ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้เชื่อว่าหลายคนคงรำคาญกับความเคลื่อนไหวของบางคนที่ไม่รู้จักสถานะตัวเองว่ามีแค่ไหน ยังคิดว่าตัวเองเป็นผู้นำทางความคิด ผู้นำที่คนศรัทธา ซึ่งสมัยก่อนอาจจะใช่พอพูดแบบนั้นได้บ้าง แต่ในตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะชาวบ้านจำนวนมากเขา “ตื่นรู้” และรู้จริงอย่างเหนียวแน่น ไม่ใช่วูบวาบเหมือนที่ผ่านมาแล้ว มันเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ชาวบ้านกำลังขีดเส้นให้นักการเมืองต้องเดินตาม
เพียงแต่ว่าชาวบ้านที่ตื่นรู้แม้จะมีจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ใช่ตื่นรู้ทั้งหมด เพราะยังมีบางกลุ่มบางพวกที่แม้จะตื่นรู้แต่ก็เป็นผลจากการรับรู้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนกลายเป็นว่าไปเป็นเครื่องมือของกลุ่มโจรชั่วทางการเมืองไปเสียอีก อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในที่สุดแล้วพวกเขาก็จะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองในที่สุด แต่คงต้องใช้เวลา
เชื่อหรือไม่ว่าความวุ่นวายในบ้านเมืองทุกวันนี้หากมองให้ลึกลงไปแล้วจะพบว่าสาเหตุมาจากความตื่นรู้ของชาวบ้าน ได้รับรู้ข้อมูลความชั่วจากการเข้าถึงข้อมูลที่ไหลทะลักเข้ามาแบบสายน้ำ ในยุคโซเชียลฯ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ชาวบ้านสามารถกลายเป็น “นักข่าว” เอง และส่งข่าวประจานให้สังคมได้รับรู้อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าบางครั้งจะเป็นการสร้างหลักฐานเท็จเพื่อทายฝ่ายตรงกันข้าม แต่ด้วยข้อมูลที่มาอย่างรอบด้านทำให้มีการคัดกรองได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะหลักฐานที่มีทั้งภาพและเสียง รวมทั้งสามารถค้นหาข้อมูลย้อนหลังมายืนยันได้ตลอดเวลา เหมือนอย่างที่นักการเมืองเคยโกง เคยมีญาติพี่น้องทุจริต หรือแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะก็มีการประจานให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
จะว่าไปแล้วพฤติกรรมชั่วๆ ของนักการเมืองนั้นมีมานานแล้ว เป็นเรื่องปกติไม่ค่อยแตกต่างจากปัจจุบันเท่าใดนัก เพียงแต่ว่าในสมัยก่อนชาวบ้านขาดการรับรู้และเข้าถึงข้อมูลด้วยตัวเอง แต่เมื่อเข้าสู่ยุคโซเชียลฯ ทำให้ทุกคนฉลาดขึ้นตาสว่างขึ้น จนกระทั่งไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสื่อกันมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องฟังบรรดานักวิชาการเหมือนแต่ก่อน และในเวลานี้สังคมกำลังชี้นำสื่อ เพราะสื่อกำลังหาข่าว หาข้อมูลจากเฟซบุ๊กจากคลิปของชาวบ้าน กลายเป็นว่าความคิดของชาวบ้าน “แหลมคม” กว่าพวกสื่อขี้ข้า นักวิชาการกระจอกๆ ที่เคยอวดตัวมานาน
การตื่นรู้ของชาวบ้านดังกล่าวแม้จะมีมากขึ้น แต่มันก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด หรือยังมีบางกลุ่มยังมีความคิดสวนทาง กลายเป็นเครื่องมือของนักการเมืองไปเสียอีก แต่เอาเป็นว่าความตื่นรู้ของชาวบ้านส่วนใหญ่เขา “เหลือทน” กับนักการเมืองทุกคนในบ้านเมืองนี้ไปแล้ว และยืนยันว่าจะไม่ยอมทนอีกต่อไป และนี่แหละจึงเป็นที่มาของการออกมาขับไล่รัฐบาลชั่ว นักการเมืองชั่วทุกคน ต้องการให้เกิดการปฏิรูปและปฏิวัติโดยประชาชนล้วน เพื่อวางกติกากันใหม่ จากนั้นค่อยเรียกนักการเมืองที่ในความหมายใหม่ตีองเปรียบเหมือน “ขี้ข้าของชาวบ้าน” เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่สำเร็จเด็ดขาด เพราะยังมีการขัดขวางจากกลุ่มนักการเมือง เพราะเขาเสียประโยชน์จึงพยายามต้านทานอย่างเต็มที่ แต่เชื่อเถอะไม่ว่าจะอย่างมันก็ย่อมผ่านไปจนได้ เพราะถึงอย่างไรชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่ม กปปส.ที่กำลัง เชิด กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ในเวลานี้เขาไม่ยอมถอยหรอกเพราะได้เดินมาไกลเกินกว่าที่ถอยหรือประนีประนอมกับใครแล้ว และเชื่อหรือไม่ว่าแม้นาทีนี้กำนันสุเทพ จะถอดใจ แต่รับรองว่าชาวบ้านเขาก็ไม่ยอมถอยอย่างเด็ดขาด ดีไม่ดีจะรุมกระทืบเอาด้วยซ้ำ
อย่างที่บอกแล้วว่า พวกเขาล้ำหน้าไปไกลแล้ว ไม่ยอมนักการเมืองไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น เพราะพวกเขาอดทนมานาน จนเหลือจะทนอีกต่อไป
นั่นคือปรากฏการณ์ของมวลมหาประชาชนที่กำลังเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่กำหนดเอาไว้อย่างมั่นคง นั่นคือการปฏิรูปโดยประชาชนเท่านั้น เพียงแต่ว่าหนทางข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่เท่านั้น ซึ่งก็มีสองทางเท่านั้น สำเร็จหรือไม่สำเร็จเท่านั้น ไม่มีการเจรจาแบบวิน-วิน หรือออกเสมอเป็นอันขาด
ดังนั้นความพยายามของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังเดินเกมเจรจากับทุกฝ่าย โดยเฉพาะพวกนักการเมือบเขี้ยวลากดิน ที่สร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็น ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย บรรหาร ศิลปอาชา, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ หรือใครก็ตาม แม้ว่าจะมีที่มาซับซ้อนหรือไม่ ชาวบ้านเขาไม่สนใจ และไม่อยากรับรู้ เพราะนั่นไม่เป้าหมาย เป้าหมายที่ต้องการคือต้องกันนักการเมืองทุกคนออกไปอย่าแส่เข้ามาเป็นอันขาด และอย่าได้แปลกใจที่ความเคลื่อนไหวของอภิสิทธิ์ จะเรียกเสียงด่าทอรอบทิศ เพราะในตอนแรกคิดว่าเขาจะเข้าใจจุดมุ่งหมายของมวลชนได้ดีกว่าใคร แต่เห็นท่าทีที่พลิกกลับตาลปัตรแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากคนทรยศ มันถึงมีอารมณ์มากกว่าเดิม และที่สำคัญสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ก็ไม่มีทางสำเร็จ กลายเป็นว่า “มิตรใหม่ก็ไม่มี ขณะที่มิตรเก่าก็หันหลังให้”
อีกไม่นานสภาพของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