ศาล ปค.สูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาล ปค.ชั้นต้น ไม่รับฟ้อง อดีตที่ปรึกษานายกฯ ฟ้อง กบอ. ขอศาลเพิกถอนทีโออาร์แผนจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน เหตุอ้างเป็น ปชช.เสียภาษี ฟังไม่ขึ้น ชี้ไม่ได้รับความเสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้อง แจงอ้างเป็นผู้มีส่วนร่วมอนุมานความเสียหายที่เกิดได้ ไม่ถือว่าได้รับความเสียหาย เจ้าตัวยอมรับ รับผิดหวัง ศาลมองคนละมุม ย้ำมีปัญหาแน่ รอพิจารณาโครงการไม่ตามเป้าฟ้องหรือไม่
วันนี้ (28 ม.ค.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำฟ้องของนายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านการระบายน้ำ ที่ยื่นฟ้องคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) กรณีขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งเพิกถอนข้อกำหนดและขอบเขตของงาน หรือทีโออาร์ ในแต่ละโมดูลของแผนบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ไว้พิจารณาวินิจฉัย
โดยศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่นายอุเทนอ้างว่าเป็นประชาชนที่มีรายได้ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจึงมีสิทธิฟ้องคดีนั้น การที่บุคคลใดจะใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลตามมาตรา 9 วรรค 1 จะต้องเป็นผู้มีการเกี่ยวข้อง มีส่วนได้เสียกับการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นออกกฎคำสั่งหรือกระทำการอื่นใดที่เป็นเหตุฟ้องคดีนั้น แต่ประโยชน์ได้เสียที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างจะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีจะต้องแสดงให้เห็นว่าได้รับผลกระทบจากการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย และหากศาลมีคำสั่งคำพิพากษาของผู้ฟ้องคดีแล้วจะมีผลเป็นการแก้ไขเยียวยาอย่างไร แต่ก็ไม่ไกลถึงขนาดจะให้บุคคลใดๆ อ้างประโยชน์เกี่ยวข้องและเสียภาษีตามกฎหมาย นำคำสั่งการปกครองที่ตนไม่เห็นด้วยมาฟ้องต่อศาลได้ คำอุทธรณ์ของนายอุเทนจึงฟังไม่ขึ้น นายอุเทนจึงไม่ใช่ผู้ที่ได้รับความเสียหาย หรือเป็นผู้ที่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลตามมาตรา 42 วรรค 1
ส่วนที่นายอุเทนอ้างว่า ได้รับการแต่งตั้งเข้าไปมีหน้าที่เกี่ยวกับโครงการนี้นั้น ทำให้สามารถอนุมานสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากโครงการนี้ได้จึงเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นได้นั้นเห็นว่า ความเสียหายที่นายอุเทนกล่าวอ้างเป็นสิ่งที่นายอุเทนคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการในโครงการบริหารจัดการน้ำ กรณีนี้ยังมิอาจถือได้ว่านายอุเทนเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายที่จะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองการอุทธรณ์ ประเด็นก็ฟังไม่ขึ้น ดังนั้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลปกครองสูงสุดเห็นฟ้องด้วย
ด้านนายอุเทนให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังคำสั่งศาลปกครองสูงสุดว่า ความหมายของการเป็นผู้เดือดร้อนเสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีตามมาตรา 42 วรรค 1 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองตนกับศาลอาจมองกันคนละมุม เมื่อศาลมองว่าไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง ตนก็ต้องยอมรับ และคงทำอะไรต่อไม่ได้ เพราะเป็นคำสั่งศาลปกครองสูงสุดแล้ว แต่ก็รู้สึกผิดหวัง เพราะในฐานะที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาเห็นว่าการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำมีปัญหาแน่นอน และอยากใช้กระบวนการทางกฎหมายแก้ไข แต่เมื่อไม่สามารถดำเนินการได้ก็จำต้องรับ หลังจากนี้ก็รอดูว่าเมื่อเริ่มดำเนินโครงการตามแผนบริหารจัดการน้ำแล้วถ้าไม่สามารถทำได้บรรลุตามเป้าประสงค์ที่วางไว้ก็จะมีการพิจาณาอีกครั้งว่าฟ้องหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นด้วยกับโครงการบริหารจัดการน้ำ เพียงแต่วิธีการที่รัฐบาลทำเป็นสิ่งที่ไม่ต้องถูกต้อง