“ประพันธ์” ไม่คาดคั้นเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยลงรายละเอียดเรื่องปฏิรูป คาดเป็นยุทธวิธีไม่อยากให้มวลชนแตกแยกทางความคิดในตอนนี้ แนะ “มาร์ค” ประกาศจุดยืนไม่เป็นนายกฯ หลังล้มรัฐบาลสำเร็จ เพื่อเคลียร์ข้อหาตีกิน มั่นใจจะช่วยเพิ่มน้ำหนักในการชุมนุม ปิดช่องไม่ให้รัฐบาลโจมตี ส่วนคนที่ยังข้องใจประชาธิปัตย์ก็จะเข้าร่วมเพียบ เชื่อ 24 พ.ย.เป็นจุดเปลี่ยนประเทศ
วันนี้ (18 พ.ย.) เมื่อเวลา 20.30 น. นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวในรายการ “เกาะติดสถานการณ์การชุมนุม” ทางเอเอสทีวี ว่าแกนนำการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็คงตระหนักว่าประชาชนที่ออกมา ไม่อยากแค่เปลี่ยนขั้วการเมือง เลยลาออกจาก ส.ส.และประกาศไม่ลงเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ยังมีปมที่คาใจว่าหากไล่รัฐบาลออกไปได้ พรรคประชาธิตย์จะเข้าสู่อำนาจหรือเปล่า เพราะหากเกิดกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาถอดถอน ส.ส.-ส.ว.312 คน วันที่ 20 พ.ย.นี้ ในคดีแก้รัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว. บวกกับฝ่ายค้านได้ยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ยุบสภาไม่ได้แล้ว แม้ว่าประธานรัฐสภาไม่ยอมรับบรรจุ อ้างว่าไม่มีเอกสาร อันนั้นไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ ถ้าถือว่ายื่นแล้วโดยชอบก็ยุบสภาไม่ได้ ฉะนั้นหากมีการโหวตหาคนเป็นนายกฯ เสียงข้างมากจะเป็นฝ่ายค้านแล้ว ถ้ามันมีสุญญากาศแบบนี้ประชาธิปัตย์จะฉวยโอกาสโหวตให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ หรือเปล่า ที่บอกว่าสู้เพื่อประเทศ ไม่ใช่เพื่อพรรค ดังนั้นประชาธิปัตย์ต้องประกาศจุดยืน
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า วันนี้เวทีชุมนุมทั้งสามเวที เริ่มบูรณาการเข้าหากันแล้ว มีจุดประสงค์เดียวกันคือล้มรัฐบาล แต่เรื่องปฏิรูปยังแตกต่างกันอยู่ โดยเวทีสะพานผ่านฟ้าฯ กับมัฆวานฯ ชัดเจนเรื่องปฏิรูป แต่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยังไม่พูดชัด ซึ่งตนมองว่าเป็นเชิงยุทธวิธี เพราะเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีคนเข้าร่วมหลากหลายกลุ่ม หากยกเรื่องปฏิรูปขึ้นมาพูด จะทำให้การต่อสู้ของมวลชนต้องกลับไปตั้งคำถามและมีข้อถกเถียงเพิ่มขึ้น ประชาธิปัตย์คงค่อยๆยกระดับยังไม่อยากพูดประเด็นนั้น เพื่อล้มระบอบทักษิณให้ได้ก่อน เพราะตรงกับความต้องการของมวลชนส่วนใหญ่ เมื่อล้มรัฐบาลได้แล้ว แน่นอนประชาชนจะต้องเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น อันนั้นอาจเป็นจังหวะที่สองที่เวทียังไม่อยากล้ำหน้ามวลชน แตกต่างจากอีกสองเวทีซึ่งก็ต้องกระตุกไว้ก่อน ถึงขึ้นถวายฎีกา ตั้งสภาประชาชน อันนั้นตนมองว่าก้าวกระโดดเกินไป เป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลหาเรื่องมาโจมตี ควรเอาไว้เป็นขั้นหลังจากนั้น ให้ประชาชนค่อยๆ เรียนรู้
นอกจากนั้น การชุมนุมครั้งนี้ยังเป็นการควบคุมทิศทางให้รัฐบาลที่จะขึ้นมาสู่อำนาจด้วย ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์ก็ตาม เพราะสิ่งที่เขาพูดบนเวทีคือหลักฐานสัญญาประชาคม วันนี้ถือว่าประชาชนควบคุมกำหนดทิศทางประวัติศาสตร์และแนวทางนักการเมือง ฉะนั้น ทั้งสามเวทีทราบว่ามีการประสานกันตลอด ขณะนี้เป็นช่วงเวลาตรึงพื้นที่รักษาขบวนเพื่อรุกคืบในวันที่ 24 พ.ย.
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า แม้ว่าเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไม่พูดเรื่องปฏิรูปก็อย่าไปคาดคั้น ไม่จำเป็นต้องพูดเหมือนกัน แต่ทิศทางยังเชื่อว่าไปในทางเดียวกัน คือล้มระบอบทักษิณและเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ส่วนจะปฏิรูปด้านใดบ้างยังมีเวลาพูดคุยกันในโอกาสที่จะมาถึง
ดังนั้น เพื่อเพิ่มพลังการชุมนุม ตนอยากเสนอประชาธิปัตย์ว่า ต้องไม่เปิดช่องให้รัฐบาลและเสื้อแดงโจมตี ถ้าวันนี้นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าหากล้มรัฐบาลได้แล้วจะไม่ฉวยโอกาสเข้าสู่อำนาจ แต่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ และเปลี่ยนแปลงประเทศในแต่ละด้านตามคำเรียกร้องของประชาชน จากนั้นค่อยลงสู่เกมการเลือกตั้ง ถ้าประกาศเช่นนี้จะสามารถแก้ข้อหาออกมาสู้เพื่อให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ปิดปากเพื่อไทยได้ทันที และคนที่ไม่ไว้ใจประชาธิปัตย์ ไม่ออกมาชุมนุมเพราะกลัวเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา จะเลิกสงสัยในพรรคทันที เป็นการเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ ลดข้อกังขาของประชาชน ประชาชนจะได้เคลียร์ว่าครั้งนี้เอาบ้านเมืองเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าวันที่ 24 พ.ย.นี้จะต้องนำไปสู่การยกระดับ เพิ่มแรงกดดัน และเชื่อว่านำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้