รายงานการเมือง
เรียบร้อยสมใจหวังโรงเรียน “เครือข่ายชินวัตร” ไปแล้ว สำหรับการเลือกตั้ง 2 ก.พ. แม้ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” (กกต.) ยังไม่สามารถประกาศรับรอง “ส.ส.” ทั้งหมดได้ แต่เกมนี้ “เครือข่ายชินวัตร” ร้องเพลงรอได้
ที่เหลือก็แค่จี้ให้ “กกต.” จัดการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว และต้องจัดการเลือกตั้งให้ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคใต้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถกลับมาครองอำนาจเต็มได้เร็ววัน
แต่ดูเหมือนยิ่งเร่งเท่าไร “กกต.” ยิ่งย่างก้าวช้าลงเท่านั้น
เพราะทุกภาคส่วนรู้ดีว่าหาก “เครือข่ายชินวัตร” กลับไปมีอำนาจเต็มในการบริหารบ้านเมืองเร็วเท่าไร บรรดา “องค์กรอิสระ-ข้าราชการ-ภาคเอกชน” ที่ต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ถึงคิวถูกเช็กบิลแน่
สภาพการเมืองไทยเวลานี้ “เครือข่ายชินวัตร” ก็เหมือน “เสือ” ที่ถูกต้อนเข้ากรงรอวันเชือด รังจะปล่อยออกมาจากกรงก่อนกำหนด มีหวังโดน “เสือ” แว้งกัดเอาได้
ในหมากที่ “กกต.” ต้องยื้อสุดฤทธิ์ไม่ยอมปล่อย “เสือ” ออกนอกกรง ไม่ยอมให้ “เดอะแม้ว” กลับมาบ่งการผ่านเงาอย่าง “ยิ่งลักษณ์” ให้ชี้เป็นชี้ตาย “ประเทศไทย” อีก
ตามข้อกฎหมายที่ “กกต.” ไม่สามารถรับรอง “ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์” ได้ เพราะมีการเลือกตั้งไม่ครบทุกเขต การประมวลผลจึงไม่อาจกระทำได้เช่นกัน เสมือนการขัง “ยิ่งลักษณ์” ขึงพืดเอาไว้ เมื่อประกาศ “ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์” ไม่ได้ “ยิ่งลักษณ์” ก็ไม่สามารถกลับมาเป็น “เบอร์หนึ่งไทยคู่ฟ้า” ได้ไปด้วยโดยปริยาย
หนำซ้ำเขตเลือกตั้งภาคใต้ที่ถูกปิดเกือบทุกเขต ส่งผลให้จำนวน ส.ส.มีไม่ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถเปิดประชุมสภาเพื่อ “ยกมือทาสแม้ว” ให้ดันก้น “น้องปู” ขึ้นเป็นผู้นำสมัย 2 ได้เช่นกัน
เงื่อนไขของ “กกต.” ล็อก “ยิ่งลักษณ์” ให้เป็นตัวประกัน ตามอารมณ์ของ “ว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย” ที่กระหายอำนาจต้องการกลับไปครองอำนาจเร็วๆ จึงออกมาจี้ให้ “กกต.” จัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 7 วัน
แต่ฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่า งานนี้กว่า “กกต.” จะจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ได้ คงกินเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน เพราะหาก “กกต.” สามารถอ้างได้ว่ายังไม่มีความสงบเกิดขึ้น อีกทั้งแนวโน้มยังมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
ในพื้นที่ กทม.ในหลายเขตที่จัดการเลือกตั้งไม่ได้ ก็ปรากฏชัดเจนแล้วว่ายังมีความขัดแย้งอยู่มาก แต่สิ่งที่มีนัยสำคัญไม่ต่างกันคือ “คน กทม.” ที่ออกมาใช้สิทธิแค่ 26 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวชี้วัดชัดเจนแล้วว่า “คน กทม.” ส่วนใหญ่ไม่เอา “เครือข่ายชินวัตร”
เพราะ “คน กทม.” ถือเป็น “คนส่วนน้อย” ถึง “น้อยที่สุด” หนำซ้ำ คน กทม.ที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ยังมีหลายคนกาบัตรเสีย-งดออกเสียง ตรงนี้ “เครือข่ายชินวัตร” ต้องก้มหัวยอมรับกันได้แล้ว
ในส่วนพื้นที่ภาคใต้ หาก “กกต.” จัดการเลือกตั้งตามคำขอของ “รัฐบาล” สถานการณ์ความรุนแรงก็จะยิ่งขยายตัวออกไป เพราะวันนี้ “คนใต้” ชัดเจนมานานแล้วว่าไม่เอา “ระบอบทักษิณ” ปลุกเมื่อไรก็พร้อมลุย
หาก “ระบอบทักษิณ” สามารถกลับมาจัดตั้ง “รัฐบาล” ครองอำนาจเป็นใหญ่ใน “ประเทศไทย” ได้อีก วันนี้ “คนใต้” พูดกันไกลถึงขั้นตัดแบ่งแยกประเทศกันแค่จังหวัดชุมพรแล้ว
เหมือนกับ “คนเสื้อแดง” ที่คอยยุยงให้ “รัฐบาล” ไปใช้จังหวัดเชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการอำนาจรัฐ
ทว่า ทั้ง 2 กรณี ยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป แต่หากยังรุนแรงและหาทางลงไม่ได้ ก็ไม่มีใครการันตีว่าทั้ง 2 ทฤษฎีจะเกิดขึ้นไม่ได้
ตามจังหวะที่ “กกต.” ทอดเวลาออกไปอย่างน้อยก็อีก 180 วัน ที่กฎหมายเปิดช่องให้ว่า หาก “กกต.” ไม่สามารถรับรองผลการเลือกตั้งได้ ให้ “นายกรัฐมนตรี” อยู่ในตำแหน่งรักษาการเพิ่มได้ตามกฎหมายกำหนด
ดังนั้นอย่างน้อย “เครือข่ายชินวัตร” ต้องรอไปอีก180 วัน หรือ 6 เดือน!!!
