อดีต รมว.พลังงาน ยันแก้มาตรา 190 จำเป็นเพื่อความคล่องตัวรัฐเจรจาต่างประเทศ ยิ่งเข้า AEC สภาอนุมัติเฉพาะเรื่องสำคัญ ย้อนหัวหน้า ปชป.โยงปมพื้นที่ทับซ้อน แต่ตอนเป็น รบ. “เทือก” กลับแอบเจรจา เป็นเหตุให้เขมรไม่ชอบ ปชป. ชี้นำก๊าซธรรมชาติพัฒนาร่วมกันเกิดประโยชน์สองชาติ อัด ปชป.ปฏิรูปตัวเอง เห็นประโยชน์ชาติมาก่อน
วันนี้ (17 ต.ค.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เป็นเรื่องจำเป็นเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงานของรัฐบาลทุกรัฐบาลในการเจรจากับต่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อกำลังจะเข้าสู่เออีซี ที่จะต้องมีรายละเอียดที่จะต้องตกลงกันอีกมาก หากรอให้สภาอนุมัติทุกเรื่องจะต้องใช้เวลานานเกินไป ควรให้สภาอนุมติเฉพาะเรื่องที่สำคัญๆเท่านั้น และการที่ผู้นำฝ่ายค้านฯ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดเบี่ยงประเด็นพาดพิงถึงผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลนั้น ก็อยากให้นายอภิสิทธิ์ออกมาชี้แจงด้วยว่า การที่กัมพูชาแจ้งเป็นเอกสารมาว่า ในรัฐบาลที่แล้วที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แอบร้องขอไปเจอกับรองนายกฯ ของกัมพูชา นายสก อาน ถึง 2 ครั้งคื อ ที่ฮ่องกง ในวันที่ 1 สิงหาคม 2552 และที่คุนหมิง ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2553 โดยอ้างว่าได้รับมอบหมายจากนายอภิสิทธิ์ขอให้มาเจรจา ทั้งๆ ที่มีปัญหาความขัดแย้งกันอยู่ในขณะนั้น มีรายละเอียดการเจรจาอย่างไร ทำไมต้องแอบเจรจา มีการเรียกร้องผลประโยชน์หรือไม่ และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาถึงได้ไม่ชอบนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพอย่างมากใช่หรือไม่
“ความจำเป็นในการเจรจาเพื่อนำก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนมาพัฒนาร่วมกันจะทำเกิดประโยชน์กับทั้งสองประเทศ โดยไทยจะได้ประโยชน์มากกว่าเพราะมีความพร้อมมากกว่า และจะทำให้ไทยมีความมั่นคงทางพลังงานเพิ่มขึ้น โดยทบวงพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ ออกมาเตือนแล้วว่าอีก 22 ปีไทยจะเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงทางพลังงานมากที่สุด เพราะก๊าซที่ขุดในอ่าวไทยจะหมด และจะต้องนำเข้าก๊าซและน้ำมันเกือบทั้งหมด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาแหล่งพลังงานมาเพิ่ม ดังนั้นจึงอยากให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ปฏิรูปตัวเองและพัฒนาทางความคิดตามที่นายอลงกรณ์ พลบุตรเสนอ และให้เห็นประโยชน์ของชาติมากกว่าจะเล่นการเมืองอย่างเดียว” นายพิชัยกล่าว
