ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวสำหรับการชุมนุมถือว่าน่าจับตาทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อต้านระบอบทักษิณ หรือให้ตรงจุดก็คือ ทักษิณ ชินวัตร เพราะต้นตอมาจากคนนี้คนเดียว ที่ล่าสุดมีการ “ยกระดับ” ขึ้นมาอีกรอบ ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาดูที่เวทีราชดำเนิน ที่นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะถือว่าเป็นเวทีใหญ่ที่สุด มีมวลชนมากที่สุด แม้จะไม่ได้ประกาศออกมาโต้งๆ ว่ามีเป้าหมายอย่างไร แต่พิจารณาจากอารมณ์ของคนที่นั่งอยู่หน้าเวที ล้วนออกมาตรงกันคือ “ยิ่งลักษณ์ออกไป” และ “ระบอบทักษิณออกไป”
แน่นอนว่าความรู้สึกและอารมณ์ของมวลชนได้ก้าวล้ำไปไกล จนบางครั้งไปไกลเกินกว่า “แกนนำ” บนเวทีเสียด้วยซ้ำไป จนราวกับว่ามวลชนเหล่านี้มาขอใช้แกนนำ และเวทีสำหรับเคลื่อนไหว เพราะที่ผ่านมาถือว่ามีประสบการณ์มีบทเรียนสารพัดจนเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตามความเป็นจริงก็ต้องยอมรับว่า การคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมสุดซอยอันแสนอุบาทว์ของขี้ข้าทักษิณ เที่ยวนี้ถือว่า “เหลือทน” จริงๆ อย่างไรก็ตาม มันก็มีข้อดีตรงที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ร่วม นั่นคือ “สร้างกระแสต้าน” ทักษิณ สร้างกระแสต้านรัฐบาล “หุ่นเชิด” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้านคนในครอบครัว ชินวัตร ได้มาก ได้แรงอย่างที่ไมเกิดขึ้นมานานนายปีแล้ว หลังจากที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 48-49 ที่ผ่านมา แต่คราวนี้ต้องถือว่า “มีกระแสตื่นรู้” ที่ต่อยอดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็น “พลังอัดอั้น” พลุ่งพล่านขึ้นมาพร้อมๆ กันทั่วประเทศ เกินคาดหมาย
สาเหตุที่รวมพลังกันออกมาแบบทั่วทุกทิศ เพราะทนไม่ไหวกับความ “เห็นแก่ตัว” ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด เพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ ทำได้แม้แต่ “จับพวกเดียวกันเป็นตัวประกัน” หรือ “เหยียบซากศพ” ขึ้นไป ทุกข้อความมีความหมายให้เข้าใจอย่างนั้นได้ไม่ยาก แม้ว่าจะมีความพยายามบิดเบือนให้เข้าใจไปอีกทาง ก็ไม่เป็นผล
ขณะเดียวกัน กระแสคัดค้านต่อต้านร่างกฎหมายอุบาทว์ดังกล่าวที่ออกมากันทั้งประเทศ แบบมืดฟ้ามัวดิน อีกความหมายหนึ่งก็คือ การเพิ่ม “กระพือความเกลียด” ต่อทักษิณและคนในครอบครัวมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และแน่นอนว่า “การยกระดับ” การชุมนุมที่แม้ว่าบนเวทีราชดำเนิน จะยังไม่มีการประกาศให้แน่ชัดว่าต้องการขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ก็รับรู้กันอยู่แล้วว่า อารมณ์ ของมวลชนนั้นต้องการไล่ไปให้พ้น ทำให้สังเกตเห็นได้ชัดขึ้นว่า ล่าสุดคืนวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำผู้ชุมนุมก็เริ่มพูดถึงเรื่องต่อต้านขับไล่ระบอบทักษิณที่ “ทุจริตโกงกิน” ออกไปแล้ว “สร้างสังคมใหม่” ขึ้นมาแทน เพียงแต่ “ไม่พูดเรื่องปฏิรูปการเมือง” ให้ชัดเท่านั้นเอง
เชื่อว่าสิ่งที่มวลชนที่ออกมาต้องการให้เดินไปให้ “สุดซอย” ก็คือการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศไทย เพื่อที่ว่าในอนาคตจะไม่ต้องออกมาเดินตากแดดตากฝนกันแบบนี้อีกไม่สิ้นสุด แต่สิ่งที่ต้องการก็คือ การสร้างหลักประกันในการ “ตรวจสอบ” สร้างความสมดุล และถ่วงดุล ให้เกิดขึ้นจริง ให้ความหมายที่ว่า “จะโกงก็ได้ แต่ต้องติดคุกจริง” ไม่มีข้อยกเว้น สามารถออกแบบให้มี “ที่มา” ขององค์กรอิสระที่เป็น “อิสระ” แท้จริง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบทุกคน ทุกองค์กรได้อย่างอิสระและโปร่งใส ไม่เป็น “ขี้ข้า” นักการเมืองคนไหน นี่แหละคือการปฏิรูปที่ทำได้ และไม่ซับซ้อน
เมื่อวกกลับมาที่บรรยากาศการชุมนุมในเวลานี้ หากพิจารณากันตามความเป็นสถานการณ์เหมือนกำลังถูกบีบโดยมวลชนให้ต้องเดินไปในแนวทางปฏิรูปทุกอย่างใหม่ทั้งหมด และล่าสุดแกนนำอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เริ่มประกาศออกมาแล้ว เพียงแต่ใช้คำว่า “สร้างสังคมใหม่” เท่านั้นเอง
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไปก็คือ การออกมาชุมนุมต่อต้าน ร่าง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมสุดซอย และต่อเนื่องกลายมาเป็นขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ระบอบทักษิณ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร จะเผด็จศึกได้สำเร็จภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้หรือไม่ก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งเมื่อชาวบ้านหลั่งไหลออกมาบนท้องถนน อย่างน้อยก็ทนไม่ไหวกับการ “ผูกขาด” ฮุบประเทศของครอบครัวทักษิณ และนับวันยิ่งสะสมความ “เกลียด” มากขึ้นเรื่อยๆ และแม้ว่าหากมองในแง่ลบก็คือไล่ไม่สำเร็จ ยังไม่ไป
แต่นับจากนี้ ทั้งรัฐบาล “หุ่นเชิด” และคนในครอบครัวนี้ ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และนับวันมีแต่ถูกรุกไล่ อยู่ไม่เป็นสุขหรอก!!