แต่ระหว่างร้องเพลงรอ ยังมีอีกหลายอุปสรรคที่ “เครือข่ายชินวัตร” ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะอาจก้าวเพลี่งพล้ำเมื่อไรอาจจะกระเด็นหลุดจากตำแหน่ง “รัฐบาลรักษาการ” ได้ เพราะอย่าลืมว่าระหว่างที่ “รัฐบาล” สาละวนกับการเลือกตั้ง บรรดา “องค์กรอิสระ” ยังคงทำงานตลอดเวลา และยิ่งทำงานตรวจสอบเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
“คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” (ป.ป.ช.) ที่มีโครงการรับจำนำข้าวอยู่ในมือ ซึ่งนับวันหลักฐานต่างๆ เริ่มโผล่มากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการขายข้าวจีทูจี (รัฐต่อรัฐ) กับ “ประเทศจีน” ซึ่งตามสัญญาซื้อขายแล้ว “รัฐบาล” ไม่ได้ทำกับตัวแทนบริษัทอย่างเป็นทางการของ “ประเทศจีน” พบเพียงมีการนำข้าวมาวนขายหลายรอบในประเทศ
แถมยังมีคดีการแก้ไขรัฐบาลที่มา ส.ว. และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 อีกต่างหาก
นอกจากนี้คดีที่ “วิรัตน์ กัลยาศิริ” อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งส่อไปในทางที่ไม่มีความชอบธรรมอีกต่างหาก
ซึ่งจากการยื่น “ศาลรัฐธรรมนูญ” ของ “วิรัตน์” ก็ต้องลุ้นกันหนักว่าการเลือกตั้งจะโมฆะทั้งประเทศ หรือโมฆะแค่พื้นที่ กทม.และปริมณฑล
แต่ที่น่าลุ้นกว่านั้นคือ “กกต.” อาจจะลงมาเล่นเกมนี้ด้วยตัวเองอีกครั้ง โดยการยื่นให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยกว่าการเลือกตั้งที่ไม่สามารถจัดขึ้นได้ทั้งประเทศ จะถือว่าเป็นโมฆะหรือไม่
ซึ่งต้องลุ้นว่า “กกต.” จะมีหลักฐาน หรือมีถ้อยคำอภินิหารอะไรในการโน้มน้าว “ศาลรัฐธรรมนูญ” ให้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งถือเป็นโมฆะ
อีกทางหนึ่งการชุมนุมของ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (กปปส.) ที่นำโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส. ยังคงดำรงอยู่ แม้จะยุบเวทีลาดพร้าว-เวทีอนุสาวรีย์ แต่ก็เป็นการถอยแค่ครึ่งก้าว ยุบเวทีที่มีคนน้อย ไปสมทบกับเวทีที่มีจำนวนคนมาก เพิ่มเพาเวอร์ในการเคลื่อนไหว
นั่นเพราะ “สุเทพ” เรียนรู้แล้วว่าการปิดศูนย์กลางการจราจรไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถทำให้ “กทม.” เป็นอัมพาตได้ทั้งหมด จึงยอมถอย แต่เป็นการถอยเพื่อเซ็ตเกมสู้ใหม่
โดย “สุเทพ” ประกาศแล้วว่าจะรวมพลปิด กทม.อีกครั้ง ดังนั้น ถ้า “สุเทพ” จะปิดเกมให้เร็ว การปิด กทม.รอบใหม่ อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงหนักหน่วงกับ “คน กทม.” แน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางชนะ
งานนี้ทั้ง “กปปส.-กกต.-ป.ป.ช.-ศาลรัฐธรรมนูญ” รอจังหวะเชือด “เครือข่ายชินวัตร” อยู่ ดังนั้น การเลือกตั้ง 2 ก.พ. ยังไม่ถือเป็นชัยชนะของ “เครือข่ายชินวัตร” อย่างเบ็ดเสร็จ