รายงานการเมือง
ทำเอาองคาพยพในหมากกระดานต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองของประเทศไทย อดสงสัยไม่ได้ว่า จู่ๆ ทำไม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) ก็เปลี่ยน “ผู้นำ” กลางศึก
เปลี่ยนจาก “ป้านกแสก-ธิดา ถาวรเศรษฐ” ที่นั่งตำแหน่งประธาน นปช.มาเกือบ 3 ปี สลับตำแหน่งให้ “คางคกตู่-จตุพร พรหมพันธุ์” มานั่งตำแหน่งประธาน นปช.แทน
นอกจากนี้ นปช.ยังเพิ่มตำแหน่งตามโครงสร้างใหม่อีกหลายตำแหน่ง โดยมอบให้ “อำมาตย์เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นั่งตำแหน่งเลขาฯ นปช. เป็นแม่บ้านคู่ใจของ “ทั่นประธานตู่” แถมยังรักษาน้ำใจดันก้น “ธิดา” ให้นั่งตำแหน่งที่ปรึกษา นปช.
หากย้อนกลับไปในช่วงควบปีที่ผ่านมา ชื่อของ “ตุ๊ดตู่” ถูกปล่อยออกมาว่าจะเข้ามานั่งประธาน นปช.คนใหม่ตลอดเวลา นั่นเพราะการนำของ “ธิดาแดง” มีหลายพรรคหลายพวกใน นปช.ไม่ชอบขี้หน้า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2553 ซึ่ง “วีระกานต์ มุสิกพงศ์” ลาออกจากตำแหน่งประธาน นปช. เพราะ “วีระกานต์” ในฐานะผู้นำ นปช.ต่อสู้กับ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ในเมษายน-พฤกษภาคม 2553 ได้ทิ้ง “แดง นปช.” ไปกะทันหันก่อนที่จะจบศึก
กระทั่ง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” สวมบทพระเอกใจดี ไม่คัดค้านการประกันตัว “แกนนำ นปช.” ในชั้นศาล บรรดาหัวโจกเสื้อแดงจึงถูกปล่อยตัวอออกมา จัดตั้งโครงการสร้างเซตทีมงานกันใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภาพของ “โจกแดง” ก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองขั้วชัดเจน ฝั่งหนึ่งเป็น “แกนนำ นปช.ขั้วการเมือง” ฝั่งหนึ่งเป็น “แกนนำ นปช.ฮาร์ดคอร์”
ฝั่ง “แกนนำ นปช.ขั้วการเมือง” นำโดย “จตุพร-ณัฐวุฒิ-เหวง” สนับสนุนให้ “ธิดา” ซึ่งในขณะนั้นมีบทบาทอย่างสูงขึ้นนั่งเป็นประธาน นปช. เพราะทั้ง “จตุพร-ณัฐวุฒิ-เหวง” ไม่อยากเปลืองตัวลงมาเล่นในบทบาทนี้เอง จึงต้องหา “หุ่นเชิด” ที่มีความเหมาะสมมากที่สุดและสามารถควบคุมชักใยอยู่เบื้องหลังได้ ชื่อ “ธิดา” จึงถูกโหวตให้รับตำแหน่งประธาน นปช.อย่างเหนือความคาดหมาย
สร้างความผิดหวังให้ “แดงฮาร์ดคอร์” อย่างมาก โดยเฉพาะ “แรมโบ้อีสาน - สุภร อัตถาวงศ์” และ “ขวัญชัย ไพรพนา” มีข่าวกระฉ่อนถึงขั้นว่า “แกนนำ นปช.สายฮาร์ดคอร์” วอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม นปช.กันเลยทีเดียว
ทั้ง “จตุพร-ณัฐวุฒิ-เหวง” จึงยอมถอยครึ่งก้าว ให้ “ธิดา” นั่งตำแหน่ง “รักษาการ” ประธาน นปช.ไปก่อน
กระทั่งในช่วงต้นปี 2553 ทั้ง “จตุพร-ณัฐวุฒิ-เหวง” เดินสายเคลียร์กับ “แดงฮาร์ดคอร์” ได้ในระดับหนึ่ง จึงยอมให้ “ป้าธิดา” นั่งตำแหน่งประธาน นปช.เต็มตูดสมใจอยาก
กระนั้นบทบาทของ “ป้าธิดา” เป็นเสมือนหุ่นเชิดของ “ตุ๊ดตู่-ไอ้เต้น” การตัดสินใจเคลื่อนไหวในนาม นปช.แทบไม่มีบทบาทเลย หน้าที่หลักที่ “ป้าธิดา” คือการดูแลพี่น้องคนเสื้อแดงที่ยังติดอยู่ในคุก ข้อหาชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และข้อหาพกพาอาวุธ เป็นต้น
ผลงานชิ้นโบแดงของ “ป้าธิดา” จึงหนีไม่พ้นการดีลกับ “กรมราชทันฑ์” โดยเฉพาะในยุคของ “ตำรวจมะเขือเทศ” อย่าง “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย” กุมบังเหียนกรมคุก ร่วมมือกับ “อัยการ-ตำรวจ” แอบทำสำนวนอ่อนปวกเปียกเพื่อปล่อยตัวคนเสื้อแดงออกจากคุกเป็นว่าเล่น
เป็นที่รู้กันดีว่าตลอดระยะเวลาที่ “ป้าธิดา” อาสาเป็นหุ่นเชิดเบอร์หนึ่ง ไม่ได้ทำอะไรที่คิดจากมันสมองของตัวเองเลย หนำซ้ำยังมีข่าวหลุด-ข่าวรั่ว มาโดยตลอดว่า เขม่นกับแกนนำ นปช.หลายคน เพราะแม้จะรู้ตัวว่าเป็นได้แค่หุ่นเชิด แต่ไม่วายชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่แกนนำ นปช.อยู่ร่ำไป จึงสร้างความขุ่นเคืองใจกับกับ “แดงฮาร์ดคอร์” ที่ไม่เอา “ป้าธิดา” ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว หลายครั้งที่ “ป้าธิดา” นัดประชุมแกนนำ นปช.แล้วเบี้ยวนัด หลายครั้งเอะอะก็ทุบโต๊ะไม่พอใจ อีกหลายครั้งที่อารมณ์วัยทองครอบงำด่าคนอื่นแบบสาดเสียเทเสียไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
บรรดาโจกท์ของ “ป้าธิดา” ก็เบอร์ต้นๆ อย่าง “สุภร-ขวัญชัย” แถมระยะหลังเพิ่มตัวละครใหม่ อาทิ “พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ - ชินวัฒน์ หาบุญพาด” เข้ามาอีก
ทะเลาะกันแรงถึงขั้น “แดงฮาร์ดคอร์” ออกมาปล่อยข่าวพร้อมแยกตัวออกจาก นปช. แต่ก็ยังเกรงใจบารมีของ “ตุ๊ดตู่-ไอ้เต้น” อยู่บ้าง
กระทั่งมาถึงศึกใหญ่ของ นปช.ที่ต้องรักษาอำนาจทางการเมืองให้ “นายใหญ่” ซึ่งมีคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้ออย่างมวลมหาประชาชนในนาม กปปส.นำโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่เคยพะบู๊กันมาตั้งแต่ปี 53-53 เลยเถิดลามปามไปเผาเมืองจนวายวอดมาแล้ว
แถมยังมีบรรดา “องค์กรอิสระ” จ้องจะฟัน-ทุบ “ระบอบทักษิณ” ให้หมดสิ้นจากสังคมไทยอีก
