ประชุม ครม.วันนี้ คาดจัดงานพระราชทานเพลิง “สมเด็จพระสังฆราช” มี.ค.ปีหน้า เมรุหลวงวัดเทพศิรินทราวาส เปิดกำหนดการ ครม.ลพบุรี 31 ต.ค.- 1 พ.ย.รายงานอี๋อ๋อ “ฮอร์ นัมฮง” รับมือผลตัดสินศาลโลก อ้างเขมรรับ 4 ข้อเสนอไทย ผีพนันเฮปิดด่านเขมร 4 ทุ่ม ครม.ใจดีตบรางวัล อสส.10 ล้าน แต่หั่นงบ ป.ป.ช.จังหวัดเหี้ยน เมินแทรกแซงช่วยชาวสวนยาง แต่เยียวยาชาวนา 1.9 พันล้าน ตกสิทธิจำนำข้าวรอบ 2
วันนี้ (29 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สำหรับงานพิธีพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ภายหลังเสร็จสิ้นการสวดพระอภิธรรม 7 วันแรกที่สำนักพระราชวัง เป็นเจ้าภาพ หลังจากนั้นจะเปิดโอกาสทุกๆ หน่วยงานเป็นเจ้าภาพ และทำบุญทุกๆ 7 วัน ทั้งนี้ ครม.จะเป็นเจ้าภาพจัดงานทำบุญในวันที่ 21 พ.ย.และจะมีการทำบุญสมเด็จพระสังฆราช 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน คาดว่า งานพระราชทานเพลิงพระศพจะมีขึ้นเดือน มี.ค.57 และจะใช้เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส
นายธีรัตถ์ กล่าวต่อว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ในระหว่างวันที่ 31 ต.ค.- 1 พ.ย.56 จะมีการจัดประชุม ครม.อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2556 ณ จ.ลพบุรี โดยในวันที่ 31 ต.ค.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะออกเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ จากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ม.2 รอ.) สนามเป้า กทม.ไปยัง จ.สิงห์บุรี และออกเดินทางไปยังวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร เพื่อสักการะหลวงพ่อพระนอนจักรสีห์ พร้อมรับฟังการรายงานสรุปโครงการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จากผู้ว่าราชการ จ.สิงห์บุรี และรับฟังบรรยายสรุปโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการประตูระบายน้ำบางโฉมศรี จากอธิบดีกรมชลประทาน ก่อนจะเดินทางต่อไปยังค่ายวชิราลงกรณ (พลร่มพิเศษ) ต.ป่าตาล จ.ลพบุรี ก่อนที่ในช่วงเย็นเวลาประมาณ 17.00 น.นายกฯจะเดินทางไปรับฟังสรุปผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีต่อไป
ขณะที่ในวันที่ 1 พ.ย.ก่อนการประชุมการประชุม ครม. นายกฯและคณะจะเดินทางไปสักการะพระบรมอนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช อ.เมือง จ.ลพบุรี และสักการะเจ้าพ่อพระกาฬ ณ ศาลพ่อพระกาฬ ก่อนเข้าร่วมประชุม ครม.ต่อไป สำหรับประเด็นที่จะมีการหารือในการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.ลพบุรี จะเน้นหารือเรื่องโครงการต่างๆ ในพื้นที่ตามที่ กรอ.ได้เสนอ อาทิ โครงการที่จะทำให้ภาคกลางตอนบนเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ หรือการผลักดันให้เกิดโครงการมาตรฐานอาหารปลอดภัย รวมไปถึงโครงการแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ เป็นต้น
ในที่ประชุม ครม.วันนี้ นายกฯได้ให้ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การต่างประเทศ รายงานสรุปสถานการณ์ ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) จะมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 11 พ.ย.นี้ด้วย โดยนายสุรพงษ์ได้กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมกับ นายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศของกัมพูชา ที่โรงแรมฮอลิเดย์ พาเลซ เมืองปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เมื่อวานนี้ (28 ต.ค.) ว่า ฝ่ายกัมพูชาเห็นพ้องใน 4 ข้อเสนอของฝ่ายไทยเป็นอย่างดี คือ 1.ไม่ว่าผลการตัดสินของศาลโลกจะออกมาเช่นไร จะไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพราะเราเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป 2.ทั้งสองฝ่ายจะรักษาความสงบสุขตามแนวชายทั้งระดับรัฐบาลและทหาร ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ 3.ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนให้มีการพบปะหารือเกี่ยวกับสาระสำคัญของคำตัดสินโดยใช้กลไกที่มีอยู่แล้ว เช่น การประชุมคณะกรรมมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (เจซี) ไทย-กัมพูชา และ 4.ให้กระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 2 ประเทศ เป็นหน่วยงานหลักในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนของข้อมูลข่าวสาร
“ทหารและหน่วยราชการตามแนวชายแดนจะต้องรักษาความสงบไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น เมื่อศาลมีคำวินิจฉัยทั้งไทยและกัมพูชาจะต้องใช้กลไกที่มีอยู่ คือ คณะกรรมการร่วมเพื่อพูดคุยหลังมีคำสั่ง และจะต้องให้เวลาซึ่งกันและกัน หากจะมีการดำเนินการใดๆต้องทำไปพร้อมๆ กัน และให้กระทรวงต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายเป็นผู้รับผิดชอบในการแถลงข่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจแก่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ” นายธีรัตถ์ กล่าวถึงคำพูดของ รมว.ต่างประเทศในที่ประชุม
นายธีรัตถ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ กล่าวย้ำในที่ประชุมด้วยว่า สาเหตุที่รัฐบาลกัมพูชาจำเป็นต้องนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลก เนื่องจากเกิดความขัดแย้งกับไทยในช่วงรัฐบาลที่แล้ว และย้ำว่าการที่มีผู้เรียกร้องไม่ให้นายกฯยอมรับอำนาจศาลโลกนั้น ตามข้อเท็จจริงไทยก็ไม่ได้มีการยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ปี 2505 ฉะนั้น จากนี้ไปก็จะมีการเดินทางให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับเรื่องเขาพระวิหารและทำความเข้าใจเรื่องการรับอำนาจศาลโลก
ในส่วนผลการประชุม ครม.นายธีรัตถ์ กล่าวว่า ครม.รับทราบและเห็นชอบให้เบิกจ่ายเงินเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 จำนวน 10 ล้านบาท ที่ได้ผ่านการพิจารณาจากกระทรวงการคลังแล้วมาดำเนินการจัดสรรเพื่อจ่ายเป็นเงินรางวัลสำหรับข้าราชการธุรการและลูกจ้างประจำของสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ประจำปีงบประมาณ 2555 ได้ เพื่อเป็นของขวัญ กำลังใจ และเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับข้าราชการกลุ่มที่มีผลกระทบสูงต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานราชการตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 3 เม.ย.44 เรื่อง การปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานราชการ โดยยึดหลักการให้ข้าราชการธุรการและลูกจ้างประจำของ อส.ได้รับความเสมอภาคในเรื่องบำเหน็จความชอบธรรมที่เป็นเงินรางวัล (เงินเพิ่มพิเศษ) เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนและลูกจ้างประจำตามระเบียบกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ รูปแบบการจัดสรรเงินรางวัลให้อนุโลมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และรูปแบบการจัดสรรเงินรางวัลแบบเดียวกับข้าราชการพลเรือน ตามที่ อส.เสนอ พร้อมกันนี้ ครม.ยังได้เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอให้พิจารณาอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ โดยเงินเดืนขั้นต่ำสุดและสูงสุดระหว่าง 100,000-250,000 บาท จากเดิมที่เสนอ 100,000-300,000 บาท
นายธีรัตถ์ ยังได้แถลงด้วยว่า ครม.มีมติอนุมัติจัดสรรงบกลางปีงบประมาณ 2556 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับการเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการและจ้างลูกจ้างอัตราใหม่ ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่จะปฏิบัติงานในจังหวัดต่างๆ ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช.เสนอมาจำนวน 785 อัตรา วงเงิน 68.8 ล้านบาท ให้เหลือ 335 อัตรา วงเงิน 20.1 ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณเห็นว่า สำนักงาน ป.ป.ช.จำเป็นต้องเพิ่มบุคลากรเพื่อปฏิบัติงานที่สำนักงาน ป.ป.ช.จังหวัด แต่เห็นว่าควรปรับลดคำขอกำลังคนเหลือ 335 อัตรา โดยให้อนุมัติเฉพาะข้าราชการ 5 อัตราต่อจังหวัดใน 67 จังหวัด
