รอง หน.ปชป.เย้ยนักเลือกตั้งเพื่อไทยขอเปิดประชุมสภา ทั้งที่ กกต.ไม่รับรอง เปรียบแค่สภาโจ๊กของจริงตัวจริง เตือนระวังทำศักดิ์ศรีสภาตกต่ำ ส่อใช้เวทีตัดทอนอำนาจฝ่ายตุลาการ แนะนักการเมืองหันมาดูตัวเองก่อน
วันนี้ (4 มี.ค.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีว่าที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางส่วน เข้าพบนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา และปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา เพื่อขอจัดเวทีระดมความคิดของว่าที่ ส.ส.ให้เหมือนการประชุมสภา และทำงานได้จริงโดยไม่รอให้ กกต.รับรองผลการเลือกตั้งว่า การจัดเวทีระดมความคิดทำได้ตามสิทธิ เหมือนกับกรณีวันเด็กที่มีเด็กเยาวชนมาใช้สถานที่ของรัฐสภา แต่ต้องเข้าใจเหตุที่ กกต.ยังไม่ประกาศรับรองผลเลือกตั้ง เพราะมองเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีปัญหาและยังไม่ได้ ส.ส.ครบ 95 เปอร์เซ็นต์ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และหากมีการประกาศผลรับรองการเลือกตั้งไปแล้ว จะเป็นการชี้นำในเขตที่ยังมีปัญหาในการจัดเลือกตั้งทดแทน เพราะจะเป็นการโน้มน้าวชี้นำได้ และอาจเห็นว่าจะมีคนร้องศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งนี้ว่า ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้นถ้า กกต.ยังไม่รับรองผลเลือกตั้งก็ถือว่ายังไม่ได้เป็น ส.ส.ส่วนเรื่องเงินเดือน ส.ส.ที่ระบุว่า จะไม่ขอรับนั้น ก็ไม่มีสิทธิรับอยู่แล้ว เพราะต้องได้รับการรับรองผลจาก กกต.และต้องมีการปฏิญาณตนต่อที่ประชุมสภา เมื่อเปิดสภาไม่ได้ก็ปฏิญาณตนไม่ได้ ครั้งนี้จึงเหมือนการสร้างภาพที่จะขอทำหน้าที่ ส.ส.ตนเห็นว่า พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ การพูดความจริงไม่หมดและหลอกได้แต่เฉพาะชาวบ้านหรือคนที่ไม่รู้เท่านั้น
นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า หากเขาจะใช้ห้องประชุมสภาทำหน้าที่ของว่าที่ ส.ส.ที่ กกต.ยังไม่รับรองผล มันก็แค่สภาโจ๊กของจริงตัวจริง และคนที่อนุญาตต้องตรองดูว่ามันจะทำให้เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของสภาตกต่ำลงไกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ ส่วนที่จะขอใช้ห้องประชุมสภาเพื่อจัดการเสวนาเรื่อง “เปิดสภาเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย” โดยตั้งเป้าจะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมนั้น ก็ไม่แปลกใจ เพราะที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย และ นปช.พยายามใช้ทุกทางที่จะครอบงำ แทรกแซงเพื่อตัดทอนอำนาจของฝ่ายตุลาการ ศาลที่เสนอให้มีการคัดเลือกผู้พิพากษาศาลต้องผ่านการคัดเลือกจากสภาฯ โดยอ้างว่า ศาลขาลอยไม่ยึดโยงกับประชาชน อ้างสารพัดเหตุ ที่จะครอบงำยึดอำนาจศาลไว้ให้ได้ ทั้งที่ปัญหาวันนี้ควรที่จะปฏิรูปการเมือง นักการเมือง พรรคการเมืองมากกว่าปฏิรุปกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวกับศาล
“นักการเมืองต้องหันมาดูตัวเองก่อน วันนี้ระบบประชาธิปไตยไทยเหมือนมี 3 เครื่องยนต์ คือ 1.บริหาร 2.นิติบัญญัติ 3.ตุลาการศาล เครื่องยนต์ที่ 1 และ 2 มันน็อกดับไปแล้ว เหลือเครื่องยนต์ที่ 3 ที่พยายามเดินหน้าแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังมีคนจะดับเครื่องยนต์ที่ 3 ลงอีก เพราะรู้ว่าสุดท้ายทุกปัญหาต้องมาจบที่ศาลโดยยึดหลักกฎหมาย วันนี้เขาจึงต้องยึดให้ได้ หากดับหมดทั้ง 3 เครื่อง ก็ไม่เป็นประชาธิปไตยอีกแล้ว แต่จะเป็นเผด็จการ ถึงวันนั้น มันจะไม่มีทางแก้ ไร้ทางออก” นายนิพิฏฐ์ กล่าว