นายกสมาคมชาวนา อัดรัฐบาลกลางรายการ “เจาะข่าวเด่น” อย่าโทษม็อบทำให้จ่ายค่าข้าวไม่ได้ ชี้ชุมนุมเกิดหลังชาวนาถือใบประทวน อีกทั้งอ้างว่ามีเงินพร้อมแล้วแต่เพราะปิด ก.คลัง แต่พอเปิดพื้นที่ไปเป็นเดือนแล้วทำไมยังไม่จ่าย พร้อมเสนอทางออกให้ปัญหาจบเร็วควรลาออกไป ด้าน “ยรรยง” เถียงไม่ออก แถมปรี๊ดแตกจวกกลับอย่างดูถูกว่า “ลาออกไปจะได้เงินยังไง แค่หัวหน้าชาวนายังคิดไม่ออกเลย”
วันนี้ (7 ก.พ.) รายการ “เจาะข่าวเด่น” ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้มีการเชิญนายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนา มาร่วมสนทนาถึงกรณีปัญหาโครงการรับจำนำข้าว
โดยนายยรรยงกล่าวว่า ชาวนาที่มาชุมนุมเป็นส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่เข้าใจอยู่แล้วว่าโครงการนี้เป็นเมกะโปรเจกต์ต้องการช่วยชาวนาทุกครัวเรือนอย่างเท่าเทียม ใช้เงินไปมาก ในปีแรกใช้ไป 3.4 แสนล้านบาท ปีที่สอง 3.5 แสนล้านบาท และปีนี้จ่ายไปแล้ว 5.9 หมื่นล้านบาท แต่ละครั้งที่เอาเงินมาใช้หมุนเวียนผ่านการกู้ยืมเป็นหลัก และมาจากการระบายข้าว 20-30 เปอร์เซ็นต์ เรามั่นใจเพราะ 2 ปีที่ผ่านมาจ่ายได้ตามปกติไม่ติดขัด แต่ปีนี้ติดขัดเพราะปัญหาการเมือง ก่อนยุบสภารัฐบาลถูกโจมตีเรื่องวินัยการเงินการคลัง เลยไม่อยากยืมเงินมาใช้ในโครงการนี้เกิน 5 แสนล้านบาท ก่อนยุบสภาตอนนั้นมีเหลืออยู่ประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท เพราะคิดว่าจะใช้พอ แต่ปรากฎว่ายุบสภาแล้วมีคนไปให้ความเห็น กกต.ว่ารัฐบาลรักษาการไม่มีสิทธิไปยืมเงิน ทั้งที่เราไม่ได้สร้างหนี้ใหม่ แต่เป็นหนี้เก่า ไม่ผูกพันรัฐบาลใหม่ ไม่น่าจะมีปัญหา
เมื่อถามถึงเรื่องที่ไม่ยอมขายข้าวเพราะมีการทุจริต นายยรรยงกล่าวว่า ไม่ได้โม้ตั้งแต่ตั้งกระทรวงพาณิชย์มาไม่มีรัฐบาลไหนขายข้าวได้มากขนาดนี้ แต่ที่ยังค้างในโกดัง เพราะเรารับจำนำข้าวทุกเมล็ด ข้าวจึงไหลมาอยู่ในมือรัฐบาลหมด มีสต๊อกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ช่วงแรกติดขัดต่องยอมรับว่าเพราะตลาดข้าวอยู่ในมือเอกชน พอเอกชนไม่มีข้าว เขาก็ไม่ช่วยรัฐบาลในเรื่องการตลาด ตนเชื่อว่าผู้ส่งออกข้าวอยากล้มโครงการรับจำนำ แล้วออเดอร์อยู่ในมือเอกชน จึงเหมือนปิดทางระบายข้าวไป ซึ่งรัฐบาลก็พยายามขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี แต่ถึงยังไงเฉพาะปี 56 ขายข้าวได้ 8.9 ล้านตัน ถือว่าไม่น้อย เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ขายได้ประมาณนี้ แต่เผอิญประเทศอื่นขายได้มากกว่า ก็เลยปล่อยข่าวกันว่าเราเสียแชมป์ส่งออก
