั้งศาลปกครอง และศาลยุติธรรม คือศาลแพ่ง ได้แสดงเหตุผลที่เห็นว่าคดีดังกล่าวควรอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลตน โดยศาลแพ่งให้เหตุผลว่าหากข้อความในเอกสารใบสำคัญดังกล่าวยังไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเท็จหรือไม่ ข้อสงสัยในเอกสารก็ยังคงมีอยู่ และอาจถูกนำไปอ้างให้เกิดปัญหาเป็นคดีไม่สิ้นสุด ประเด็นของข้อความจึงมีความสำคัญที่ควรได้รับการวินิจฉัยโดยศาลเสียก่อนในลำดับแรก เมื่อได้ความเช่นใดแล้วจึงจะมีการวินิจฉัยว่าคำสั่งให้ปลด ร.ต.อภิสิทธิ์ออกจากราชการเป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ในลำดับต่อไป อันเป็นประเด็นรอง ขณะที่การพิจารณาว่าเอกสารใดเป็นเอกสารเท็จ และมีการใช้เอกสารเท็จ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนหรือไม่ เป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญา คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจควบคุมตรวจสอบของศาลยุติธรรม
ส่วนที่โต้แย้งกันว่า ร.ต.อภิสิทธิ์อยู่ในบังคับ พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหารหรือไม่ ซึ่งควรได้รับการวินิจฉัยเป็นกรณีหลัก ไม่ควรได้รับวินิจฉัยในชั้นของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล เพราะอาจมีผลครอบงำให้คดีต้องมีคำพิพากษาตามทำให้ขาดอิสระในการพิจารณาพิพากษา รวมทั้งการวินิจฉัยว่าประเด็นนี้ จำเป็นต้องนำกฎหมายว่าด้วยวินัยทหารมาพิจารณาวินิจฉัยว่าใช้บังคับแก่กรณีนี้หรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีที่อยู่ในความหมายของคำว่า การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหารตามมาตร 9 วรรคสอง (1) ศาลปกครองจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ จึงเห็นว่าอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
สำหรับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด ประกอบด้วย นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด นายจรัญ หัตถกรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง พล.ร.ท.กฤษฎา เจริญพานิช หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร และพล.ต.พัฒนพงษ์ เกิดอุดม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิศาลทหาร และนายจิระ บุญพจนสุนทร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ นายไพโรจน์ มินเด็น โฆษกศาลปกครอง ชี้แจงคดีนี้ว่า เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดฯ มีคำวินิจฉัยออกมาก็มีผลผูกพันให้คดีอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมแต่เพียงศาลเดียว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่คู่กรณี สำนักงานศาลปกครองจะทำการโอนสำนวนคดีไปดำเนินการต่อในศาลยุติธรรมได้โดยทันที คู่กรณีไม่ต้องไปยื่นฟ้องใหม่แต่อย่างใด