ผ่าประเด็นร้อน
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า รัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงมาจนถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รวมไปถึง ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศยอมรับคำตัดสินของศาลโลกที่กำลังจะมีการตัดสินในวันที่ 11 พฤศจิกายน กรณีที่ฝ่ายกัมพูชายื่นให้ตีความว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาด้วยหรือไม่หลังจากเมื่อปี 2505 ได้พิพากษาให้ครอบครองปราสาทพระวิหารไปแล้ว
นั่นคือให้คนไทยอยู่เฉยๆ นิ่งสงบ ยอมรับคำตัดสินอย่างเดียว อย่ามีปฏิริยาคัดค้าน เพราะจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ กระทบบรรยากาศทางการค้า
โดยเวลานี้ฝ่ายรัฐบาลไทย ได้เคลื่อนไหวเป็นรูปธรรมให้เห็นก็คือการส่งรับมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เดินทางแบบนอบน้อมไปที่กรุงพนมเปญเพื่อขอเข้าพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ฮอร์ นัมฮง ทำความเข้าใจกันเสียแต่เนิ่นๆ และล่าสุดก็มีการประกาศร่วมกันว่า “เราจะยึดมั่นในคำตัดสินของศาลโลก” ไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ก็ไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ที่ทั้งสองฝ่ายจะอยู่ร่วมกันในอนาคต
แน่นอนว่าเส้นทางในวันข้างหน้าต้องเดินไปทางนี้ ซึ่งฟังดูเผินๆ มันก็ยุติธรรมดี ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินของศาล ต้องเชื่อฟัง
แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ "อย่างที่เห็น" เพราะนี่คือ "ละครตบตา" ที่มีการวางแผนสมคบกันเพื่อให้ไทยเสียดินแดน และเป็น "สเต็ปแรก"ก่อนที่จะมีแผนชัาวขั้นต่อไปนั่นคือการ "ลากเสีนเขตแดนใหม่จากบนบกลงสู่ทะเล" และเป้าหมายสำคัญคือ "พื้นที่ในอ่าวไทย" ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรด้านพลังงาน ซึ่งฟังดูแล้วอาจเหมือนกับ "เป็นจินตนาการ" หาเรื่องล่วงหน้า แต่เมื่อพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่รับรองว่า "นี่คือความเป็นไป" ที่จะต้องเกิดขึ้นจริง ไม่ต่างจากกรณีการผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม "สุดซอย" ที่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการ "คืนเงิน" ให้ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตามเนื้อหาของกฎหมายไม่มีการระบุถึงเรื่องคืนเงิน เพียงแค่ขั้นตอนแรกคือลบล้างความผิด และมีข้อความ "เสมือนไม่เคยทำผิด" ก็เปิดช่องไว้สำหรับ "สเต็ป" ถัดไป คือจะไปร้องศาลให้คืนเงินภายหลัง เพราะในเมื่อไม่เคยทำผิดก็ต้องคืนเงินมาให้ ไม่ต่างจากกรณี เรื่องพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ในเมื่อขั้นตอนแรกหากศาลโลกตัดสินให้ไทยต้องเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร แต่ในเนื้อหาที่กัมพูชายื่นไปนั้นเขาใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 และไทยก็ไม่เคยทักท้วงอย่างเป็นทางการ นั่นเท่ากับว่า "เรายอมรับแผนที่ดังกล่าว" ไปโดยปริยาย
และนี่คือคำตอบที่กำลังจะตามมา คือ ขั้นตอนต่อไปฝ่ายกัมพูชาก็จะอ้างเป็นเหตุผลสำหรับการเจรจา "เรื่องเขตแดน" ในอนาคต ซึ่งรัฐบาลไทยในยุค ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นคนในครอบครัวชินวัตร ที่เป็น "ดอง" กับฝ่ายกัมพูชา ก็ต้องเห็นดีเห็นงามไม่มีปัญหาอยู่ อีกทั้งถ้าพิจารณาในแง่ของผลประโยชน์ทั้งที่เป็นเรื่องเฉพาะหน้าและ "ซ่อน" อยู่ข้างหน้า จากการที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นอดีตที่ปรึกษาส่วนตัวให้กับ ฮุนเซน มันก็ย่อมมีความหมายในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าหากศาลโลกตัดสินให้ไทยต้องเสียดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร นั่นเท่ากับว่า "หายนะ" รออยู่ข้างหน้า เพราะไม่ใช่ไทยจะเสียพื้นที่แค่ราว 3 พันไร่เท่านั้น แต่มีแนวโน้มสูงว่าเราจะเสียดินแดนเพิ่มเติมตั้งแต่บนบกแล้วลากลงทะเลใหม่ และมีแนวโน้มว่าอาจต้องเสีย "เกาะกูด" ให้กับกัมพูชาก็ได้ เพราะหากยึดตามอัตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ไทยไม่ได้ยื่นทักท้วงหรือคัดค้านอย่างเป็นทางการ และนี่คือ "เป้าหมายที่ซ่อนอยู่" เพื่อให้เขตแดนในทะเลเปลี่ยนไปอยู่ฝั่งกัมพูชามากขึ้น ทำให้การเจรจาในเรื่องธุรกิจพลังงานทำได้ง่ายขึ้น และในช่วงเวลาเดียวกันก็ให้บังเอิญว่ากำลังเร่งรัดแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่เกี่ยวกับการเจรจาลงทุนกับต่างประเทศทำได้ง่าย โดยไม่ต้องผ่านสภา
อย่างไรก็ดี คำถามในเวลานี้ก็คือ เราจำเป็นต้องยอมรับอำนาจศาลโลกหรือไม่ ทำไมคนไทยต้องมานั่งเสี่ยง มายอมรับชะตากรรมแบบนี้ทำไม ทำไมเราไม่ปฏิเสธอำนาจศาลโลก เพราะที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ต่ออายุภาคีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวหลังจากที่เราพ่ายแพ้คดีปราสาทพระวิหารมาตั้งแต่ปี 2505 ทั้งที่ขอบเขตอำนาจศาลโลก แตกต่างกับศาลไทย และยิ่งสุ่มเสี่ยงต่ออธิปไตยของชาติ เรายิ่งไม่ต้องไปเสี่ยง นอกเสียจากนี่คือ "แผนชั่ว" ที่สมคบคิดกันล่วงหน้า แล้วหวังผลประโยชน์ในอนาคตของคนใน"บางครอบครัว"เท่านั้น
ที่น่าสมเพชก็คือ คนในครอบครัวทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามสื่อให้คนไทยต้องยอมรับอำนาจศาลโลก เหมือนกับว่าต้องยอมรับอำนาจ ศาลไทย ทั้งที่ที่ผ่านมาคนในครอบครัวนี้มักวิจารณ์ศาลไทยอยู่เป็นระยะ หากตัดสินให้ตัวเองเสียประโยชน์ แต่กรณีของศาลโลกที่กำลังจะพิพากษาออกมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งฝ่ายไทยมีเสียกับเสมอตัว ต่างกับกัมพูชาที่มีแต่ได้กับเสมอตัว ไม่มีเสีย
แต่สิ่งที่เป็นคำถามไปถึงคนไทยก็คือแล้วเราจำเป็นต้องงอมืองอเท้ายอมรับชะตากรรมแบบนั้นหรือ และหากเราเสียดินแดน เสียพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารแล้วจะต้องอยู่นิ่งเฉย ตามคำร้องขอรัฐบาล เพื่อรักษาบรรยากาศความสัมพันธ์ รวมทั้งเห็นดีเห็นงามไปกับกองทัพบกไทยที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่น้อมรับคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กลัวว่าฝ่ายเขมรจะเข้าใจผิดไม่พอใจ จึงเร่งติดตั้งลำโพงตลอดแนวชายแดน เพื่อเตรียมชี้แจงให้ฝ่ายกัมพูชาเข้าใจได้ทันท่วงที เราจะยอมรับท่าที "พินอบพิเทา" แบบไร้ศักดิ์ศรีอย่างนี้หรือ
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนไทย ว่าจะให้เป็นแบบไหน เพราะสิ่งที่เห็นก็คือ ทั้งรัฐบาลและกองทัพแสดงออกมาก็คือให้คนไทยยอมรับ แม้จะต้องเสียดินแดน รวมไปถึงอย่าทำให้ฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจ เพราะจะทำให้เสียบรรยากาศกระทบความสัมพันธ์เป็นอันขาด!!