สะเก็ดไฟ
เวลานี้ถือเป็นยุค “อำนาจมืด” ภายใต้รัฐตำรวจครองเมืองอย่างแท้จริง
เหตุการณ์ข่มขู่ที่เกิดขึ้นหลายครั้งนับแต่การเกิดขึ้นของมวลมหาประชาชน ตั้งแต่ 31 ตุลาคม 2556 จนถึงปัจจุบัน เช่น การปาระเบิดบ้านตั๊น-จิตภัสร์ กฤดากร, ปาระเบิดใส่ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์, เหตุระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง หรือที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, การยิงเอ็ม 79 ใส่เวทีชุมนุม กปปส. เช่นที่แจ้งวัฒนะ และห้าแยกลาดพร้าว เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตำรวจไม่เคยจับคนร้ายได้เลย ทั้งที่มีภาพจากกล้องวงจรปิดที่น่าจะสืบสวนขยายผลได้ แต่ก็เกียร์ว่างกันไปหมด
ล่าสุดกับเหตุการณ์ที่สร้างความตระหนกตกใจให้ผู้คนจำนวนมากก็คือ เหตุการณ์คนร้ายลอบใช้เครื่องยิงลูกระเบิดชนิดเอ็ม 79 จำนวน 1 ลูก ยิงใส่ที่หน้าต่างชั้น 7 อาคารศาลอาญา เหตุเกิดเมื่อดึกสงัด 14 ก.พ.ที่ผ่านมา จน ธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ที่เป็นคนไม่ให้สัมภาษณ์อะไรกับใคร ยังต้องออกมาระบุว่าศาลอาญาก่อตั้งมาจะครบ 132 ปี ยังไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แต่ก็ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ศาลหวั่นไหวแต่อย่างใด
การสอบสวนของตำรวจคงดำเนินกันไป แต่ดูแล้วก็คงไม่แตกต่างจากเหตุการณ์อื่นๆ คือ ยากที่ตำรวจจะจับมือใครยิงได้
แต่ที่น่าสนใจก็คือ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ในวันรุ่งขึ้นคือ 15 ก.พ. จะเป็นวันซึ่งดีเอสไอจะยื่นคำร้องขอฝากขัง สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม อดีต ผอ.สำนักข่าวทีนิวส์ และหนึ่งในแกนนำ กปปส.ที่ถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ก่อนหน้านี้ ในกรณีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อันเป็นการยื่นคำร้องขอฝากขังผลัดแรก ตั้งแต่วันที่ 15-26 ก.พ. รวมระยะเวลา 12 วัน
ที่ศาลอาญาพิจารณาคำร้องฝากขังของดีเอสไอ และคำร้องขอประกันตัวของสนธิญาณแล้วเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีตามคำร้องของผู้ร้อง-สนธิญาณ แล้วประกอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งศาลอาญาก่อนหน้านี้ ที่มีคำสั่งเมื่อ 13 ก.พ.ที่ศาลอาญาสั่งยกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ตำรวจคุมตัวนายสนธิญาณต่อ เพราะเห็นว่าตำรวจควบคุมตัวสนธิญาณมา 4 วัน มีการสอบปากคำไปมากแล้ว จึงเกินความจำเป็นที่จะควบคุมตัวต่อไป
ทางศาลอาญาจึงมีคำสั่ง 15 ก.พ.ไม่ให้อนุญาตขยายเวลาควบคุมตัวนายสนธิญาณ และให้ปล่อยชั่วคราวไปแล้ว
เหตุคนร้ายลอบใช้เครื่องยิงลูกระเบิดชนิดเอ็ม 79 ใส่ตึกศาลอาญา จะเป็นเรื่องการสร้างสถานการณ์ข่มขู่ทางการเมือง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของสนธิญาณหรือไม่ นักวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองก็พยายามจะวิเคราะห์กันไป
