"สนธิ" แฉมีกระบวนการการจ้องเอาตัวเองเข้าคุกโดยรับคำสั่งจากต่างประเทศ เผยตอนศาลชั้นต้นผู้พิพากษาถูกกดดันหนักจากผู้ใหญ่แต่ผู้พิพากษาคำนึงถึงความถูกต้องเลยตัดสินอย่างตรงไปตรงมา ย้ำเคารพนิติรัฐแต่ไม่ยอมรับคำตัดสินศาลอุทธรณ์ เหตุไม่ได้ดูที่เจตนาเลย ยันหากต้องติดคุกเพราะคดีหมิ่นเบื้องสูงฯก็จะยอม เพราะคุ้มหากจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในวงการผู้พิพากษา พร้อมลั่นไม่มีวันท้อใจ ขอสู้ให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างน้อยก็ตายตาหลับ
วันนี้ (4 ต.ค.) นาสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ทางเอเอสทีวี ถึงคำตัดสินคดีหมิ่นเบื้องสูงฯ ว่า เรื่องนี้มันทะแม่งๆตั้งแต่ศาลชั้นต้นแล้ว มีกระบวนการที่จะเอาตนติดคุกให้ได้ เหมือนว่ามีคำสั่งมาจากต่างประเทศ แล้ววิ่งไปหาเครือข่ายศาลของเขา ศาลก็มนุษย์คนหนึ่ง มีกิเลส รัก โลภโกรธ หลง มันทะแม่งตรงที่ว่าการนำสืบพยานตอนศาลชั้นต้น แม้กระทั่งตำรวจซึ่งเป็นพยานของฝ่ายโจทก์ ยังยอมรับเลยว่าฟังแล้วเจตนาของตนกับ ดา ตอร์ปิโด นั้นต่างกัน พยานอีกคนซึ่งเป็นแม่ค้าในที่ชุมนุมก็บอกว่าตนพูดเพื่อเรียกให้ตำรวจไปจัดการ พอวันพิพากษาศาลนัด 9.30 น. ปรากฎว่าผู้พิพากษาออกมาอ่านคำพิพากษาตอน 11.45 น. แล้วตนเพิ่งมารู้ตอนหลังว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นถูกกดดันหนักจากผู้ใหญ่เพื่อเอาตนติดคุกให้ได้ แต่ท่านไม่ยอม
หลังจากนั้นอัยการอุทธรณ์ไปที่ศาลอุทธรณ์ประมาณ ธ.ค. - ม.ค. ประมาณ 6 เดือน นัดอ่านคำพิพากาษาอ่านแล้ว เร็วผิดปกติ เหมือนเป็นการวางยาวางเครือข่ายเอาไว้ พอศาลอุทธรณ์พิพากษาออกมา ตนยอมรับคำพิพากษา เพราะเคารพหลักนิติรัฐ แต่ที่ยอมรับคำพิพากไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วย ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เป็นคำพิพากษาที่ดุลยพินิจใช้ไม่ได้ เพราะไม่พิจารณาเรื่องเจตนาเลยแม้แต่นิดเดียว ในขณะที่ศาลชั้นต้นพิจารณา ถ้าพิจารณาเจตนาจะต้องเอาคำสืบพยานของโจทก์และจำเลยมาพิจารณาเป็นข้อๆ แต่นี่ไม่พูดถึงเลย พูดแต่ว่าตนยอมรับว่าพูดจริงก็ต้องติดคุก และบอกว่าตนไม่ระมัดระวังในการพูด ซึ่งก็ต้องเข้าข่ายไม่เจตนา แสดงให้เห็นว่าคำพิพากษาขัดแย้งกันและกัน สามารถถามนักกฎหมายทุกคนได้ จะบอกตรงกันว่าการพิจารณากฎหมายอะไรต้องพิจารณาเจตนาด้วย แต่นี่ตัดคำว่าเจตนาทิ้ง แสดงว่าพลาดแล้ว และยิ่งเกี่ยวกับมาตรา 112 ซึ่งเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ เจตนาต้องพิเศษจริงๆ
ศาลอุทธรณ์อ้างอยู่อย่างเดียวว่าตนพูดจาไม่ระมัดระวัง คำพูดจาก ดา ตอร์ปิโด พูด 3 ครั้ง 3 วัน ครั้งละครึ่งชั่วโมง แต่ตนเอามาแค่ตอนเดียวสั้นๆ ถ้าอยากพูดให้สถาบันฯเสียหายต้องเอามาทั้งหมดสิ ศาลบอกอีกว่าถ้าคนไม่รู้อาจเข้าใจผิด ซึ่งอันนี้ในสำนวนไม่มีท่านพูดของท่านเอง
