เมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) แม้มวลชนผู้ชุมนุมจะไม่ได้เคลื่อนไหวใหญ่โตเหมือนช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา แต่ก็ถือเป็นวันที่มี “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญของขบวนการต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณเกิดขึ้นถึง 2 จุดสำคัญ
จุดเปลี่ยนแรกก็มาจากการแถลงท่าทีของ “พรรคประชาธิปัตย์” ต่อการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ที่ทำให้บรรดากองเชียร์-แม่ยกผิดหวังไปตามๆ กัน
เมื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ควงคู่มากับ “ชวน หลีกภัย” พร้อมเกณฑ์ ส.ส.มาห้อมล้อมครึ่งค่อนพรรค เพื่อแถลงข่าวใหญ่ประกาศต่อสู้ล้มล้างระบอบทักษิณแต่ไม่ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ให้เหตุผลว่าเป็นพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาที่จำเป็นต้องทำหน้าที่ต่อไป
โดยจะเดินสายร่วมต่อสู้เคลื่อนไหว “คู่ขนาน” กับมวลชนควบคู่กับการปฏิรูประเทศของภาคประชาชน
การตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นการ “ตบหน้า” ประชาชนฉาดใหญ่ เพราะที่ผ่านมา “ม็อบราชดำเนิน” ได้ตระเวนเดินสายขอความร่วมมือข้าราชการ-ประชาชนให้ “บอยคอต” ปฏิเสธอำนาจรัฐบาล และ “อภิสิทธิ์” เองก็พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมไปแล้ว
แต่กลับมา “พลิกลิ้น” ว่ายังต้องทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรดูแลทุกข์สุขประชาชนไม่จำเป็นต้องลาออกไปเพื่อร่วมต่อสู้กับประชาชน
ทั้งๆ ที่เมื่อดูบทบาทที่ “ค่ายสีฟ้า” ต่อสู้ในระบบรัฐสภานอกจากจะไร้ประโยชน์ เพราะแทบไม่สามารถระคายเคืองให้แก่รัฐบาลแม้แต่น้อยโดยเฉพาะในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ทั้งที่สองปีกว่ามานี้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์เหวอะหวะแต่ขุนพลประชาธิปัตย์ก็ไม่เห็นขยายแผลได้เลย
ชี้ให้เห็นว่าการทู่ซี้อยู่ในระบบรัฐสภาต่อไปก็ไร้ประโยชน์
งานนี้คนที่ผิดหวังมากที่สุดก็หนีไม่พ้น “สุเทพ เทือสุบรรณ” ที่ลงทุนลงแรงถอดหัวโขนออกมาปลุกปั้นขบวนการโค่นล้มระบอบทรราชทักษิณร่วมกับภาคประชาชนจนติดลมบนกลายเป็น “พลังมวลมหาประชาชน” อย่างที่เห็นกันอยู่
สะท้อนภาพความเลือดเย็นของ “อภิสิทธิ์” ที่กล้าทิ้งแม้กระทั่งคนที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันมาอย่าง “สุเทพ” โดยใช้หลักการมาบังหน้าเช่นเคย
เป็นที่มาของบทปราศรัยที่เรียกว่าคร่ำเครียดที่สุดนับตั้งแต่ออกมานำม็อบตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาของ “กำนันสุเทพ” ซึ่งเต็มไปด้วยความอึดอัดใจและสะท้อนผิดหวังต่อทิศทางของ “อดีตต้นสังกัด”
ไม่แปลกที่สิ่งที่สะกดไว้ในใจจะพรั่งพรูออกมา โดยหวยก็ไปออกที่"กรณ์ จาติกวณิช" ซึ่งโดน "สุเทพ"สับแหลกถึงคอมเมนต์ที่ไม่เห็นด้วยเรื่องการนำม็อบยึดกระทรวงการคลังอย่างสาดเสียเทเสีย
ทั้งที่รู้กันดีว่าการตัดสินใจยกระดับการชุมนุมเยี่ยมเยือนสถานที่ราชการหลายแห่งรวมทั้งปักหลักพักค้างทั้งที่กระทรวงการคลัง หรือล่าสุดลองมาร์ชเกือบ 20 กม.ไปที่ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะนั้น "ฟีดแบ็ก"ที่กลับมาเป็นบวกมากกว่าลบ เพราะถือเป็นมาตรการอารยะขัดขืนตามครรลองการต่อสู้ของภาคประชาชนที่สงบอหิงสาปราศจากอาวุธ
