“สุรพงษ์” รอศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้อง ศรส. ก่อนพิจารณาเลิก-ไม่เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เตรียมเชิญทูตฟังความคิดเห็น มั่นใจปลาย มี.ค.ทุกอย่างจบ เย้ย “สุเทพ” อย่าหวังนายกฯคนกลาง สั่ง ผบ.ตร.ล้อมคอกกระบวนการปลอมพาสปอร์ตระบาด
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะที่ปรึกษาศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กล่าวถึงแนวโน้มการยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) และในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่า คาดการณ์ว่าการพิจาณาคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลแพ่งน่าจะทราบผลภายในสัปดาห์นี้ เพราะฉะนั้น ศรส.จะมีการประชุมพิจารณาโดยรอบคอบอีกครั้งในวันที่ 21 มี.ค.นี้ ก่อนครบกำหนดการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในวันที่ 22 มี.ค. โดยจะมีการนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้สิ่งที่เป็นห่วงคือในส่วนของภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบทั้งแง่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
นายสุรพงษ์เปิดเผยด้วยว่า ในวันที่ 14 หรือวันที่ 17 มี.ค.นี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเชิญทูตานุทูตที่ประจำในประเทศไทยมาชี้แจง และสอบถามความเห็นเกี่ยวกับการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่ากระทบกับการเชื่อมั่นของต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ รวมทั้งขอข้อเสนอแนะในสถานการณ์ภายในไทยจากคณะทูตานุทูตด้วย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสถานการณ์คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว และสังคมเองก็เห็นแล้วว่าใครเป็นอย่างไร
“ขอให้มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะจบสิ้นปลายเดือน มี.ค.นี้แน่นอน ต้นเดือน เม.ย.ทุกอย่างจะดีขึ้น ซึ่งเป็นการจบโดยที่ประเทศไม่เสียหายและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ขอให้นายสุเทพเลิกหวังนายกฯ คนกลาง มันไม่มีแน่นอน เลิกฝันได้เลย” นายสุรพงษ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการจับกุมทหารที่ขนย้ายอาวุธสงคราม นายสุรพงษ์กล่าวว่า เรื่องนี้ได้กำชับให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แล้ว ให้ดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย และให้สืบสวนข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ทหารว่าเป็นการขโมยมาหรือเบิกมาจากคลังอาวุธ
ส่วนกรณีที่มีนักท่องเที่ยวทำพาสปอร์ตหายในประเทศไทย ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับขบวนการทำพาสปอร์ตปลอมนั้น นายสุรพงษ์กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ได้กำชับกับทาง ผบ.ตร.ไปแล้วว่าหากมีการแจ้งพาสปอร์ตหายต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ที่มาแจ้งโดยละเอียด เมื่อเกิดเหตุข้อสงสัยขึ้นจะได้ค้นหาข้อมูลได้ง่าย ส่วนการที่ผู้ประกอบการต่างๆ ไปยึดพาสปอร์ตของนักท่องเที่ยวนั้น ในความเป็นจริงไม่สามารถกระทำได้เพราะถือเป็นเอกสารสำคัญที่ต้องพกติดตัวนักท่องเที่ยวตลอดเวลา โดยพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นทำให้มีข้อสงสัยว่าผู้ประกอบการบางรายเกี่ยวข้องกับขบวนการปลอมแปลงพาสปอร์ตปลอมหรือไม่ และได้ขอให้ทางตำรวจท่องเที่ยวได้จัดการเรื่องนี้โดยด่วน