โฆษก กปปส.ยกศาลวินิจฉัยครบคดีย้าย “ถวิล” มีอำนาจรับเรื่องเหตุรัฐรักษาการ “ปู” พ้นตำแหน่ง รักษาการต่อไม่ได้รวมถึง ครม.ที่รู้เห็น ชี้ทีเหลือก็พ้นตาม ขอ ขรก.เลิกฟังคำสั่ง อ้างวันนี้ไม่มีรัฐโอกาสดีตั้งรัฐ ปชช. เตือน ศอ.รส.อย่าดึงฟ้าต่ำ ยกเป็นชัยชนะศึกหนึ่ง “สุริยะใส” ชี้ศาลสร้างบรรทัดฐานใหม่ มติ ครม.ต้องร่วมรับผิดชอบ ผูกพันต่อคดีโกงข้าว
วันนี้ (7 พ.ค.) ที่ถนนสาธุประดิษฐ์ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นการใช้อำนาจแทรกแซงและขัดรัฐธรรมนูญว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยครบทั้ง 3 ประเด็น คือ 1. ศาลมีอำนาจรับเรื่องไว้พิจารณาและวินิจฉัย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เมื่อยุบสภาก็ยังคงเป็นรักษาการ 2. การวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถรักษาการต่อไปได้ และ 3. ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มีส่วนรู้เห็น ต้องพ้นตำแหน่งด้วย ทำให้คณะรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน เพราะไม่มีอำนาจที่จะอ้างรักษาการต่อไป วันนี้ประเทศไม่มีนายกรัฐมนตรี ไม่มีรัฐบาล และคณะรัฐมนตรีแล้ว ดังนั้นอำนาจอธิปไตยจึงกลับคืนสู่ประชาชน และเป็นโอกาสดีที่ประชาชนจะได้จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน และรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีไม่มีความชอบธรรมในการแต่งตั้งคนมารักษาการแทน
นายเอกนัฏกล่าวต่อว่า ขอให้ทุกฝ่ายเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) อย่าบังอาจทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัย เพราะวันนี้รัฐบาลไม่มีความชอบธรรมแล้ว ทั้งนี้ถือว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามก็เป็นหน้าที่ของประชาชนและข้าราชการต้องลุกขึ้นมาปกป้องกฎหมายสูงสุดของบ้านเมือง โดยข้าราชการก็ไม่ต้องฟังคำสั่งของคณะรัฐมนตรีแล้ว เพราะไม่มีอำนาจตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม กปปส.ถือว่าวันนี้เป็นชัยชนะศึกหนึ่งของการต่อสู้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะทำให้การเคลื่อนไหวของประชาชนมีพลังมากขึ้นด้วย ส่วนท่าทีของ กปปส.นั้น ขอให้รอฟังการปราศรัยจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีนและกรรมการ กปปส. แสดงความเห็นว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นจากตำแหน่งและบรรดารัฐมนตรีอีก 9 คนที่ร่วมประชุม ครม.ย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี มิชอบต้องพ้นสภาพไปด้วยนั้น ถือเป็นคำวินิจฉัยที่ตอกย้ำว่ารัฐบาลในระบอบทักษิณขาดความชอบธรรมแล้ว จะยื้อรักษาการต่อยิ่งจะสร้างปัญหาใหม่ตามมา
นายสุริยะใสระบุต่อว่า ประเด็นนำคัญของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ได้สร้างบรรทัดฐานคำวินิจฉัยใหม่ที่น่าสนใจ และต้องผูกพันกับทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ ป.ป.ช.ที่เตรียมชี้มูลคดีทุจริตจำนำข้าวเร็วๆ นี้ เพราะคำวินิจฉัยของศาลฯ ไม่ได้ทำให้พ้นสภาพเฉพาะคุณยิ่งลักษณ์คนเดียว แต่บรรดาคณะรัฐมนตรีที่ร่วมพิจารณาในขณะนั้น ให้ถือว่ามีส่วนรู้เห็นต้องรับผิดชอบและต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะตัวคุณยิ่งลักษณ์คนเดียว
นายสุริยะใสเผยอีกว่า เท่ากับว่าเรื่องใดหรือมติใดที่ ครม.มีส่วนรู้เห็นและเป็นมติต้องร่วมกับรับผิดชอบ ไม่ใช่ น.ส.ยิ่งลักษณ์คนเดียว ถ้าเป็นเช่นนี้จะส่งผลผูกพันต่อคำตัดสินชี้มูลของ ป.ป.ช.ในคดีทุจริตจำนำข้าวทันที เพราะโครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาและดำเนินการโดยคณะรัฐมนตรีทุกชุด โดยไม่มีการทบทวนแม้ ป.ป.ช. และ สตง.จะทักท้วงแล้วก็ตาม สอดคล้องกับคำใหัการของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายพิชิต ชื่นบาน ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ให้การต่อ ป.ป.ช.ว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรี
“ฉะนั้น ถ้าถือเอาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นบรรทัดฐาน คำชี้มูล ป.ป.ช.จะส่งผลให้ ครม.ทั้งคณะและทุกชุดในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปด้วย” กรรมการ กปปส.ระบุ