xs
xsm
sm
md
lg

“อุ๋ย” ซัดนักการเมืองละเลงประชานิยมทำประเทศพัง “บรรเจิด” ชี้สภาทาสแถลงไม่รับอำนาจศาล รธน.ถอดพ้นเก้าอี้ได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปรีดิยาธร” ห่วงคนไทยเสพติดประชานิยมทำหนี้ ปท.พุ่ง ชูเขียน รธน.กัน รบ.ถลุงงบใช่เหตุ “กล้านรงค์” ย้ำเสียงข้างมากต้องยึดนิติธรรม-จริยธรรม ด้าน “บรรเจิด” ห่วงแก้ที่มา ส.ว.ผ่านศาล รธน.ไขประตู “สาธารณรัฐทักษิณ” ชี้ 312 ส.ส.-ส.ว.ตั้งโต๊ะแถลงไม่รับอำนาจศาล ทำผิดสำเร็จถอดถอนได้ทั้งสภา


วันนี้ (19 พ.ย.) ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้มีการจัดเสวนาวิชาการในหัวข้อ “ระบอบพวกมากลากไป : กับดักประชาธิปไตย จากลักหลับถึงสับขาหลอก” ซึ่งจัดโดยกลุ่มธรรมศาสตร์อภิวัฒน์ประเทศไทย และมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นองค์ปาฐก นายกล้านรงค์ จันทิก อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ร่วมเป็นวิทยากร

โอกาสนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้ปาฐกถาในหัวข้อ “หนี้สาธารณะ” ตอนหนึ่งว่า สาเหตุที่ประเทศในแถบยุโรปใต้ได้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ไขได้ ก็เนื่องจากบรรดาพรรคการเมืองต่างฝ่ายต่างใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียง ส่งผลให้เศรษฐกิจของชาติเสียหาย เช่นเดียวกับประเทศไทยในขณะนี้ที่มีการนำนโยบายประชานิยมเข้ามา ในความเป็นจริงหลายๆนโยบายเป็นเรื่องที่ดี ทั้งโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เงินช่วยผู้สูงอายุ กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือกองทุนหมู่บ้านก็ถือว่าไม่เลว หากบริหารจัดการดี แต่ประชานิยมที่บ้องตื้นที่สุดก็คือ โครงการรถคันแรก ที่ไม่ทราบว่าคิดได้อย่างไร เพราะไม่ได้ช่วยผู้มีรายได้น้อยด้วยซ้ำ

“ประชานิยมที่เลวร้ายที่สุดและเห็นตรงกันทั่วโลกคือ โครงการรับจำนำข้าว ในความเป็นจริงเป็นโครงการที่ไม่เลว แต่การกำหนดราคาสูงมาก สร้างช่องว่างระหว่างราคารับจำนำกับราคาขายมาก โดยอ้างการยกระดับรายได้ แต่สุดท้ายเกาะหลังชาวนา กินเงินประเทศชาติ โดยเฉพาะจำนวนเงินที่กินกันไปไม่น้อย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 4.937 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 44.51 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี และหากคำนวณเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายต่อไปในอนาคต หากยังคงดื้อดำเนินโครงการรับจำนำข้าวไปถึงปี 2562 หนี้สาธารณะจะเกิน 65 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งตนไม่ได้กังวลเฉพาะรัฐบาลนี้เท่านั้น เพราะมองว่าเมื่อคนหนึ่งทำประชานิยมแล้ว อีกคนก็คิดทำเหมือนกัน จะมีการต่อสู้กันด้วยประชานิยม ซึ่งจะกลายเป็นกับดักประชาธิปไตย เพราะเมื่อประชาชนติดแล้ว ก็หยุดไม่อยู่ ต้องมีประชานิยมออกมาเรื่อยๆ และจะเสียหายมากขึ้น ไม่เพียงโครงการปัจจุบันเท่านั้น ในอนาคตอาจมีโครงการใหม่เข้ามา และอาจจะขาดทุนมากกว่าโครงการรับจำนำข้าวที่ขาดทุนเป็นแสนๆล้านบาทต่อปีด้วยซ้ำ