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ศาลตัดสินแล้วตนไม่ว่าอะไร แต่อยากบอกให้รู้มันมีกระบวนการ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยโฟนอินเข้ามาบอกว่าพวกเสื้อแดงที่ติดคุก ให้ใจเย็นๆ เขากำลังคุยกับผู้ใหญ่ในศาล แปลว่ามีการคุยจริง แล้วคนอย่างพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษมาคุยกับผู้พิพากษาได้อย่างไร ก็อาจจะคุยผ่านเครือข่าย อย่างเช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ นายอุดม มั่งมีดี นายวิชัย ทองแตง 4 คนนี้คร่ำหวอดในวงการศาล แสดงว่าใช้คนพวกนี้เพื่อไปติดต่อ กระบวนการนี้มีจริง สังเกตคดีตนทุกคดี ถ้าเอาผิดได้จะไม่มีรอลงอาญาทั้งๆที่เป็นคดีหมิ่นประมาท นานๆทีจะรอลงอาญาสักที เมื่อเช็คแบคกราวน์ผู้พิพากษาแล้ว บางคนรุ่นเดียวกันกับอดีตอัยการสูงสุดที่มีชื่อในเรื่องรับใช้ทักษิณ บางคนลูกแต่งาน นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ไปเป็นประธาน
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ต้องสู้ต่อในศาลฎีกา เมื่อตัดสินใจเดินบนเส้นทางนี้แล้ว ไม่มีคำว่ากลัว ตนไม่เคยกลัวติดคุก แล้วจะไม่หนีด้วย แต่จะเตือนผู้พิพากษาที่แกล้งตน รับงานเขามา ใครที่ทำกับตนแบบนี้ต้องมีอันเป็นไปทุกคน เพราะสิ่งที่ตนทำเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วกรณีที่ ดา ตอร์ปิโด ติดคุกใน 3 คดี แต่คดีที่ตนฟ้อง อัยการยังไม่ดำเนินการเลย ถึงบอกให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รู้ไว้ว่าสิ่งที่ตนให้ดำเนินการยังไปไม่ถึงไหนเลย แบบนี้จะทำให้คนที่ต้องการปกป้องสถาบันฯไม่กล้าออกมา ส่วนพวกที่หมิ่นฯก็จะเหิมเกริมมาก
ถึงจุดสุดท้ายแม้ตนต้องติดคุกด้วยคดีหมิ่นเบื้องสูงฯ ก็จะติด และจะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษด้วย และอยากให้การติดคุกของตน มีส่วนให้มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมในวงการผู้พิพากษา มันก็คุ้ม แล้วเชื่อว่าคนที่แกล้งตนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรอก
นายสนธิ กล่าวด้วยว่า เครือข่ายที่วางไว้ทุกอย่างเริ่มมาตั้งแต่ต้น เป็นกระบวนการที่ต้องการลดบทบาทพระมหากษัตริย์ ลิดรอนพระราชอำนาจ ถ้าไม่เช่นนั้นจะตั้งผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราชได้อย่างไร ผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราช ต้องเป็นสมเด็จพระสังฆราชตั้งเอง ไม่ใช่รัฐบาลมาทะลึ่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยากมีสังฆราชของตัวเอง เลยตั้งสมเด็จเกี่ยว เพราะวัดสระเกศเป็นวัดของตระกูลดามาพงศ์
แล้วหลวงตามหาบัวฯเคยบอกไว้ว่าไอ้พวกที่ทำอนันตริยกรรมกับสมเด็จพระสังฆราช จะต้องมีอันเป็นไปในชีวิต แล้วนายวิษณุ เครืองาม เป็นหนึ่งในคนที่จะต้องตกนรก วันนี้ดูภาพนายวิษณุได้ แตกต่างจากสมัยก่อนอย่างเห็นได้ชัด
