รองหัวหน้าประชาธิปัตย์ ซัด “ยิ่งลักษณ์” อาสามาทำงานเองไม่ควรเรียกร้องความเห็นใจ ยันจุดพลาดจากรัฐบาลทั้งนั้น จี้แสดงความรับผิดชอบ ฉะเสื้อแดงรุกคุกคามองค์กรอิสระ สงสัยรัฐบาลอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ชี้กรณีศาลปกครองสูงสุดสั่งคืนตำแหน่ง “ถวิล” เป็นอุทาหรณ์ใช้อำนาจมิชอบ
วันนี้ (8 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุตอนนี้รัฐบาลถอยจนสุดทางแล้วด้วยการยุบสภา และวอนให้สังคมเห็นใจว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ควรมาเรียกร้องความเห็นใจ เพราะนายกฯ อาสาสมัครเข้ามาดูแลรับผิดชอบบ้านเมืองเอง และจุดเริ่มต้นปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นจากการบริหารงานแผ่นดินที่ผิดพลาดของรัฐบาลเอง และจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดปัญหาและประชาชนออกมาชุมนุมคัดค้านรัฐบาลเกิดขึ้น 3 ประการ คือ 1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันในทุกระดับ ที่ร้ายแรงที่สุดคือ การทุจริตโครงการจำนำข้าว 2.การบริหารงานแบบไร้ระบบคุณธรรม เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องมากกว่าส่วนรวม และ 3.การใช้เสียงข้างมากลากไปในสภา เพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมล้างผิดให้กับคนโกง
“ดังนั้น อย่ามาเรียกร้องความเห็นใจจากสังคม และอยากให้นายกฯแสดงความรับผิดชอบ เพราะที่บอกว่าการยุบสภา คือการถอยทุกอย่างแล้วไม่เป็นความจริง การยุบสภาของรัฐบาลไม่ใช่การถอย แต่เป็นการรุก เพราะนายกฯและคณะ ทราบดีว่า หากยุบสภาแล้วก็จะเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง และหวังว่าจะนำชัยชนะในการเลือกตั้งมาฟอกขาว สร้างความชอบธรรม แต่วันนี้คนไทยส่วนมากรู้ทันรัฐบาลแล้ว จึงไม่ออกไปสนับสนุนการเลือกตั้ง เพราะประชาชนทราบดีว่าการยุบสภาเป็นกับดักที่มีหลุมพรางคือการเลือกตั้งซ่อม ดังนั้นประชาชนจึงออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง และอยากบอกว่าการเลือกตั้งคงไม่สามารถนำไปสู่เป้าหมายชัยชนะของรัฐบาลได้อีกครั้ง เพราะการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.มีแนวโน้มว่าจะขัดรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะ” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ แถลงว่า ขณะนี้องค์กรอิสระกำลังพิจารณาคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่กระทำผิดกฎหมายในหลายคดี ทำให้เห็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ เกิดขึ้นจากกลุ่มเครือข่ายของรัฐบาลหรือกลุ่มคนเสื้อแดง มีความพยายามกระทำการคุกคาม การทำงานของศาลและองค์กรอิสระในหลายวิธี เพื่อกล่าวหากระบวนการยุติธรรม โดยมีการดำเนินการ 3 วิธี คือ 1.พยายามดิสเครดิตการทำงานขององค์กรอิสระ เช่น การกล่าวหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่ายังไม่มีการโปรดเกล้าฯ จึงไม่สามารถทำหน้าที่ในการวินิจฉัยคำร้องต่างๆ ได้ ทั้งที่ความจริงศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ได้วินิจฉัยชัดเจนแล้วเมื่อวันที่ 10 ก.ย.56 ว่า ป.ป.ช.ชุดนี้ แต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถทำหน้าที่ได้ แต่ก็ยังมีความพยายามดิสเครดิต สร้างความสับสนให้กับคนในสังคม
นายองอาจ กล่าวว่า 2.มีการข่มขู่คุกคามการทำงานขององค์กรอิสระอย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป.ซึ่งเป็นเครือข่ายของคนเสื้อแดง ที่ประกาศว่าจะใช้แผนนารีพิฆาต ใช้อาวุธชีวภาพล่าตัวคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนในทุกๆ ที่ และ 3.มีการปล่อยให้ใช้ความรุนแรงในสถานที่ขององค์การอิสระ ด้วยอาวุธร้ายแรง เกิดการขว้างระเบิดเข้าไปยังที่ทำการของศาล โดยรัฐบาลไม่ได้จริงจังกับการหาคนผิดมาลงโทษ ปล่อยให้มีการดำเนินการใช้ความรุนแรงต่อองค์กรอิสระอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะรักษาการ ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ ดูแลความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง โดยไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ความรุนแรงนี้เกิดขึ้นกับองค์กรอิสระ มิเช่นนั้นแล้วประชาชนอาจสงสัยว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ รู้เห็นเป็นใจหรืออยู่เบื้องหลังการคุกคามทั้ง 3 ประการข้างต้นหรือไม่
นอกจากนี้ นายองอาจ ยังแถลงถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ คืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้แก่ นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ในการใช้อำนาจโดยมิชอบและเกินกว่าเหตุของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล ถือเป็นการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นแนวลูกระนาด เพื่อต้องการให้คนใกล้ชิดของรัฐบาล เข้ามาบริหารงานสนองผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยรัฐบาลกระทำเกินขอบเขตและเป็นอุทาหรณ์สอนใจ 3 ประการ คือ 1.ใช้อำนาจนำคนใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี เข้ามาดำรงตำแหน่งข้าราชการ หรือตำแหน่งทางการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม 2.พฤติกรรมลุแก่อำนาจ คิดว่ามีอำนาจจากเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ได้มาเป็นรัฐบาลจะใช้อำนาจกระการใดๆกับใครก็ได้ และ 3.ไม่ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาล ก็ไม่ควรใช้อำนาจหน้าที่ หรือใช้ดุลพินิจโดยมิชอบในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงอีกต่อไป เพราะจะกระทบต่อระบบคุณธรรม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงานบุคลและงานราชการแผ่นดิน