xs
xsm
sm
md
lg

แผนสำรองหลัง “สุเทพ” โดนรวบ “อภิสิทธิ์” รับไม้นำทัพมวลชน?? ยืนแถวหน้าเผด็จศึก “ระบอบแม้ว"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ป็นไปตามคาดเมื่อ “ม็อบกำนันสุเทพ” ปฏิบัติการปูพรมส่งดาวกระจายไปทั่ว กทม.และใกล้เคียง ปิดล้อมกระทรวงต่างๆ ตามยุทธศาสตร์ “โมฆะรัฐบาล” ตัดแขนขาทุกกระทรวง ไม่ให้ทำงานได้

จากการเคลื่อนไหวของม็อบเมื่อวันที่ 27 พ.ย. “สุเทพ เทือกสุรรณ” แกนนำร่วมเดินทางไกลไปกับ “ทัพใหญ่” เข้าปิดพื้นที่ศูนย์ราชการฯที่ถนนแจ้งวัฒนะ พร้อมประกาศปักหลักค้างคืน สาเหตุที่ “แม่ทัพใหญ่” ตัดสินใจนำมวลชนลองมาร์ชเดินเท้าไปไกลถึงศูนย์ราชการฯ ก็เพราะจุดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของ “ขี้ข้าทักษิณ” ที่สำคัญแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นที่ตั้งของ “ดีเอสไอ-กรมสอบสวนคดีพิเศษ” ที่มีเจ้ากรมชื่อ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” นั่นเอง

ขณะที่จุดอื่นๆ ทางเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย-เวทีมัฆวานรังสรรค์ ที่ได้ส่งดาวกระจายออกไปรวมกันอย่างน้อย 5 ทัพ เพื่อปฎิบัติการปิดล้อม-เยี่ยม-ยึด เหยียบหน้าระบอบทักษิณอีกเกือบ 10 กระทรวง ทั้งที่กระทรวงแรงงาน ฐานที่มั่นของ “เฉลิม อยู่บำรุง” เจ้ากระทรวงที่ต้องฝืนสังขารมาแถลงกลบข่าวลือที่ว่าเจ้าตัวด่วนจากไปโลกนี้ที่สภาฯ

ต่อด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ-วิทยาศาสตร์ฯ-อุตสาหกรรม ซึ่งได้รับการต้อนรับจากบรรดาข้าราชการอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง รวมไปถึงกระทรวงพาณิชย์-สาธารณสุข ในพื้นที่เมืองนนท์ ขณะที่กระทรวงพลังงานที่ถนนวิภาวดีฯเป็นสัมปทานของกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ (กปท.) และกองทัพธรรม ที่ร่วมกันปิดล้อมเอาไว้

นับจนถึงตอนนี้ฝ่ายต้านรัฐบาลก็ไปปิดล้อม-เยี่ยม-ยึดไปแล้ว 18 จาก 20 กระทรวง จะเหลือก็แต่ “สำนักนายกรัฐมนตรี-กระทรวงกลาโหม” เท่านั้น ที่ผู้ชุมนุมยังไม่ได้ไปทักทาย โดยทั้งสองแห่งถือเป็น “จุดชี้ขาด” แพ้ชนะในศึกครั้งนี้

นอกจากนี้ ในต่างจังหวัดก็มีมวลชนเข้ายึดศาลากลางอีกกว่า 20 จังหวัด ทั้งใน 14 จังหวัดภาคใต้ หรือตามหัวเมืองสำคัญต่างๆ ที่น่าสนใจคืนโซนอีสานที่ว่ากันว่าเป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดง ก็ยังถูกเข้ายึดพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ศาลากลาง จ.อุดรธานี หรือ จ.ขอนแก่น

ทำเอางานนี้ฝ่ายรัฐหัวหมุนตั้งหลักรับมือไม่ไหว

ต้องยอมรับว่าบทออดอ้อนของ “กำนันเทพ” ที่เวทีกระทรวงการคลัง เมื่อค่ำคืนวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา ถือว่าได้ใจแม่ยก-กองเชียร์เป็นอย่างมาก ทั้งวรรคทอง “ถ้าผมตาย พี่น้องชนะแน่นอน” หรือการปลุกเร้าให้มวลชนสู้ต่อไป แม้ตัวจะโดนจับหรือตาย ส่งผลให้มวลชนกองเชียร์ที่ห่วงสถานการณ์ว่าอาจมีการสลายการชุมนุมที่กระทรวงการคลังแห่แหนกันออกปกป้อง “สุเทพ” และมวลชน จนทำให้ถนนพระราม 6 เป็นอัมพาตไปทั้งคืน

ยิ่งไปกว่านั้น “กำนันเทพ” ยังได้ประกาศแนวทางปฏิรูป 6 ข้ออย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ทั้งการตั้งสภาประชาชน ปฏิรูปประเทศไทยทั้งระบบ โดยที่ “สุเทพ-อภิสิทธิ์” จะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น เลือกตั้งผู้ว่าราชการทุกจังหวัด และตำรวจอยู่ใต้อำนาจการปกครองท้องถิ่น

และประเด็นสำคัญ “แช่แข็งนักการเมือง”

หลายประเด็นถือว่าเป็นการจูนจุดร่วมกับทาง “ภาคประชาชน” ที่เคลื่อนไหวประเด็นเหล่านี้มาก่อนหน้านี้ อีกทั้งการประกาศไม่รับตำแหน่งของตัวเองของ “สุเทพ” และพูดแทน “อภิสิทธิ์” นั้น เท่ากับการกลบเสียงซุบซิบนินทาว่า “ค่ายสีฟ้า” ทุ่มสุดตัว สุดท้ายก็หวังแค่ “ส้มหล่น” รอเสียบเป็นรัฐบาลแทน

อย่างน้อยๆ ช่วงที่ว่า “ผมพูดชัดเจน ไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง สุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ได้คิดเป็นนายกรัฐมนตรี และไม่ได้คิดจะต่อสู้ให้อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี และอภิสิทธิ์เขาบอกผมเอง ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากการต่อสู้คราวนี้ เขาไม่ขอตำแหน่งแห่งหนทั้งสิ้น” ก็เป็น “สัญญาประชาคม” ครั้งแรกที่ทำลายเครื่องหมายคำถามเรื่องการหวังผลประโยชน์ทางการเมืองของ “สุเทพ-อภิสิทธิ์” ไปได้ไม่มากก็น้อย

เรียกว่าถ้อยแถลงคำปราศรัยในท่าพับเพียบ บนเวทีที่กระทรวงการคลังของ “สุเทพ” เรียกเรตติ้งได้อื้อ ปลุก “พลังมหาประชาชน” ออกมาร่วมแรงร่วมใจหวังปลิดชีพ “ระบอบทักษิณ” ให้สิ้นซาก

นับถึงวันนี้ต้องบอกว่าเป็นช่วง “โค้งสุดท้าย” ของการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ที่ฝ่ายต้านจำต้องเผด็จศึกให้ได้ไม่เกินสิ้นเดือน พ.ย.นี้ ขณะที่ฝ่ายรัฐก็หวังจะดื้อด้านตั้งรับไปพ้นเดือนนี้ เพื่อหวังให้ม็อบฝ่อไปเอง โดยเฉพาะในช่วงเดือนมหามงคลที่การขยับเคลื่อนไหวของม็อบอาจทำได้ลำบาก

อีกทั้งฝ่ายรัฐก็งัด “ไม้ตาย” ขอหมายจับค้ำคอ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ฐานความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 กระทำการให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เพื่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และมาตรา 215 มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป และมาตรา 216 ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน และมาตรา 365 ประกอบมาตรา 362 ร่วมกันบุกรุก

แบบที่เผลอเมื่อไรตะครุบตัวได้ทันที

รวมทั้งยังหาทางขอหมายจับเพิ่มเติมแกนนำคนอื่นๆ รวมทั้งแกนนำในฝั่งเวทีแยกนางเลิ้งของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ด้วย โดยหวังเด็ดหัวระดับแกนนำ เพื่อให้การเคลื่อนไหวอ่อนแรงลง

แน่นอนการจับกุม “แกนนำ” ในขณะที่มีการชุมนุมอยู่เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการบุกเข้าจับกุมในพื้นที่ชุมนุมแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงเจ้าหน้าที่ต้องปะทะกับมวลชนที่พร้อมเป็น “โล่มนุษย์” ให้กับแกนนำ

แต่ก็ยากจะหยั่งถึงความคิดของ “ระบอบทักษิณ” ที่เสพติดอำนาจจนหน้ามืดตามัว อาจสั่งการให้ตำรวจบุกจับแกนนำอย่างที่คาดกันไว้จริงๆ โดยเฉพาะตัว “สุเทพ” แกนนำหลักในตอนนี้ โดยไม่สนใจสถานการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนั้นจริง คำถามมีว่า หากขาด “สุเทพ” ไป แล้วใครจะรับไม้มาเป็นผู้นำต่อ ในช่วงที่กระแสม็อบปั่นขึ้นติดลมบนขนาดนี้ ไล่เรียงดูชื่อ 8 แกนนำที่ลาออกจาก ส.ส.มาพร้อมกับ “กำนันเทพ” ก็บอกคำเดียว ไร้บารมี เพาเวอร์ไม่ถึง อีกทั้งกำลังถูกไล่ออกหมายจับ-หมายเรียกทีละคนสองคน

ก็คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยหากฝ่ายต้านรัฐบาลจะต้องมี “แผนสำรอง” เตรียมการไว้ โดยบเฉพาะบทบาท “แกนนำม็อบ” ที่ต้องออกมายืนแถวหน้าเคียงข้างประชาชนแทน “กำนันเทพ” หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

หากมองในพรรคประชาธิปัตย์เอง จะหาคนที่มีคาแรกเตอร์ความเป็นผู้นำระดับ “สุเทพ” ก็คงเป็นใครไม่ได้นอกจาก “เดอะมาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่อาจต้องถึงเวลาถอดเสื้อนอกโดดลงมาข้างถนนแบบเต็มตัว

ใน “ค่ายสีฟ้า” เองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแนวคิดจะให้ ส.ส.ในสังกัดลาออกจากตำแหน่งยกพรรค เพื่อเพิ่มแรงกดดันไปยังรัฐบาลที่คงไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างสง่างาม หากไร้ซึ่งฝ่ายค้าน

อีกทั้งการไปกดดันให้หน่วยงานราชการสไตรค์หยุดงานเพื่อ “ชัตดาวน์” รัฐบาลนั้นก็ควรจะเริ่มจากพรรคประชาธิปัตย์ก่อนที่จะไล่บอกข้าราชการ-ทหาร-ตำรวจให้หยุดรับอำนาจรัฐบาล เพราะการที่พรรคประชาธิปัตย์ยังยึดติดกับตำแหน่งก็เท่ากับการันตีสร้างความชอบธรรมการดำรงอยู่ของรัฐบาล ขัดกับแนวทางนอกสภาที่กำลังทำได้ดีอยู่ในตอนนี้

เรื่องการลาออกของ ส.ส.ประชาธิปัตย์ทั้งหมดนั้นมีการพูดคุยกันมาโดยตลอด เพียงแต่ “ผู้ใหญ่ในพรรค” ขอให้ผ่านพ้นศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อทำหน้าที่ฝ่ายค้านตามครรลองให้ลุล่วงไปเสียก่อน และเมื่อลงมติไม่ไว้วางใจในวันนี้ (28 พ.ย.) ซึ่งจะเข้าช่วงปิดสมัยประชุมสภาพอดิบพอดี ก็หมดข้ออ้างที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป หากต้องการกดดันรัฐบาลจริงๆ

เรื่องนี้ “ประชาธิปัตย์” ต้องเร่งตัดสินใจ หากจะเผด็จศึก “ระบอบแม้ว” โดยเร็ว

เมื่อถอดสูทถอดไทแล้ว “อภิสิทธิ์” กระโดดขึ้นมารับบท “แกนนำม็อบ” ก็ไม่ใช่เรื่องผิด ยังจะเป็นการปลดข้อครหารอเป็น “นายกฯส้มหล่น” แบบหมดจด

และ “อภิสิทธิ์” ก็จะเป็นธนูดอกสุดท้ายของ “ค่ายสีฟ้า” ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้

แต่ยังไม่ใช่ “ธนูดอกสุดท้าย” ของพลังมวลมหาประชาชนในศึกโค่นล้ม “ทรราชระบอบแม้ว” ครั้งนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น