พวกนิติราษฎร์ หมอเหวง ฯลฯ เป็นหมากที่วางไว้ทั้งสิ้นสำหรับล้มสถาบันกษัตริย์ ที่ตนเคยพูดตอนปี 2551 ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯไม่มีใครแล้วนอกจากพวกเรา คิดว่าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นคนของในหลวงหรือ คนที่บินไปหาทักษิณ คนที่ทักษิณไว้ใจที่สุด ขนาดน.ส.ยิ่งลักษณ์ทูลเกล้าฯร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยที่ยังมีมลทิน ศาลยังไม่ตัดสิน ถ้าพล.อ.ประยุทธ์คิดเป็น ต้องไปบอกนายกฯว่าอย่าเพิ่งยื่น เพราะทำให้พระเจ้าอยู่หัวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่นี่เงียบสนิท นี่คือทหารเสือพระราชินี
นายสนธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า พี่น้องพันธมิตรฯไม่ต้องห่วง ตนไม่ท้อ ติดคุกเรื่องเล็ก พวกนี้ชอบเอาโซ่มาล่ามตนแต่ตนไม่รู้สึกหรอก ฟ้องตนไม่รู้ตั้งกี่คดี ตนไม่มีวันถอดใจ มาอีกเท่าไหร่ก็ได้ อายุ 66 แล้ว จะอยู่อีกสักกี่ปี ขอให้สู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แม้ไม่มีคนยืนข้างตนก็ไม่ท้อ
"ไม่ต้องกังวล ผมไม่ท้อใจ ผมไม่รู้สึกอะไรๆ ถ้าผมจะต้องเป็นอะไรไป เพราะผมต้องสู้ให้กับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ให้เป็นไป อย่างน้อยที่สุดผมก็ตายอย่างนอนตาหลับ เกิดมามันคุ้มค่าที่เป็นคนไทย เป็นมนุษย์ แล้วเป็นคนเอเอสทีวี แล้วก็เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"
คำต่อคำ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ศุกร์ที่ 4 ต.ค. 2556
รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2556 เวลา 20.00-22.30 น. ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และ น.ส.กมลพร วรกุล ร่วมดำเนินรายการ
จินดารัตน์ - สวัสดีค่ะ
กมลพร - ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ค่ะ
จินดารัตน์ - วันนี้วันพิเศษที่เราจะต้องคุยกันก่อนที่จะไปถึงวันเราจะมารวมใจกัน คือวันพรุ่งนี้ วันมะรืน แล้วก็วันจันทร์ วันจันทร์ก็วันที่ 7 ตุลาฯ เดี๋ยวทักทายแขกรับเชิญคนพิเศษก่อน ยังไม่ใช่เจ้าของรายการนะ เพราะมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพ มันเป็นเรื่องที่แอนว่าคนที่ทำกับข้าวทุกวันได้ฟังแล้วหูจะผึ่ง แล้วที่สำคัญจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้ แล้วมาดูแลสุขภาพตัวเองได้ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ค่ะ
ปานเทพ - สวัสดีครับ
จินดารัตน์ - ก่อนที่จะคุยกับ อ.ปานเทพ วันนี้ อ.ปานเทพ มีเรื่องดีๆ ของสุขภาพมาฝาก แล้วต้องฟังกันดีๆ นะ คือที่บ้านพี่น่ะเปลี่ยนแล้ว น้องเปลี่ยนหรือยัง