คำพูดที่ฝากไปถึง "กรณ์"เป็นอารมณ์ที่เก็บงำในใจมาหลายวัน เพื่อถนอมน้ำใจพรรคประชาธิปัตย์เอาไว้ก่อนเพราะคิดว่าจะเสียสละออกมาร่วมสู้กันเต็มตัว แต่เมื่อ "ค่ายสีฟ้า"แสดงความไร้ใจให้ ก็ไม่มีเหตุผลต้องอมพะนำเอาไว้อีก
นัยคำปราศรัยเมื่อคืนจึงไม่ใช่แค่อาการไม่สบอารมณ์ของ"สุเทพ" ที่มีต่อ "กรณ์" เท่านั้นแต่ฝากไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค
เพราะเมื่อ "สุเทพ" อยู่ในสถานการณ์ศึกสองหน้าด้านหนึ่งต่อสู้กับระบอบทักษิณ อีกด้านก็ต้องต่อสู้กับพวกเดียวกัน ทำให้ต้องเลือก"ทิ้งบอมบ์" ใส่ "กรณ์" เพื่อดิ้นออกจาก "จุดอับ"ในศึกสองหน้า และมาโฟกัสทำศึกฟาดฟันกับ "ทรราช" เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเพียงอย่างเดียว
ซึ่งส่งให้ "สุเทพ" ไม่ใช่คนของประชาธิปัตย์อีกต่อไปแต่ได้กลายเป็นคนของประชาชนเต็มตัวไปแล้ว
จุดเปลี่ยนที่สอง ก็คือการประกาศของ"หลวงปู่พุทธอิสระ" ขอเป็นแกนนำการชุมนุมและขอรับไม้ต่อหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับ "สุเทพ"ซึ่งก็เป็นผลมาจากคำแถลงของ "อภิสิทธิ์" นั่นเอง
จับสุ้มเสียงของ "หลวงปู่ฯ" ก็พอทำให้ทราบได้ว่าสาเหตุลึกๆ ที่ประกาศตัวมาเป็นแกนนำ ก็เพราะได้ร่วมเคียงคู่ต่อสู้กับ"กำนันสุเทพ" มาโดยตลอด ทำให้เข้าใจและเห็นใจการที่ถูก"คนกันเอง" หักหลังหักอกแบบไม่คิดไม่ฝัน
สิ่งที่พอช่วยได้ก้็คือ การมาร่วมยืนเคียงคู่ในแถวหน้า
ทั้งสองจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงเป็นการสะท้อนถึงความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ของ "ค่ายสีฟ้า" หวังรอแค่"ส้มหล่น" หากมีการโค่นระบอบทักษิณสำเร็จ ไม่คิดที่จะแสดงความเสียสละหรือแสดงความจริงใจใดๆ
อ้างแค่ครรลองระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา หรือเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นว่าขอทำหน้าที่ในฐานะ"พรรคการเมือง" ต่อไป ทั้งที่ตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมาการต่อสู้ในฐานะฝ่ายค้านกลับทำให้เรตติ้งของพรรคสาละวันเตี้ยลงๆด้วยพฤติกรรมที่ถ่อยเถื่อนมากขึ้นทุกขณะ
อาการเกาะเก้าอี้ไว้แน่นก็แค่อาการของคนที่จมไม่ลงเท่านั้น
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าตลอดค่ำคืนที่ผ่านมากระแสในสังคมอนนไลน์จะหันมาพุ่งเป้าโจมตีไปยัง "ค่ายสีฟ้า"ดูได้จากหน้าเฟซบุ๊กของ "กรณ์ จาติกวณิช" หรือของ"ประชาธิปัตย์" เองที่ถูกกระหน่ำถล่มตลอดทั้งคืน
ฉายา "พรรคแมลงสาบ"ที่เลือนหายไปพักใหญ่ก็กลับมาหลอกหลอนพรรคเก่าแก่อีกครั้ง
และก็ทำให้คนพวกแรกที่กลายเป็น "โมฆะ"ก่อนใครเพื่อนกลับเป็น "พรรคประชาธิปัตย์"ที่จะไม่ได้อะไรจากการต่อสู้ครั้งนี้ แทนที่จะเป็น "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"อย่างที่ตั้งใจกันเอาไว้
ในทางกลับกันก็ส่งผลให้เรตติ้งของ "อดีตกำนันท่าชนะ"พุ่งทะยานสูงขึ้น และเชื่อว่าจะทำให้การต่อสู้ครั้งนี้จะทรงพลังมากยิ่งขึ้นเมื่อไร้ "ตัวถ่วง" ที่ชื่อ "พรรคประชาธิปัตย์"
อย่างน้อยคนที่เกลียดทักษิณ แต่ไม่ชอบประชาธิปัตย์ก็คงสะดวกใจมากขึ้นในการออกมาแสดงพลังเสริมกำลังร่วมปฏิรูปประเทศกับประชาชนเพิ่มเติมอย่างแน่นอน
ด้วยพลังการต่อสู้ที่บริสุทธิ์มากขึ้นเมื่อไร้เงา"ประชาธิปัตย์" ทาบทับอยู่ ทำให้เชื่อว่าเสาร์-อาทิตย์นี้ที่เป็น"เส้นตาย" ในการโค่นล้ม "ทรราชทักษิณ"จะมีมวลชนแห่แหนออกมามากกว่าที่ผ่านๆ มา
ความเห็นแก่ตัวของคนบางพวก กลับเสริมพลานุภาพให้"ทัพกำนัน" อย่างไม่น่าเชื่อ