โฆษกรัฐบาล เปิดเผยด้วยว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการดำเนินการขยายเวลาเปิดจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา จาก เวลา 07.00-20.00 น.เป็น 06.00-22.00 น.จำนวน 5 แห่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ ดังนี้ 1.จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี 2.จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี 3.จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด 4.จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และ 5.จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
นายธีรัตถ์ เปิดเผยว่า ในวันนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้รับทราบการชำระบัญชี บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย หรือ บสท.หลังจากมีการรับโอนหนี้สินจากสถาบันการเงินที่ประสบวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 และรับทราบการรายงานภาวะเงินเฟ้อในช่วงเดือนกันยายน 2556 ซึ่งขยายตัวอยู่ที่ระดับต่ำร้อยละ 1.42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.36 ช่วง 9 เดือนแรกของปี หลังจากสถานการณ์ราคาอาหารและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สูงมากนัก
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังได้เห็นชอบให้ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก.โอนหนี้จำนวน 1,726 ล้านบาท ไปอยู่ในแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานปี 2557 จากเดิมอยู่ในแผนงานชดเชยตาม
รายงานจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แจ้งว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 29 ต.ค.ได้มีการถอนร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรของข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ พ.ศ. ... ออก เนื่องจากต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศไปหารือกับกระทรวงการคลังถึงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ พร้อมกับให้หารือถึงเพดานเงินเบิกค่าเทอมบุตรของทูตในระดับที่เหมาะสมว่า ควรอยู่ระหว่างงบประมาณเท่าใด รวมทั้งให้ไปจัดทำบัญชีรายชื่อประเทศที่อยู่ห่างไกลและลำบากในการประจำการ เนื่องจากนายกฯเห็นว่า จะเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างทูตที่ประจำในประเทศที่มีความเจริญ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น ย่อมมีความได้เปรียบในการส่งบุตรเรียนโรงเรียนานาชาติ ขณะที่ทูตที่ประจำประเทศห่างไกล อาทิ เอธิโอเปีย ซูดาน ย่อมมีความแตกต่างในการเบิกงบประมาณส่งเสียบุตร จึงสั่งให้มีการทำบัญชีรายชื่อประเทศที่ห่างไกลกับประเทศที่มีความเจริญควรได้รับการอุดหนุนจากรัฐเท่าไรและอย่างไร แล้วจึงนำกลับมาเสนอ ครม.ใหม่
ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างระเบียบที่ถูก ครม.ถอนออก คือ กำหนดให้ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศมีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย กำหนดให้ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศมีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตร สำหรับบุตรที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนานาชาติ และให้รวมถึงโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนด้วย เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุน ด้านการศึกษาให้แก่บุตรของข้าราชการที่ประจำการอยู่ในต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับข้าราชการ เนื่องจากโรงเรียนท้องถิ่นในหลายประเทศ มีคุณภาพการศึกษาสูง และมีการสอนภาษาอังกฤษควบคู่ไปกับภาษาท้องถิ่น
และกำหนดให้ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาจักร เครือรัฐออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรเช่นเดียวกับข้าราชการที่ประจำการในประเทศอื่นๆ และ กำหนดเพิ่มเติม กรณีข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในประเทศที่ไม่มีสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาจากสถาบันรับรองมาตรฐานสากลหรือในประเทศหรือเมืองที่มีภาวะความเป็นอยู่ไม่ปกติ มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตร สำหรับบุตรที่ศึกษาในสถานศึกษานอกประเทศที่ข้าราชการประจำการ