กมลพร - ยังไม่ได้เปลี่ยนค่ะ กำลังจะเปลี่ยนหลังจากที่เราคุยกันเมื่อสักครู่ แต่ก่อนที่เราจะได้เปลี่ยนอะไร เปลี่ยนอย่างไร แล้วทำไมต้องเปลี่ยน ฝ่าวิกฤตความเชื่อของตัวเอง จริงๆ เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันยาวนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราก็มาคุยกันถึงเรื่องของงานของเราก่อน แน่นอนนะคะอย่างที่รู้กัน คือ 5-6 นี้ เสาร์-อาทิตย์ เราจะเจอกันในงานพันธมิตรฯ สัมพันธ์ปฏิรูปการเมือง ก็จะมีการปราศรัย มีดนตรี มีนักร้อง เวทีเราก็จะจัดที่บ้านเจ้าพระยา หลังจากบ้านเจ้าพระยานะคะ ในส่วนของบ้านพระอาทิตย์ก็จะมีจำหน่ายสินค้าด้วย จะมารวมกันในวันนั้น และวันที่มีงานพันธมิตรฯ สัมพันธ์เพื่อปฏิรูปการเมืองเราก็จะมีเสื้อ มีสีขาว บริจาค 200 บาทค่ะ เราจะได้เสื้อพันธมิตรฯ สัมพันธ์เพื่อปฏิรูปประเทศไทย ได้เสื้อสีขาว 1 ตัว บริจาค 200 และเสื้อจิ๋วอีก 1 ตัว
จินดารัตน์ - เสื้อจิ๋วเอาไปติดกระจกรถนะ
กมลพร - บางคนบริจาคเสื้อขาวเพื่อเสื้อจิ๋วนะพี่ เสื้อขาวไม่ได้อยากได้ อยากได้เสื้อจิ๋ว เอาเสื้อจิ๋วไปติดรถเพราะว่าไม่น่าเชื่อว่า 5 ปีแล้ว ผ่านไปเร็วมาก
จินดารัตน์ - ส่วนเสื้อตัวนี้ 7 ตุลาฯรำลึกนะคะ เราจะใส่ไปในงานวันที่ 7 ตุลาฯ กัน ไปร่วมทำบุญตักบาตรกันตอนเช้า 6 โมงครึ่งที่สวนมิสกวัน
กมลพร - คือทีแรกหลายคนสงสัย ไม่ใช่ลานพระรูปฯแล้วเหรอ ทาง บช.น.เขาโทรแจ้งผู้ประสานงานเรามา ทำหนังสือขอไปนะคะ แต่ บช.น.โทรศัพทฺ์มาตอนทุ่มหนึ่ง บอกว่า ใช้ไม่ได้ ไม่ให้ใช้สถานที่เพราะเป็นเขตพระราชฐาน บอกกันตอนทุ่มนึง เสร็จแล้วเราเลยต้องย้ายไปอยู่วังปารุสก์ ซึ่งก็ย้ายจากลานพระรูปมา 1 แยกเท่านั้นเอง แยกไฟแดงเนอะ
กมลพร - ซึ่งจริงๆ แล้ว เก๋รู้วัตถุประสงค์ของพี่ บช.น.นะคะ เพราะว่าวันที่ 7 ตุลาฯ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว พี่เขามีส่วนร่วมกับเราเยอะ
จินดารัตน์ - ไม่ได้มีส่วนร่วม มันทำเรา เก๋สุภาพมาก มันทำเรา
กมลพร - พี่เขามีส่วนร่วมกับเราเยอะ ตอนครบ 5 ปี เขาก็อยากให้เราอยู่ใกล้ๆ เขา เข้ามาอยู่ใกล้กันเลย
จินดารัตน์ - เขาจะเปิดรั้วให้เราเข้าไปขายของด้วยหรอ
กมลพร - น่าจะนะ ตรงวังปารุสก์มันติดกันเลยนะ
จินดารัตน์ - แต่อย่าเลยพี่น้องที่เสียชีวิตของเราคงไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นเราจัดกันที่แยกวังปารุสก์นะ 6 โมงครึ่งนะ แต่ทีแรกเราขอไปจัดที่สะพานมัฆวาน ก็ไม่ได้
กมลพร - มันแทงใจเหรอคะ มัน Sensitive ค่ะ พี่แอน อาจารย์ปานเทพ เพราะว่าพอเราจัดเสร็จเขาบอกว่า บ้านเมืองจะถึงจุดระเบิดไง เขาเลยไม่ให้อยู่ เขากลัวเราอยู่ยาว
จินดารัตน์ - กลัวหรอ กลัวเป็นด้วยหรอ บินไปมาเก๊ายังไม่กลัวเลย ช่างหัวมัน เราก็ไปทำบุญของเราที่แยกวังปารุสก์กัน 6 โมงครึ่งไปจนถึง
ปานเทพ - พิพิธภัณฑ์ตำรวจ ก็คือแค่ข้าม
จินดารัตน์ - จากลานพระรูปมา
ปานเทพ - จากลานพระรูปมาถึงแยกนะครับ หลายคนบอกว่า ทำไมไม่จัดลานพระรูป ไปอริยขัดขืนสิ ผมก็อยากเรียนให้ทราบว่า ไม่มีความจำเป็นถ้าจะอริยขัดขืน ทำการใดต้องคุ้มค่า เรายังคงภารกิจในการทำบุญได้ บริเวณใกล้เคียงที่มีการเสียชีวิตของน้องโบ คุณอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปมีความเสี่ยงใดๆ ขอเรียนเชิญทุกท่านมาวันที่ 5 วันพรุ่งนี้ วันที่ 6 เป็นงานพันธมิตรฯ สัมพันธ์เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย แล้วมาพบกัน หลังจากที่แกนนำยุติบทบาทไปหมดแล้ว ให้รู้ว่าพลังของพันธมิตรฯ ยังคงมีความสัมพันธ์ รักกันแค่ไหน วันที่ 7 ตุลาฯ ก็จะเป็นวันรำลึกของวีรชนของพวกเรา ก็เรียนเชิญทุกท่านเข้ามาร่วมงานกับพร้อมๆ กัน
จินดารัตน์ - งานวันเสาร์-อาทิตย์ เริ่มตั้งแต่ช่วงสายๆ 9 โมงครึ่ง ไปจนถึงสองทุ่ม ถ่ายทอดสดด้วย แล้วงานวันที่ 7 จะเริ่มที่พิธีทำบุญตักบาตร
กมลพร - ตอนเช้า หกโมงครึ่ง
จินดารัตน์ - หกโมงครึ่ง แล้วเราก็จะย้ายมาที่บ้านเจ้าพระยา ตอนสิบโมง
ปานเทพ - จนถึงกลางคืน
จินดารัตน์ - จนถึงสี่ทุ่ม
ปานเท - แล้วเสื้อตัวนี้ เป็นของพันธมิตรฯ รักคุณเท่าฟ้า ได้จัดทำกิจกรรมเสื้อยืดคอกลม ที่เขียนว่าสัญญาใจ แล้วเสื้อตัวนี้ก็เขียนข้างหลัง โดยใช้ข้อความว่า
กมลพร - เรารักในหลวง
ปานเทพ - โดยลายมือของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล นะครับ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง เป็นเสื้อโปโล คอปก ก็เรียนเชิญได้ในวันพรุ่งนี้
จินดารัตน์ - พรุ่งนี้กับมะรืน
ปานเทพ - พรุ่งนี้-มะรืนนี้ สามารถไปหาซื้อได้ ที่หน้าบ้านเจ้าพระยา
กมลพร - ได้ยินว่ามีแบบคอกลมด้วยที่เหลืออยู่ใช่ไหมคะ คอปกหมดแล้วใช่ไหมคะ ไม่รู้จะผลิตทันหรือเปล่านะ
จินดารัตน์ - เดี๋ยวก็มาติดตามกันพรุ่งนี้แล้วกันนะคะ
กมลพร - ค่ะ
จินดารัตน์ - ส่วนอันนี้แอนจะให้คุณผู้ชมดูนิดนึง นี่คือหนังสือร้อยคำสอน สมเด็จพระสังฆราช เนื่องในวโรกาสสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชันษาครบ 100 ปี หนังสือเล่มนี้มีจำหน่ายที่เอเอสทีวีช็อป เพื่อที่จะนำเงินรายได้ไปจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี อันนี้นะคะ รายได้ทั้งหมดเอาไปซื้ออุปกรณ์การแพทย์ ก็มีจำหน่ายที่เอเอสทีวีช็อปด้วย
กมลพร - เพราะคนถามถึงเยอะพี่แอน เนื่องจากว่าพอเข้าสู่ช่วงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันครบรอบ 100 ชันษาของสมเด็จพระสังฆราช รายการของพวกเราเอเอสทีวีก็จะอ่านกันเยอะ คนก็เลยอยากได้เก็บไว้เป็นเล่ม
จินดารัตน์ - อันนี้รวบรวมไว้หมดเลยนะคะ อีกเรื่องหนึ่งก่อนที่จะไปถึงเรื่องสุขภาพของอาจารยย์ปานเทพนี้ก็เป็นสุขภาพหูของพี่น้องพันธมิตรฯ
กมลพร - เรา 2 คนยืนยันสนุกมาก