สถานการณ์เข้มข้นทุกขณะ แกนนำ นปช.ก็สุมหัวปรึกษาหารืออัปเดตกันตลอด หลายๆ วงก็มองไปในทางเดียวกันว่า หากยังปล่อยให้ “ป้าธิดา” เป็นจ่าฝูงกุมบังเหียนต่อไป หากต้องยกทัพจับศึกขึ้นมาจริง จะไม่สามารถประสาน “แกนนำแดงฮาร์ดคอร์” ได้ทั้งหมด เพราะทุกคนใน นปช.เห็นพ้องว่า “ม็อบกำนัน” ทรงพลานุภาพอย่างมาก ทั้งมวลมหาประชาชนที่เป่านกหวีดทีก็แห่แหนกันมาแบบมืดฟ้ามัวดิน ทั้งยังหวาดระแวง “มือที่มองไม่เห็น” ซึ่งเป็นแบ็กอัพอยู่เบื้องหลังอีก หากถึงวันดีเดย์แล้วยังมัวแตกคอกันอยู่ไม่เป็นการดีแน่ จึงต้องปรับโครงสร้างฐานอำนาจทั้งหมด
ชื่อของ “ตุ๊ดตู่” จึงถูกจุดพลุเสนอเข้าในวงประชุม เพราะคงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว แม้ว่าจะมีชื่อ “อำมาตย์เต้น” ขึ้นมาเทียบเคียงวัดสเปก แต่พะนะทั่นก็รีบชิงออกตัวว่า ยังมีตำแหน่งใน ครม. กอดเก้าอี้อำมาตย์ไว้อย่างเหนียวแน่น
แน่นอนว่าการปรับโครงสร้าง นปช.ครั้งนี้ก็เพื่อกระชับอำนาจ มีการรื้อผังโครงสร้างให้ดูมีหัวนอนปลายเท้ามากขึ้น อีกทางก็เพื่อสมานแผลในใจของ “แดงฮาร์ดคอร์” ให้เข้ามาร่วมเคลื่อนไหวขบวนอย่างเต็มที่มากขึ้น
ทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า แนวทางของ “คนเสื้อแดง” นับแต่นี้ไปจะเก็บพับตำราวิชาการ ลดบทบาทการพูดพล่ามตามแนวทางเดิมของ “ป้านกแสก” เข้ากรุ เพื่อเปิดทางให้ “แดงฮาร์ดคอร์” มาเป็นทัพหน้าปรับโหมดเล่นเกมแรงเต็มสูบตามกมลสันดาน อีกทั้งมองว่า “ม็อบกำนัน” ที่แม้จะมี “ของ” เช่นกัน แต่โดยรวมก็ยังเต็มไปด้วยลุงๆ ป้าๆ หรือคนเมืองเป็นส่วนใหญ่ จะเรียกว่า “ม็อบผู้ดี” ก็คงไม่ผิด
การหยิบเอาจุดเด่นถ่อย-เถื่อนมาใช้ในห้วงเวลานี้ก็น่าจะได้ผลชะงัก
เพราะในวันนี้รัฐบาลง่อยเปลี้ยเสียขาขยับอะไรได้ไม่เต็มเต็มหน่วย จึงต้องหน้าที่ นปช.ก็ต้องออกมากองกำลังพิทักษ์อำนาจให้แก่ “ระบอบทักษิณ” อีกทั้งยังต้องปลุกความสามัคคีรวมพลังสร้างผลงานให้ประทับใจ “นายใหญ่” เช่นเคย
เมื่อเสร็จศึกจะได้เข้าคิววางบิลเคลมผลงานได้เต็มที่ เพราะผลงานเก่าที่เคยเคลมลาภยศสรรเสริญเมื่อสมัยร่วมตั้งรัฐบาลเพื่อไทยใหม่ๆ บัดนี้ได้ใช้โควตาจนหมดลงไปเรียบร้อยแล้ว จนเกือบจะโดน “นายใหญ่” ตัดหางปล่อยวัดอยู่รอมร่อ
ดีที่มีศึก กปปส.ผุดขึ้นมาก่อน มิเช่นนั้น “ทักษิณ” คงถีบเรือจ้างทิ้งไปนานแล้ว
เมื่อ “นายใหญ่” กลับมาเรียกใช้บริการ แถมประเมินแล้วว่าศึกนี้หนักกว่าเดิมหลายเท่า หากพลิกเกมได้รับชัยชนะขึ้นมา งวดนี้คงวางบิลเคลมหนักกว่าเดิมอย่างแน่นอน