อดีตผู้ว่าการ ธปท.กล่าวด้วยว่า ตนมีแนวคิดทิศทางเดียวกับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ที่เสนอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ โดยเพิ่มมาตราที่ว่าในอนาคตหากรัฐบาลใดต้องการใช้เงิน รัฐบาลจะทำแผนเสนอต่อรัฐสภาว่าจะหาเงินมาจากไหน หรือจะลดงบประมาณรายจ่ายลงทุนตรงจุดไหน เพื่อไม่ให้เป็นภาระของประเทศต่อไป

ต่อมา นายกล้านรงค์ จันทิก กล่าวช่วงหนึ่งว่า ต้องเข้าใจว่าการใช้พวกมากลากไป เป็นคนละเรื่องกับเสียงข้างมาก เพราะเสียงข้างมากต้องฟังเสียงข้างน้อย และต้องใช้ดุลพินิจในการใช้เสียงข้างมากโดยระบบนิติธรรมและจริยธรรม แต่พวกมากลากเป็นการถูลู่ถูกัง เป็นกับดักประชาธิปไตย ที่ทำให้ประชาธิปไตยไปไม่รอด

“เราคิดว่าเสียงข้างมากเป็นสิ่งที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องไม่ใช้พวกมากลากไป การที่ใช้เสียงข้างมากลากไป เป็นปัญหาขัดกับระบอบประชาธิปไตย เพราะหลักสำคัญของเสียงข้างมากคือ จริยธรรมและนิติธรรม ซึ่งมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 50” นายกล้านรงค์ ระบุ

ด้าน นายบรรเจิด สิงคะเนติ กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมามีอยู่ 4 เหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงระบอบพวกมากลากไปอย่างชัดเจน คือ 1.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มา ส.ว. 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 3.ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และ 4.ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เป็น 4 เรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่า เป็นระบอบพวกมากลากไป ซึ่งไม่ต่างจากการปกครองโดยเผด็จการ อยากถามว่า 4 ร่างกฎหมายที่ว่า ผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอยู่ตรงไหน

นายบรรเจิด กล่าวอีกว่า ตนย้ำพูดมาตลอดว่าเผด็จการที่น่ากลัวที่สุดคือ เผด็จการทางรัฐสภา โดยพรรคการเมืองนายทุน หากเป็นในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่มีทางที่จะออกได้เลย มีเฉพาะประเทศที่เป็นเผด็จการเท่านั้นที่ออกกฎหมายแบบนี้ และหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มา ส.ว.โดยเผด็จการทางรัฐสภาสำเร็จ ก็จะทำให้เกิดสาธารณรัฐทักษิณ ที่เป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ ไม่ต่างจากสมัย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่แก้รัฐธรรมนูญมอบอำนาจให้แก่ตัวเอง

“หากแก้ไขที่มา ส.ว.สำเร็จ พรรคเสียงข้างมากก็จะมีเสียง 2 ใน 3 ในรัฐสภาทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ซึ่งเสียงข้างมาก 2 ใน 3 จะสามารถลบล้างอำนาจยับยั้งกฎหมายของพระมหากษัตริย์ เมื่อตรากฎหมายใดๆ ก็สามารถประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้เลย ดังนั้นคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญจะมีนัยสำคัญว่า จะไขประตูให้สาธารณรัฐทักษิณ หรือจะคงไว้ซึ่งความเป็นราชอาณาจักรไทยเอาไว้” นายบรรเจิด ระบุ

นายบรรเจิด กล่าวด้วยว่า การที่ 312 ส.ส.-ส.ว.รวมไปถึงประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา ออกมานั่งแถลงไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน เพราะมาตรา 216 ได้กำหนดว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ ขณะที่มาตรา 270 ได้ระบุไว้ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว.ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนออกจากตำแหน่ง ดังนั้นการประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ จึงถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว จึงมีเหตุของการถอดถอนได้ทั้งสภา




กำลังโหลดความคิดเห็น