แต่สิ่งสำคัญก็คงต้องสะท้อนกันตรงๆ ว่า ศาลยุติธรรม เป็นองค์กรซึ่งทุกคนเชื่อมั่นในความยุติธรรม เป็นที่พึ่งได้ แล้วถ้าศาลที่มีภูมิคุ้มกันทางสังคมสูงมาก ต้องมาโดน “ข่มขู่-คุกคาม” กันแบบนี้ โดยเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถคลี่คลายคดี หรือปกป้องศาลได้ แล้วประชาชนจะเหลืออะไร
ขณะเดียวกัน เมื่อห่างจากเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ศาลอาญาไม่กี่ชั่วโมง ก็มาเกิดเหตุคนร้ายบุกใช้อาวุธปืนกราดยิง 4 นัด ใส่บ้าน ประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด - กรรมการบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) - อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.49 แต่บทบาททางสังคม และการเมืองที่คนรู้จักกันดีก็คือ ประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน เครือข่ายนี้เป็นการเกิดขึ้นขององค์กรต่างๆ ที่มาจับมือกันในลักษณะภาคีความร่วมมือเพื่อรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชัน
กรณีของศาลอาญา ดูแล้วการกระทำของคนร้าย มุ่งหวังผลในเชิงสัญลักษณ์ คือต้องการแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจในตัวองค์กร-สถาบันศาลจึงก่อเหตุต่อตัวอาคารศาลอาญา แต่กรณีของประมนต์ ซึ่งเจ้าตัวยืนกรานกับตำรวจว่า ไม่เคยมีเรื่องอะไรกับใคร จึงน่าจะมุ่งหมายข่มขู่แบบเฉพาะเจาะจง ไม่ได้ทำในเชิงสัญลักษณ์
ทั้งนี้ ชื่อของประมนต์ก่อนจะมาเจอกับเหตุการณ์ระทึกขวัญแบบนี้ไม่กี่วันมานี้ ก็ตกเป็นข่าวว่าเป็นหนึ่งในรายชื่อท่อน้ำเลี้ยงของ กปปส. ที่สื่อรายงานว่าประมนต์เป็นหนึ่งในลิสต์รายชื่อท่อน้ำเลี้ยงของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ซึ่งจนถึงป่านนี้ ศรส.ก็ไม่เห็นจะมีการแถลงรายชื่ออย่างเป็นทางการตามที่ออกมาขู่แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม บทบาทที่โดดเด่นที่สุดของภาคีเครือข่ายฯ ที่ทำให้หลายคนพูดถึงมากที่สุด ในช่วง 3-4 เดือน ที่ผ่านมาแต่หลายคนอาจลืมไปแล้วก็คือ บทบาทของภาคีเครือข่ายฯ ในการออกเป็น แถวหน้ากลุ่มแรกๆ ที่เคลื่อนไหวต่อต้าน “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ” ซึ่งถือเป็นกลุ่มแรกๆ เลยด้วยซ้ำ ที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านกฎหมายล้างผิด อุ้มคนชั่วปล่อยคนโกงลอยนวล เช่น การที่ คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม รองประธานภาคีฯ ไปยื่นหนังสือที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เพื่อประจานสภาทาสในการเห็นชอบ พ.ร.บ.ล้างผิดดังกล่าว ก่อนที่จะเกิดกระแสลุกฮือของคนทั้งประเทศในเวลาต่อมา
ดังนั้น หากจะถามว่าอะไรที่ทำให้คนในเครือข่ายระบอบทักษิณไม่พอใจภาคีเครือข่ายฯ มากที่สุด ก็น่าจะเป็นเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ยิ่งหากไปเชื่อข้อมูลมั่วๆ ของ ศรส.ที่โยงว่า ประมนต์ เป็นกลุ่มทุนให้ กปปส.ล้มรัฐบาลเพื่อไทย จึงน่าจะมีเหตุผลพอที่เชื่อได้ว่าเป็นชนวนเหตุที่คนร้ายไปยิงปืนใส่บ้านพักประมนต์
เพื่อเป็นการสั่งสอน และต้องการส่งสัญญาณเตือนพวกฝ่ายต่อต้านทักษิณ