นายกฯ ย้ำฝ่ายขึ้นตรง กห.-ผบ.เหล่าทัพ บูรณาการความมั่นคงทุกจังหวัด เน้นกลุ่มเสี่ยงผิด กม.อย่าให้แยกดินแดน แจง ผบ.ทบ.ไม่พูดถึง สปป.ล้านนา ชี้ต้องไม่เลือกปฏิบัติ อ้างปรามทุกกลุ่มทีผิด กม. รับคุย รมต.ตัวปัญหาแล้ว ขอให้เลี่ยงความน้อยใจหวั่นบิดเบือน ปัดถกโผทหาร ไม่ตอบองค์กรเอกชนจี้เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้านโฆษก กห.เผย นายกฯ กำชับกำลังพลไม่ตกเป็นเครื่องมือการเมือง ขอบคุณดูความสงบ สั่งลุยแก้ใต้ให้ ปชช.เชื่อมั่นอำนาจรัฐ
วันนี้ (4 มี.ค.) ที่หอประชุม 80 ปี กองทัพอากาศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมสภากลาโหมร่วมกับ ผบ.เหล่าทัพ ว่าที่ประชุมได้เน้นย้ำกับหน่วยขึ้นตรงของกระทรวงกลาโหม และ ผบ.เหล่าทัพ ให้ดูแลเรื่องความมั่นคงในพื้นที่ทุกจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะกระทำความผิดกฎหมาย และที่อยู่นอกเหนือกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยได้เน้นย้ำว่าจะต้องร่วมมือกันและไม่ให้เกิดเหตุการณ์การแบ่งแยกดินแดน เพื่อที่จะนำความสงบความสามัคคีมาสู่ประเทศไทย
เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ชี้แจงกรณีที่มีการแจ้งความดำเนินคดีต่อ สปป.ล้านนาหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่มี แต่เป็นการพูดคุยกันทั่วไปว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงความเข้าใจของประชาชนก็จะเกิดปัญหา ดังนั้นจะต้องดำเนินการทางกฎหมายพร้อมกับควบคู่กับการทำความเข้าใจกับประชาชนและจะต้องปฏิบัติด้วยความเสมอภาคและเท่าเทียมกันกับทุกกลุ่ม และได้เน้นย้ำในทุกพื้นที่เช่นกันไม่ได้เลือกการปฏิบัติ หรือไม่ได้สั่งการให้จับตาพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นพิเศษ เพราะเป็นสิ่งที่ กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด ดูแล
เมื่อถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านายกรัฐมนตรีไม่ห้ามกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นฐานเสียงสนับสนุนพรรคเพื่อไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ได้ห้ามปรามทุกกลุ่ม ไม่ว่ากลุ่มไหนกระทำผิดกฎหมาย นอกรัฐธรรมนูญก็จะต้องห้ามปรามทุกกลุ่ม ซึ่งถือเป็นหน้าที่ไมได้เลือกการปฏิบัติ เมื่อถามย้ำว่าจะเรียกรัฐมนตรีที่พูดเรื่องสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนมาตักเตือนหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ก็มีการพูดคุยกัน แต่ต้องให้โอกาสรัฐมนตรีได้ชี้แจงในเรื่องของเจตนาต่างๆ ซึ่งทุกฝ่ายต้องพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง หรือความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือความเห็นต่างๆ ที่ถูกนำไปบิดเบือน ก็อยากให้ทุกฝ่ายพูดในสิ่งที่ทำให้เกิดความสามัคคี
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีไม่ตอบคำถามกรณี กลุ่ม 7 ภาคเอกชนออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ด้าน พ.อ.ปภาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมประจำเดือน มี.ค.ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานในการประชุมว่า ในที่ประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอบคุณหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ได้ชี้แจงให้กำลังพลและครอบครัว ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มี.ค.นี้ เพื่อให้การเลือกตั้งฯ ดังกล่าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และบริสุทธิ์ยุติธรรม ทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้กำชับกำลังพลวางตัวให้เหมาะสม ไม่ตกเป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง หรือกระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษ แก่ผู้สมัครรับการเลือกตั้งฯ รวมทั้งแจ้งให้กำลังพลและครอบครัวได้ไปใช้สิทธิเลือกคนดีมีความสามารถ และมีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป
พ.อ.ปภาธิปกล่าวว่า ในที่ประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังได้ขอความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ โดยขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ ซึ่งมีสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีโทรทัศน์อยู่ในความดูแลรับผิดชอบ ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้จัดรายการได้พิจารณาการนำเสนอข่าวในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งให้เป็นไปด้วยความรอบคอบเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ส่วนการติดตามความเคลื่อนไหวจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในห้วงที่ผ่านมา ทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ขอบคุณหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และผบ.เหล่าทัพ ตลอดจนกำลังพลทุกนายที่ได้มีส่วนช่วยเหลือดูแล ให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบเรียบร้อยเป็นอย่างดี และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามการเคลื่อนไหว วิเคราะห์แนวโน้ม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการหามาตรการป้องกันที่เหมาะสมต่อไป
“สำหรับการจัดกำลังพลของกองทัพในการสนับสนุนศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) โดยมีการจัดเป็นชุดช่วยเหลือประชาชน เพื่อดูแลในเรื่องการรักษาความปลอดภัย การรักษาพยาบาล และการเฝ้าระวังเหตุร้ายนั้นนับเป็นสิ่งที่ดี แต่ขอให้พิจารณาดำเนินการดูแลประชาชนทุกฝ่ายทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกันด้วย พร้อมคำนึงถึงที่ตั้งอย่างเหมาะสม และภาพลักษณ์ของประเทศ ส่วนกรณีที่กลุ่มมวลชนใดๆ ก็ตามได้ใช้คำพูดหรือการแสดงออกในเรื่องการแบ่งแยกดินแดนนั้น ทางนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้ผู้ใดหรือกลุ่มใดๆ มีการแบ่งแยกหรือมีการกระทำในลักษณะที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นอันขาด โดยขอให้หน่วยงานความมั่นคง โดยเฉพาะกองทัพในสายงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้กวดขัน ตรวจตราและดำเนินการตามกฏหมายอย่างเคร่งครัดกับทุกลุ่ม ทุกบุคคลอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจและเร่งให้ความสงบสุขกลับคืนมา” โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าว
โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวต่อว่า ในที่ประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้พยายามสร้างความเข้าใจสร้างความมั่นใจในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยยึดถือยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “เศรษฐกิจพอเพียง” รวมทั้งให้นำแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีของรัฐบาลมาใช้อย่างจริงจัง และเกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นพร้อมทั้งนำความสงบสุขกลับคืนสู่พื้นที่โดยเร็วต่อไปและขอฝากชมเชยกำลังพลทุกนาย ซึ่งในห้วงที่ผ่านมาได้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท และเสียสละทั้งนี้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องสำคัญที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ รัฐบาลถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหา และจากการใช้มาตรการต่างๆ ภายใต้กรอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบาย และยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา จังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาล ทำให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความเชื่อมั่น และศรัทธาในอำนาจรัฐ พร้อมทั้งให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การก่อเหตุความรุนแรงและการปลูกฝังแนวความคิดที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงยังคงมีอยู่