“อภิสิทธิ์” เผยเตรียมยื่นศาล รธน.วินิจฉัยการเลือกตั้ง 2 มี.ค.เป็นโมฆะอีกรอบ จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพิ่มเติม ทั้งการเลือกตั้งทดแทนมีผู้ใช้สิทธิแค่ 10% และไม่สามารถเปิดประชุมสภาภายใน 30 ได้ตามที่ รธน.บัญญัติ จี้ “ยิ่งลักษณ์” ปลด “จารุพงศ์” พัน มท.1 หลังรับลูกแบ่งแยกดินแดนกับแก๊งเสื้อแดง ก่อนถูกโยงสมรู้ร่วมคิด
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกตั้งทดแทนใน 5 จังหวัด เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมาที่มีประชาชนไปใช้สิทธิเพียง 10% ว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนไม่คิดว่ากระบวนการในการเลือกตั้งทดแทนเป็นทางออกให้กับประเทศ และยังเป็นการเพิ่มข้อเท็จจริงสะสม ดังนั้น การที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.เป็นโมฆะ ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ว่าไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะชี้ให้เห็นว่าไม่สามารถดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในเรื่องของการเปิดสภา หรือมีสภาได้นั้น ในวันนี้มีข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น ดังนั้นพรรคจะมีการยื่นอีกครั้ง เป็นการเพิ่มเงื่อนไขให้เห็นว่าในที่สุดไม่สามารถดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในเรื่องของการเปิดสภา หรือมีสภาได้ ภายใน 30 วันตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ส่วนที่แกนนำพรรคเพื่อไทยมีความคิดเรื่องการแบ่งแยกประเทศ และการตั้งกองกำลังของตัวเองขึ้นนั้น นายอภิสิทธิ์มองว่าแนวคิดดังกล่าวเป็นเรื่องของกลยุทธ์ การข่มขู่ ปลุกปั่น และการปลุกระดม ซึ่งก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เห็นชัดเจนถึงความไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ที่ต้องระวังคือการระดมปลุกปั่นถือเป็นภัยต่อความมั่นคง และไม่ใช่เพียงวาทะกรรมที่ไม่ควรประมาท หรือปล่อยให้มีการปลุกระดมจนลุกลามบานปลาย
“เรื่องนี้ไม่ใช่วาทกรรมแน่นอน เพราะมีการวางแผน และมีการกระทำ และะอย่ามองว่า คนไม่กี่คนที่มีความคิดแบบนี้ มันไปไม่ได้ ต้องดูด้วยว่าเขาไม่สามารถที่จะไปปลุกปั่น ปลุกระดม จนกระทั่งคนเกิดความไขว้เขว และเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา ไม่เช่นนั้นปัญหาจะลุกลามต่อไป”
นายอภิสิทธิ์ยังเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ควรดำเนินการตักเตือน หรือปลดนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกจากตำแหน่ง รมว.มหาดไทย หากเห็นว่าสิ่งที่กระทำนั้นไม่เหมาะสม มิเช่นนั้นอาจจะถูกกล่าวหาว่าร่วมกับกระบวนการนี้ด้วยและเจ้าหน้าที่ตำรวจควรจะเข้าไปสอบสวนเพราะถือเป็นความผิดซึ่งหน้า
“เราไม่เคยเห็นคนเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง อย่าว่าแต่พรรคการเมืองใหญ่เป็นอันดับ 1 และเป็นแกนนำในรัฐบาลเลย หัวหน้าพรรคการเมืองไหนก็ไม่เคยพูดจาแบบนี้ หรือมีการกระทำแบบนี้ เราไม่เคยเห็นคนเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย อย่าว่าแต่กระทรวงมหาดไทยเลย กระทรวงอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ผมก็ยังไม่เคยเห็นรัฐมนตรีคนไหนพูดจาแบบนี้ ใช้ไม่ได้ไม่มีความรับผิดชอบ แล้วก็สมควรอย่างยิ่งที่นายกฯ จะต้องปลดออก และเรื่องนี้มันไม่ได้มีความสลับซับซ้อนในการสืบสาวราวเรื่อง แค่เปิดโทรทัศน์ช่องสีแดงดู ก็เห็นคำพูดต่างๆ ออกมาชัดเจนอยู่แล้ว แล้วใครเป็นใครก็เห็นอยู่บนเวทีกันอยู่แล้ว”