หน.ปชป.ชี้เหตุปะทะสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ไม่น่าเกิดขึ้น แปลกใจนายกฯ ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน เชื่อสภาปฏิรูปของรัฐบาลล้มเหลวซ้ำรอย “บรรหาร” ย้ำต้องหาจุดร่วมประเทศเดินหน้า-ปฏิรูปแท้จริง รับ “นคร มาฉิม” ลาออกจากพรรคไปแล้วแต่ไม่ทราบเผตุผล สะพัดพรรคใหญ่ซื้อตัวอดีต ส.ส. ปชป.เพียบ
วันนี้ (27 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฏีกาออกมาแนะนำคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ว่า ให้เลื่อนเลือกตั้งเฉพาะเขตที่มีความวุ่นวายว่า หากดูข้อกฎหมายอาจเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่ แต่ กกต.สะท้อนผ่านแถลงการณ์ในแง่ปัญหาภาพรวม และคิดว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่หาทางออกให้บ้านเมือง อะไรที่เดินไปแล้วจะมีปัญหาก็น่าหลีกเลี่ยง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา เห็นเหตุการณ์ที่ทุกคนก็เสียใจเพราะไม่ควรเกิดขึ้น และ กกต.ก็เคยเตือนรัฐบาลไปแล้ว ซึ่งในขณะนี้ กกต.ก็พยายามบอกรัฐบาลอีกว่าถ้าเดินหน้าต่อไปอาจจะวุ่นวายมากกว่านี้ เพราะมีอีกหลายขั้นตอน ตนเห็นว่า กกต.อยากทำหน้าที่ของตนเอง แต่หน้าที่ กกต.ไม่ใช่เพียงแค่จัดการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ต้องการจัดการเลือกตั้งให้สุจริต เที่ยงธรรม เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วย โดย กกต.ก็ได้ระบุในแถลงการณ์ว่าในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นความยากลำบากมากที่จะจัดการเลือกตั้งในสุจริต เที่ยงธรรม ดังนั้น รัฐบาล หรือศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ควรจะพิจารณาไม่ใช่ยืนยันว่าจะเดินหน้าแบบเดิม เพราะไม่สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า หากรัฐบาลยังดึงดันที่จะให้มีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.ก็น่าเป็นห่วงว่าสถานการณ์จะวุ่นวาย แต่พรรคเพื่อไทยก็มีเป้าหมายว่าต้องทำให้ได้เพราะกังวลถึงสถานะของตนเองเป็นหลัก ซึ่งตนแปลกใจว่าเหตุใด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังเดินแบบเดิมทั้งที่เห็นชัดว่าเกิดปัญหา
“ผมแปลกใจที่นายกฯ ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน เพราะคนที่มีความรับผิดชอบกลับไม่มีความพยายามแก้ไขอะไรเลย นอกจากมีแถลงการณ์จาก กกต.แล้ว ยังมีของหอการค้าที่ชี้ด้วยว่าสภาปฏิรูปที่นายกฯ กำลังจะทำไม่ได้ตอบโจทย์ของสังคม ทำไมนายกฯ จึงไม่รับฟัง ผมหวังว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามไปถึงขั้นมีสงครามการเมือง แต่รัฐบาลต้องทบทวนหลายอย่างเพื่อหาคำตอบให้กับประเทศ มากกว่าที่จะเดินตามความต้องการ เพราะคิดว่ามีอำนาจและรักษาอำนาจไว้ใตัวเองโดยไม่สนใจความเสียหายที่จะเกิดขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังเชื่อด้วยว่า สภาปฏิรูปที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เตรียมออกเป็นระเบียบสำนักนายกฯ จะไม่ประสบความสำเร็จ ซ้ำรอยกับที่เคยตั้งนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูป เพราะนายกฯ ไม่ได้มีความจริงใจที่จะทำงานปฏิรูปอย่างแท้จริง แต่จะเลือกข้อเสนอเฉพาะสิ่งที่ตัวเองรับได้ และเป็นประโยชน์กับตัวเองเท่านั้น การที่ฝ่ายบริหารไม่คิดที่จะทำอะไรทำให้ตนเป็นห่วง เพราะนายกฯ ไม่สนใจใยดีกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทำให้ กกต.จึงต้องหาทางออกเท่าที่ทำได้ ซึ่งคงต้องปฏิบัติตามแถลงการณ์ที่ออกมาว่าถ้าไม่มีใครช่วยจัดวิธีการให้เกิดความร่วมมือได้ ก็จะทำในอำนาจหน้าที่ของตน ส่วน กกต.จะลาออกหรือไม่นั้นตนไม่ทราบว่า กกต.จะตัดสินใจอย่างไร แต่คิดว่าให้เวลา กกต.ทำงาน เพราะเป็นผู้พิจารณาว่าจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ระหว่างมีเลือกตั้งกับไม่มีการเลือกตั้งอย่างไหนจะเป็นประโยชน์กับประเทศมากกว่ากัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องหาจุดร่วมเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า และนำไปสู่การปฏิรูปอย่างแท้จริง เป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องยึดไว้ ซึ่งพรรคยืนยันว่าอยากเห็นการปฏิรูปภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ส่วนข้อเรียกร้องของ กปปส.ที่ต้องการให้นายกฯ ลาออกเพื่อตั้งนายกฯ ของประชาชน รัฐบาลของประชาชน และสภาของประชาชนนั้น รัฐบาลก็ไม่ได้สนใจ แต่ กปปส.ก็ยังเรียกร้องเหมือนเดิม เมื่อเงื่อนไขเป็นแบบนี้จึงมองไม่เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะจบลงได้อย่างไร แต่คิดว่าต้องพยายามแสวงหาแนวทางที่ไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่ การเลื่อนการเลือกตั้งจะทำให้มีเวลาในการแลกเปลี่ยนว่าแต่ละฝ่ายคิดอย่างไร เพราะในขณะนี้ต่างฝ่ายก็แสดงจุดยืนจะอ้างว่าเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วไม่ต้องทำอะไร ทั้งนี้เห็นว่า กกต.อยู่ในฐานะที่จะเป็นคนกลางให้มีการเจรจาได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ขอความร่วมมือจากพรรคการเมืองในฐานะเป็นผู้จัดการเลือกตั้งและเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง และตนขอเตือนไปยังพรรคเพื่อไทยที่ออกมาขู่ กกต.ว่าหากไม่จัดกรเลือกตั้งจะโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ว่า ทั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต้องคิดให้ดีว่าที่ทำผิด157 นั้นเป็นใครกันแน่
นายอภิสิทธิ์ ยังเปิดเผยว่า นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ได้ยื่นใบลาออกจากพรรคเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 56 โดยไม่ได้ให้เหตุผล ซึ่งในขณะนี้มีอดีต ส.ส.คนเดียวที่ลาออกจากพรรค และไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีใครลาออกอีกหรือไม่ เพราะทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งก็จะมีการย้ายพรรค สำหรับพรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส. พิษณุโลก จากการเลือกตั้งในปี 2554 รวม 3 คน ประกอบด้วย นายจุติ ไกรฤกษ์ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม และนายนคร มาฉิม เมื่อนายนครลาออกก็จะทำให้พรรคเหลืออดีต ส.ส.พิษณุโลก เพียงสองคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะนี้มีการเคลื่อนไหวจากหลายพรรคการเมืองที่จะดึงตัว ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่พรรคไม่ส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงรับเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยมีกระแสข่าวว่าในส่วนของนายนคร ได้รับการทาบทามจาก 3 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติพัฒนา ซึ่งมีการเสนอตัวเลขสำหรับการย้ายพรรคในราคาที่แตกต่างกันออกไป โดยบางพรรคเสนอให้ถึง 70 ล้าน บางพรรคเสนอให้ 50 ล้าน และที่เสนอน้อยที่สุดอยู่ที่ 40 ล้านบาท