ด้าน ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.หารือเบื้องต้นว่าพร้อมช่วยเหลือชาวสวนยาง แต่ขอให้ใช้เวทีเจรจาผ่านไตรภาคี ทั้งชาวสวน ผู้ค้า และตัวแทนรัฐบาล โดยเรียกร้องอย่าชุมนุมด้วยวิธีการผิดกฎหมาย หรือการปิดถนนจนทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน
นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลยึดแนวทางการช่วยเหลือชาวสวนยางพาราบริเวณ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในส่วนของค่าใช้จ่ายปัจจัยการผลิตยางโดยตรงที่ไร่ละ 2,520 บาท หลังได้จ่ายเงินช่วยเหลือไปแล้ว 578 ล้านบาท มีชาวสวนได้รับการช่วยเหลือกว่า 23,600 ราย ทั้งนี้ กำลังเร่งสำรวจและตรวจสอบพื้นที่ปลูกยางพาราจริงอีก 500,000 ราย จากจำนวนชาวสวนยางพาราขึ้นทะเบียนไว้ 1,190,000 ราย จึงต้องเดินหน้าจ่ายเงินด้วยแนวทางเดิม เป็นแนวทางแก้ปัญหาตรงจุด ยังเป็นมติ ครม.ให้ดำเนินการ จึงไม่สามารถแทรกแซงราคารับซื้อยางพาราในท้องตลาดตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้รับซื้อราคา 100 บาทต่อกิโลกรัม เพราะจะเป็นการบิดเบือนกลไกตลาดยางพารา
ขณะนี้สถานการณ์ราคายางพาราเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยราคายางแผ่นรมควัน ชั้น 3 กิโลกรัมละ 75.11 บาท หลังจากช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จีนชะลอคำสั่งซื้อยางพาราจากไทย และภาคใต้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนทำให้กลุ่มผู้ผลิตยางพาราไม่สามารถกรีดยางได้ ส่งผลให้การผลิตยางพาราป้อนเข้าสู่ตลาดน้อยลง ราคายางพาราจึงขยับสูงขึ้น
นายยุคล กล่าวาว่า สำหรับกลุ่มผู้ชุมนุมชาวสวนยางบริเวณ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เรียกร้องให้ช่วยเหลือด้วยการอ้างว่าเงินช่วยเหลือไม่ถึงมือผู้กรีดยางพารา มองว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวมีน้ำหนักไม่เพียงพอในการนำผลประโยชน์ของผู้กรีดยางพารามาใช้เป็นข้อเรียกร้อง เนื่องจากผู้กรีดยางพารามีทั้งจ้างแรงงานต่างด้าวและเกษตรกรกรีดเอง หากนำผู้กรีดยางพาราเข้าระบบจะกระทบแรงงานกรีดยางต่างด้าวด้วย ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ ที่สำคัญปัจจุบันนี้จากการสำรวจเกษตรกรชาวสวนยางพาราในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไม่ได้รับเอกสารสิทธิเพียง 35 รายเท่านั้น
ร.ท.หญิง สุนิสา กล่าวต่อว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ไม่สามารถใช้สิทธิ์ ครั้งที่ 2 เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2555/2556 ในวงเงินงบประมาณ 1,907 ล้านบาท โดยไม่รวมอยู่ในวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก 500,000 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้ในการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2554/2555 และปีการผลิต 2555/2556 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป เพื่อช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติ อัตราตันละ 2,121 บาท แบ่งเป็น ค่าเมล็ดพันธุ์ข้าวร้อยละ 100 ของค่าเมล็ดพันธุ์ และค่าปุ๋ยร้อยละ 50 ของค่าปุ๋ย ซึ่งเกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาไม่เกินรายละ 33 ตัน ปริมาณ 899,000 ตัน
รวมทั้งให้คณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการรับจำนำระดับจังหวัด กำกับดูแลการช่วยเหลือ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ขั้นตอน และเอกสารหลักฐาน ที่ใช้ในการขอรับเงินเยียวยาตามปริมาณผลผลิตจริง ที่เกษตรกรนำไปจำหน่าย และไม่เกินปริมาณตามหนังสือรับรองเกษตรกร คือ เกษตรกร มีหนังสือรับรองโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2555/2556 ครั้งที่ 2 เก็บเกี่ยวไม่เกิน 15 กันยายน 2556 แต่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทันภายในระยะเวลารับจำนำที่กำหนด และได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2555/2556 ครั้งที่ 2 เก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 16-30 กันยายน 2556 ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องตรวจสอบและออกหนังสือรับรองเกษตรกรให้เกษตรกรใช้เยียวยาครั้งนี้
