“องอาจ” ดักนายกฯ คาดมีป่วนหนักเอื้อต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน บี้ระงับ แนะ รัฐ-กกต.หาทางออกเลือกตั้ง ยึดหลักหารือ 3 ข้อ ชี้อคติเห็นแก่ตัว เสียเวลาเปล่า “ชวนนท์” ซัด รมว.กต.ไร้วุฒิภาวะไร้เดียงสาการทูต เชิญทูตมาวิจารณ์ กกต. จวก “ธาริต” ลุแก่อำนาจ ขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ม.17 ฉะนายกฯ ขาดวุฒิภาวะชาติวุ่นกลับหนีไปทำบุญ ไล่ลาออก “มัลลิกา” ปูดแผนแก้กรรมจากพม่า วางแผนให้นางพญาปูเหยียบทำเนียบสัปดาห์หน้าแก้เคล็ด เตือนสติแก้กรรมได้แต่ไม่พ้น
วันนี้ (16 ก.พ.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม กปปส.และกลุ่มอื่นที่ยังถูกใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนือง และยังมีสถานการณ์ที่บ่งชี้ว่าจะก่อความรุนแรงให้กระทบต่อการชุมนุม การเคลื่อนไหวของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในขณะนี้จะเห็นได้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์ คือ ปาระเบิดเอ็ม 79 ใส่ศาลอาญา หลังจากที่ศาลอาญามีภาระหน้าที่ในการตัดสินคดีความที่อาจเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของประชาชนมากขึ้น ก่อให้เกิดความไม่พึงปรารถนาในบ้านเมือง และยังมีการกราดยิงใส่บ้านนายประมนต์ สุทธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ที่เคลื่อนไหวแสดงจุดยืนต่อต้านการคอร์รัปชัน และพยายามหาทางออกการปฏิรูปประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าอาจจะเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กลุ่ม กปปส.ด้วย ซึ่งตนเห็นว่าการดำเนินการเช่นนี้น่าจะเกิดมาจากเหตุผลหลายประการ ซึ่งอาจเป็นลักษณะการยิงปืนนัดเดียวแต่ก่อให้เกิดผลกระทบกับนกสองตัวเลยหรือไม่
ทั้งนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะมีการหวังผล 2 ประการ คือ 1. ให้ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาว่าจะคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปหรือไม่ 2. เป็นการข่มขู่คุกคามบุคคลที่เห็นต่างจากรัฐบาล หรือองค์กรที่ดำเนินการใดๆ ในสิ่งที่รัฐบาลไม่พึงปรารถนาหรือไม่ เป็นคำถามที่สังคมข้องใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะชัดเจนว่าการดำเนินการในลักษณะนี้สังคมมองเห็นว่าประโยชน์จะตกอยู่ที่ใครอย่างไร เนื่องจากประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับผู้ชุมนุมหรือคนเห็นต่างจากรัฐบาลอย่างแน่นอน จึงน่าจะเป็นความพยายามของผู้มีอำนาจรัฐในบ้านเมือง และเชื่อว่าตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 19 ก.พ. 57 ที่จะมีการพิจารณาว่าจะคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปได้หรือไม่นั้น จะเป็นช่วงเวลาที่มีการปฏิบัติการก่อความรุนแรงทั้งบริเวณจุดชุมุนุมรวมทั้งบุคคลสำคัญหรือองค์กรสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม การปฏิบัติการของรัฐบาล ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้แสดงบทบาทหาทางระงับยับยั้งไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นกับองค์กรที่ทำภาระหน้าที่เพื่อประโยชน์ต่อบ้านเมือง เช่น กรณีของนายประมนต์
“หวังว่า กกต.กับรัฐบาลจะหาข้อยุติร่วมกันได้ โดยต้องยึดหลัก 3 ประการ คือ 1. การเจรจาระหว่าง กกต.กับรัฐบาลต้องไม่มีอคติต่อกัน เพราะหากมีความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันจะทำให้ไม่ได้บทสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง 2. ให้ทั้งสองฝ่ายใช้การพูดคุยคำนึงถึงการแก้ปัญหาแบบครบวงจรนำไปปฏิบัติได้จริง และ 3. ให้ทั้งสองฝ่ายหาข้อสรุปที่ทำให้การเลือกตั้งเป็นทางออกให้กับประเทศที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ มากกว่าหาทางออกให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น หากยึดหลักสามประการนี้ในการหารือก็น่าจะหาทางออกได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ดำเนินการตามนี้การพูดคุยก็อาจเสียเวลาเปล่า”