เงินส่วนหนึ่งก็ขาดจากการระบายข้าวไม่ทัน การกู้สะดุดเนื่องจากการยุบสภา ผู้ชุมนุม กปปส.ปิดล้อม แต่ยังไงก็ต้องจ่ายแน่นอน เพราะรัฐบาลนี้เกิดได้เพราะชาวนา เป็นโครงการที่รัฐบาลใช้หาเสียง กระทรวงการคลังพยายามเต็มที่ในส่วนที่ไปกู้ยืมมาให้ได้ตังค์เหมือนเดิม แต่ขณะนี้เป็นขั้นตอนการกู้ยืม หลังยุบสภาทำให้เกิดการสะดุด แล้วยังมีการปั่นกระแสเรื่องทุจริต อีกทั้งเป็นเมกะโปรเจกต์เกี่ยวข้องกับคนหลายล้านคนหลายหน่วยงาน เมื่อคนเยอะก็มากเรื่อง มีขั้นตอนเยอะแยะ ฉะนั้นมันก็มีปัญหาทุกจุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มโครงการชาวนาก็ได้ประโยชน์ไปแล้ว จากราคาข้าว 8 พันบาท/ตัน รัฐบาลให้ 1.5 หมื่นบาท/ตัน จ่ายมาได้ 2 ปี ติดขัดปีเดียว ก็อยากให้ชาวนาเห็นใจ
นายประสิทธิ์กล่าวว่า ตั้งเริ่มโครงการมาตนได้ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการร่วมพิจารณาครั้งแรก สมัยที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เราแนะนำแล้วว่าบางอย่างที่เกินกำลัง เกินความเป็นจริง มันจะเกิดปัญหา เช่น การจำนำทุกเมล็ด ชาวนารายย่อยจะแย่ ทั้งหมด 3.7 ล้านครัวเรือน เป็นชาวนารายย่อย 75 เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว เป็นการเปิดโอกาสให้รายใหญ่จำนำได้ไม่จำกัด และปัญหาเอาข้าวมาสวมสิทธิ์ เพราะไม่มีโควต้าล็อกเลยว่าครัวเรือนนึงจะได้เท่าไหร่ ส่วนเงิน 1.5 หมื่นบาท มันเกินราคาตลาดเยอะ บอกแล้วว่าปัญหาจะเกิด นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ก็บอก แล้วชาวนาได้จริงไม่ถึง 1.5 หมื่นบาท ได้แค่ 1.1-1.2 หมื่นบาทเท่านั้น
นายยรรยงทักท้วงว่า ปีหลังๆ ก็จะลดให้เหลือ 1.3 หมื่นบาท/ตัน และพยายามปิดช่องไม่ให้เกิดการสวมสิทธิ์ แต่ชาวนาส่วนหนึ่งก็ออกมาประท้วง แต่ปัญหาตอนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสภาพคล่อง แต่สะดุดเรื่องการกู้ยืมเงิน
นายประสิทธิ์ตอกกลับว่า ในเมื่อรับจำนำมาดีๆ 1.5 หมื่นบาท จู่ๆ จะให้เหลือ 1.3 หมื่นบาท แล้วจากรับจำนำทุกเมล็ด จะให้จำกัดวงเงินรับจำนำไม่เกิน 3 แสนบาทต่อครัวเรือน ขอให้ตนไปพูดกับชาวนา ซึ่งมันพูดยากเพราะในรอบการผลิตเดียวกันแต่ได้เงินไม่เท่ากันเลยไม่มีใครยอม อย่างที่บอกเราไม่เคยขอรัฐบาลให้รับจำนำทุกเมล็ด ไม่เคยขอ 1.5 หมื่นบาท หลายคนก็เตือนแล้ว ท่านก็น่าจะฟังตรงนี้บ้าง