คณะรัฐมนตรีได้ให้ช่วยเหลือเกษตรกรในจังหวัดลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ชัยนาท ที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนวันที่ 15 กันยายน 2556 ครั้งที่ 2 ได้ เพราะกระทรวงเกษตรฯ ขอให้เลื่อนการเพาะปลูกและปล่อยน้ำชลประทานล่าช้า และเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 16-30 กันยายน 2556 โดยได้ขยายระยะเวลารับจำนำออกไปเป็นสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายนนี้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า กระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบว่า ขณะนี้ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ พระนครศรีอยุธยา นครนายก ศรีสะเกษ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สุพรรณบุรี นครปฐม และลพบุรี รวม 41 อำเภอ 247 ตำบล 2,086 หมู่บ้าน มีผู้ได้รับผลกระทบ 280,664 คน โดยในภาพรวม ระดับน้ำในทุกพื้นที่ลดลงแล้ว
ในขณะที่ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ.รายงานว่า สถานการณ์น้ำในภาคตะวันออก โดยเฉพาะ จ.ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ขณะนี้ สถานการณ์คลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ในส่วนของภาคใต้ ขณะนี้มีฝนกระจายร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักทางตอนล่างของภาค ซึ่งเชื่อว่าจังหวัดจะรับมือได้ ส่วนสถานการณ์ ที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา นั้น กบอ.ได้ร่วมกับจังหวัดป้องกันเมืองจากอุทกภัยน้ำท่วม โดยใช้มาตรการ เช่น ลดการระบายน้ำจากเขื่อนลำตะคอง และควบคุมประตูระบายน้ำในจุดต่างๆ เพื่อชะลอน้ำจากลำตะคอง ไม่ให้ไหลลงสู่ตอนล่างเร็วเกินไป เป็นต้น
ซึ่งนายกรัฐมนตรี แสดงความพอใจที่ทุกหน่วยงาน ใช้ระบบบริหารจัดการน้ำในการแก้ปัญหาและช่วยเหลือประชาชน ทำให้สามารถลดความสูญเสียลงได้ ทั้งๆ ที่ ระดับความรุนแรงของปัญหา ถือว่าใกล้เคียงกับเมื่อปี 2554 ซึ่งเกิดมหาอุกภัยน้ำท่วมใหญ่ โดยเฉพาะกรณีการป้องกันนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ป้องกันได้ดี ทำให้ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นกับตัวโรงงานอุตสาหกรรม เพราะน้ำไม่ท่วมโรงงาน แต่ มีน้ำท่วมเฉพาะเส้นทางเข้านิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น หลังจากนี้ นายกฯ อยากให้เร่งฟื้นฟูและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุกภัย รวมทั้งขอให้เพิ่มความสำคัญกับการฝึกซ้อมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งขณะนี้ นายกฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย จัดทำหลักสูตรเพื่ออบรมเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการกู้ภัยแล้ว
นอกจากนี้ ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวถึงการดำเนินคดี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาร่วมกันใช้หรือก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าหรือพยายามฆ่าโดยเจตนา เนื่องจากใช้อาวุธเกินความจำเป็นในการสลายการชุมนุมนั้น ว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะใช้เรื่องคดีไปบีบให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ยอมรับการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา
ทั้งนี้ หากนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ไม่เห็นด้วยกับข้อกล่าวหา ก็ขอให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ไม่ใช่มาดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม ซึ่งก็น่าสังเกตว่าเวลาฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองถูกดำเนินคดี พรรคประชาธิปัตย์จะรีบออกมาเชียร์ว่า กระบวนการยุติธรรมถูกต้องและชอบธรรม แต่พอตัวเองถูกดำเนินคดี กลับดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม โดยพูดให้สังคมเข้าใจว่ารัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดี เช่นเดียวกับเรื่องการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ หยุดกล่าวหาว่ารัฐบาลหรือนายกฯ เข้าไปแทรกแซงหรือบงการเรื่องดังกล่าวได้แล้ว เพราะรัฐบาลหรือ นายกฯ เคารพอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและไม่เคยเข้าไปแทรกแซง
“ขอตั้งคำถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะเอาอย่างไรกันแน่ เพราะบางครั้งพรรคประชาธิปัตย์ก็โจมตีว่ารัฐบาล และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แทรกแซงหรือก้าวก่ายอำนาจฝ่ายอื่น เช่น อำนาจตุลาการ ฝ่ายนิติบัญญัติ รวมทั้งองค์กรอิสระต่างๆ แต่บางที โดยเฉพาะคราวนี้ กลับเรียกร้องให้นายกฯ เข้าไปสั่งการ ส.ส.ในสภา ให้ลงมติแบบโน้น แบบนี้ ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการ ตกลงพรรคประชาธิปัตย์จะให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ แทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติ หรือจะให้นายกฯ เคารพอำนาจนิติบัญญัติกันแน่ ตกลงจุดยืนของพวกท่านคืออะไร หรือที่จริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีจุดยืนหรือหลักการอะไร แต่จะเลือกพลิกลิ้นพูดแบบไหนก็ได้ ถ้ามันจะเกิดประโยชน์กับฝ่ายตัวเอง” รท.หญิง สุนิสา กล่าว
รท.หญิง สุนิสา กล่าวต่อว่าน่าสงสัยว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา อย่างที่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เคยพูดเอาไว้หรือไม่ เพราะพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า ฝากความหวังกับการเมืองข้างถนนนอกสภา เพื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง มากกว่าที่จะเคารพและเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา นอกจากนี้ การที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ มักจะข่มขู่นายกฯ ทำนองว่าจะไม่มีแผ่นดินอยู่นั้น สะท้อนให้เห็นทัศนคติของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ว่าไม่เคยต้องการเห็นความปรองดอง
“ไม่ทราบเป็นเพราะยังหวังจะแสวงประโยชน์จากความขัดแย้งของบ้านเมืองอีกหรืออย่างไร แสดงว่าไม่เคยใส่ใจรับฟังความต้องการของคนส่วนใหญ่ของประเทศที่อยากเห็นบ้านเมืองก้าวออกจากความขัดแย้ง แล้วเดินไปข้างหน้า นอกจากนี้ ยังน่าสงสัยว่า ถ้าหากคนอย่างนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ซึ่งถูกตั้งข้อหาว่าร่วมกันใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าหรือพยายามฆ่าฯ ยังสามารถเดินชูคออยู่ในประเทศไทยได้ ในขณะที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างถูกต้อง ชอบธรรมตามวิถีทางประชาธิปไตย ทั้งยังอุทิศตัวและทุ่มเทในทำงานและมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความปรองดองให้ประเทศ แล้วทำไม คนตั้งใจทำงาน อย่างนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จึงจะอยู่ในประเทศนี้ไม่ได้” รท.หญิง สุนิสา กล่าว
นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงในส่วนของการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้ง นายทวี นริสศิริกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก และอนุมติแต่งตั้ง นางทรงพร โกมลสุรเดช ที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นต้นไป นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้ง นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ เป็นคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) แทน นายธงชัย ศรีดามา ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 65 ปี ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.56 เป็นต้นไป