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่ารัฐบาลตั้งตัวเป็นศัตรูกับทุกฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐบาลใช้อำนาจโดยทุจริตเพื่อประโยชน์ในการคงอำนาจของรัฐบาล โดยดูได้จากการที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ วิจารณ์ กกต.ที่ได้เชิญทูตานุทูตไปชี้แจงสถานการณ์บ้านเมืองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมทั้งที่เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกระบวนการทางการทูต เนื่องจากทูตประเทศต่างๆ มีการรับฟังความเห็นหลากหลายประมวลจัดลำดับความสัมพันธ์กับประเทศไทย ไม่ใช่ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพียงอย่างเดียว คำพูดของนายสุรพงษ์จึงแสดงถึงความไร้เดียงสาทางการทูตและใช้อำนาจรมว.ต่างประเทศใส่ร้ายฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐบาล สะท้อนทัศนคติไม่มีจิตวิญญาณความเป็นประชาธิปไตย เช่นเดียวกับนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทยและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ปฏิเสธจะให้ความร่วมมือกับ กกต.ในการหาทางออกให้ประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำทางจิตวิญญาณที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของคนเหล่านี้ จนทำให้ประชาชนออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
นายชวนนท์กล่าวว่า นอกจากนักการเมืองแล้วข้าราชการที่รับใช้นักการเมืองอย่างออกนอกหน้า เช่น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ทำให้สังคมเห็นชัดเจนถึงการใช้อำนาจรัฐไม่เป็นธรรม ดังที่มีความพยายามจะขยายเวลาควบคุมตัวนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้นายธาริตระบุว่าจะใช้การควบคุมตัวตามหมายจับกบฏ แต่ศาลก็ไม่อนุมัติเพราะยังอยู่ในขั้นหมายเรียกไม่ถึงขั้นหมายจับ เป็นความพยายามใช้อำนาจจัดการประชาชน ขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาตรา 17 เพราะไม่ได้ปฏิบัติโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากยังมีความพยายามที่จะกลั่นแกล้งฝ่ายเห็นต่าง เช่นกรณีที่ศาลให้ยกเลิกการอายัดบัญชี ดร.เสรี วงษ์มณฑา แต่นายธาริตกลับยืนยันจะอายัดบัญชีต่อโดยใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดสะท้อนถึงความเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ใช้วันหยุดเต็มอัตราในขณะที่พี่น้องชาวนากำลังผูกคอตาย และตำรวจเข้าสลายการชุมนุมของประชาชน ส่วนตัวเองไปทำบุญ หากทำได้แค่นี้ต้องพ้นจากตำแหน่งไปเพราะไม่มีความรับผิดชอบ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความตั้งใจที่จะทำหน้าที่ผู้นำประเทศ สะท้อนจากความพยายามแก้กรรมทั้งที่กำลังก่อกรรมกับประชาชนและชาวนา น.ส.ยิ่งลักษณ์คือคู่ขัดแย้งของประเทศขอให้ทำบุญครั้งใหญ่ให้กับประเทศด้วยการลาออกจากตำแหน่งรักษาการโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องเลือกระหว่างการรักษาตำแหน่งนายกรักษาการกับการรักษาชีวิตชาวนา
ส่วน น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลว่าไม่ได้ใช้สมองสร้างวิกฤตมากขึ้น โดยเฉพาะกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส.ที่มุ่งสลายการชุมนุมตามคำสั่งการจากวอร์รูมแก้กรรมจากประเทศพม่า ว่า การใช้ความเชื่อมาแก้วิกฤตประเทศเป็นเรื่องที่บัดซบที่สุดที่เกิดขึ้น เพราะทางออกไม่ได้อยู่ที่การแก้กรรม หรือทำตามความเชื่อของหมอดู และคำสั่งที่ผ่าน ศรส.ใช้กำลังตำรวจจำนวนมากก็เพื่อให้ปฏิบัติตามคำสั่งแก้กรรมที่เหลวไหลสิ้นดี โดยสัปดาห์ที่จะถึงนี้จะมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดจากขบวนการแก้กรรมคือให้นางพญาเหยียบทำเนียบรัฐบาลให้ได้ คือ ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าทำเนียบรัฐบาลให้ได้ หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม ไปเหยียบมาแล้ว ถือเป็นขบวนการที่เหลวไหลยัดเยียดความเชื่อของตัวเองให้ตำรวจและใช้งบประมาณจำนวนมาก โดยเห็นชัดว่าเป็นปาหี่ เหมือนการแสดงละครแต่ใช้งบประมาณของแผ่นดินและบุคลากรของรัฐ บนความสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับทั้งประชาชนและตำรวจ
“ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตั้งสติแก้ปัญหาให้ถูกจุดในการตัดสินใจ ถอยให้ขบวนการประชาชนประเทศเดินหน้าไม่ดันทุรังด้วยการแก้กรรม และความเชื่อเรื่องการแก้กรรมหลังทำผิดนั้นไม่สามารถรอดพ้นคดีความด้วยการแก้กรรมได้ รวมทั้งอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หยุดการสร้างสถานการณ์ ข่มขู่ การกดดัน เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว เพราะจะไม่สามารถทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รอดพ้นจากคดีทุจริตจำนำข้าวได้ และฝากไปถึงชาวนาว่าการจะได้เงินจำนำข้าวนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลเท่านั้น เพราะรัฐบาลรักษาการไม่สามารดำเนินการกู้เงินได้ อีกทั้งรัฐบาลก็ได้ใช้เงินเกินกรอบ 5 แสนล้านบาทไปแล้ว แต่สิ่งที่พยายามทำอยู่เพียงแค่การตบตาพี่น้องชาวนาเท่านั้น”