ที่บอกว่าชาวนาได้เงินแน่ๆ ฟังมาแล้วรัฐมนตรีคลัง-พาณิชย์ บอกว่าจะได้ 15 ธ.ค. เลื่อนมาเป็น 20 ธ.ค. จากนั้น 25 ธ.ค. ก็ยังไม่ได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ชี้แจงชัดเจนว่า 31 ธ.ค. เงินจะมาถึงชาวนา แต่แล้วก็ไม่ได้อีก แล้วก็เลื่อนมาเป็น 15 ม.ค. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังออกมาบอกว่าไม่มีตังค์ ขัดข้องเรื่องกู้เงิน เลื่อนไป 25 ม.ค. แล้วพอถึงวันนั้นก็ไม่ได้อีก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พูดว่าเงินมีอยู่แล้ว พร้อมจ่ายแต่เพราะมีการชุมนุมเลยเอามาจ่ายไม่ได้ แต่การชุมนุมมันเกิดหลังพี่น้องถือใบประทวน แล้วอ้างว่ามีเงินพร้อมแล้วแต่เพราะปิดกระทรวงการคลัง แต่พอเลิกปิดมาเดือนกว่าแล้ว ทำไมไม่จ่าย
อ้างอย่างเดียวเพราะม็อบ แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พูดแล้ว หลายรอบเลย ว่าจะได้ๆ แล้วไปโทษม็อบ แล้วประสานงานยังไงกับ ธ.ก.ส. นายยรรยงบอกว่า ธ.ก.ส.ไม่ให้กู้ พอตนไปถาม ธ.ก.ส.เขาบอกว่าท่านต้องมาทำสัญญาก่อนกู้ แล้วสภาอนุมัติแล้วด้วยงบ 2.7 แสนล้าน แต่ก็ไม่ไปทำสัญญาทิ้งไว้ก่อนยุบสภา พอเกิดเรื่องก็มาอ้างว่าเพราะยุบสภาเลยกู้ไม่ได้
นายยรรยกล่าวโต้ว่า นายประสิทธิ์ ลำดับความไม่ละเอียดพอ ตอนเตรียมยืมเงินมีวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้าน ตอนนั้นมีอยู่ 5-6 หมื่นล้านบาท นึกว่าพอ เพราะไม่อยากยืมมาก่อนเพราะจะเป็นภาระ พอจะไปยืมก็มีเหตุวุ่นวายขึ้นมา รัฐบาลพยายามทำทุกทาง แต่ทุกฝ่ายเล่นการเมืองมากเกินไป แทนที่จะเอาชาวนาเป็นตัวตั้ง
เมื่อถามถึงวิธีแก้ปัญหา นายประสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ที่ชาวนามาเพราะต้องการเงินย่างเดียว ถ้าไม่ได้เงิน กู้ก็ไม่ได้ มีอย่างเดียวคือเปิดคลังเช็กข้าว แล้วเอาข้าวออกขาย เท่าที่คุยกับผู้ส่งออกพร้อมที่จะรับซื้อ
นายยรรยงกล่าวแทรกว่า เราทำอยู่แล้ว เมื่อวานนี้ก็ประกาศขายไป 4.6 แสนตัน อยู่ในช่วงรับมอบ พวกโรงสีก็รับอาสาจะรับซื้อเดือนละ 5 แสน ถึง 1 ล้านตัน ส่วนเรื่องที่จะให้โรงสีรับจำนำใบประทวนจากชาวนา โดยจะให้โรงสีทดรองเงินจ่ายเงินครึ่งนึง โดยเอาใบประทวนไปสลักหลัง เวลาธกส. จ่ายเงินเต็มมา ก็แบ่งให้ชาวนากับโรงสีคนละครึ่ง
นายประสิทธิ์กล่าวสวนว่า แต่ตนคุยกับโรงสีบางโรง เขาบอกว่าจะไม่รับใบประทวนทุกคน และยังเป็นการไปโยนภาระบางประการให้โรงสีอีก
จากนั้นผู้ดำเนินรายการกล่าวถามถึงทางออก นายประสิทธิ์กล่าวว่า “ถ้าจะให้มีทางออก หาทางออกให้ ไม่ได้พูดถึงการเมือง ชาวนาเดือดร้อน เมื่อไม่มีเงินให้ เอาข้าวขายก็ไม่ได้ ถ้าทำทุกอย่างให้จบโดยเร็ว อย่าทู่ซี้ เห็นแก่ประโยชน์ชาวนา ลาออกไป แล้วท่านจะตั้งหลักใหม่ยังไงก็ว่ากันไป”
นายยรรยงได้กล่าวสวนทันทีว่า “ลาออกไป ชาวนาจะได้เงินยังไง ผมดูแค่หัวหน้าชาวนายังคิดไม่ออกเลย”
นายประสิทธิ์กล่าวโต้อย่างมีอารมณ์ว่า “อย่ามาดูถูกผม ว่าคิดไม่ออก ชาวนามีสมอง ท่านเองเคยทำนาหรือเปล่า”