จินดารัตน์ - เราไปที่คอนเสิร์ตใจประสานใจครั้งที่ 1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาบ่ายสองถึงห้าโมงเย็น บัตรขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่งานยังมาไม่ถึงเต็มสัปดาห์
กมลพร - มีคนผิดหวังเยอะมาก
ปานเทพ - หมดล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เดือนครึ่ง
จินดารัตน์ - เขาก็เลยจัดครั้้งที่ 2 ขึ้นเพื่อที่จะเอาใจพ่อแม่พี่น้องหน่อยนะ ไปฟังเพลงด้วยกัน ครั้งนี้จะมีศิลปินเพิ่มขึ้นมาหลายท่านด้วยกัน โดยเฉพาะเดี๋ยวต้องให้ อ.ปานเทพ เล่า
ปานเทพ - คือการจัดงานครั้งนี้เป็นคอนเสิร์ตใจประสานใจ โดยวงดุริยางค์สากลของกรมศิลปากรนะครับ ซึ่งก็คือ The Sympathy Orchestra เป็นการจัดคอนเสิร์ตด้วยโดยวงดุริยางค์ขนาดใหญ่กว่า 60 ชีวิต 60 ชิ้น และมีนักร้องคุณภาพชั้นเยี่ยมจากกรมศิลปากร และมีแขกรับเชิญที่เป็นนักร้องรับเชิญ เช่น คุณนัดดา วิยกาญจน์ จะมาวันที่ 24 พฤศจิกายน วันอาทิตย์ ตั้งแต่บ่าย 2 จนถึง 5 โมงเย็น ณ สถานที่ที่เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ มีคุณค่า คือ โรงละครแห่งชาติ และมีคุณชินกร ไกรลาศ มาร้องยอยศ พระลอ และบรรเลงโดยวงดุริยางค์สากล หาฟัง หาชมยากมาก แล้วมีคุณสเกน สุทธิวงศ์ ซึ่งก็เป็นคนที่ร้องเพลงประจำบนเวทีพันธมิตรฯ และผมด้วย ครั้งนี้จะไปร้อง 4 เพลง คราวที่แล้ว 2 สัปดาห์ก็บัตรหมดแล้ว ฉะนั้นใครที่พลาดโอกาสขอความกรุณา เริ่มจองบัตรตั้งแต่ตอนนี้เพราะว่ามีจำกัดแค่ 900 ที่นั่ง
จินดารัตน์ - แอนบอกเบอร์โทรนะคะ 089 893 2089 หรือ 02 526 7926 ราคาบัตรมีตั้งแต่ 300 จนถึง 2,000 บาท รีบโทรจอง ดูชื่อเพลงแล้วต้องไปนะเก๋
กมลพร - คือรุ่นเราๆต้องไป
จินดารัตน์ - มนต์รักดอกคำใต้ เป็นไปไม่ได้ ศรอนงค์ จังหวะชีวิต โลกคือละคร ขอให้เหมือนเดิม น้ำตาลใกล้มด พรานไพร ใกล้รุ่ง เกาะในฝัน ยามเย็น แสงเทียน ซึ่งเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์นะคะ แล้วก็ค่าน้ำนม ลาวดวงเดือน พรานล่อเนื้อ หยาดเพชร ดอกแก้ว กุหลาบในมือเธอ ภูกระดึง โอ๊ยอีกเยอะเลย เยอะมากนะคะ เพลงร่วมสมัยเหล่านี้ไปฟังกันได้ วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน บ่าย 2 โมงถึง 5 โมงเย็น อย่าลืมโทรศัพท์ไปจองบัตรด่วนเลย
ปานเทพ - คราวที่แล้วใครพลาดก็ครั้้งนี้เรียนให้ทราบว่า อาจจะใช้เวลาไม่นานในการขายบัตร ถ้าชะล่าใจไปจะไม่ได้บัตรนะครับ
จินดารัตน์ - เสียงกรี๊ดสนั่นลั่นฮอลล์
กมลพร - ทั้งอาจารย์ปานเทพ และพ่อจเด็จ ตอนนี้หนูเริ่มรู้จักพ่อจเด็จแล้วนะ เริ่มเป็นเพลงคลับใกล้เคียงกับแฟนคลับกรมศิลป์แล้ว
จินดารัตน์ - มีดารา มีนักร้องของกรมศิลป์มาร้อง
ปานเทพ - รายได้ก็เป็นการช่วยมูลนิธิ
จินดารัตน์ - มูลนิธิดุริยางค์สากลของกรมศิลปากร
ปานเทพ - ช่วยกันรักษาอนุรักษ์วัฒนธรรมนะครับ
จินดารัตน์ - ใช่ แล้วไปที่โรงละครแห่งชาติจะมีการแสดง ไปดูได้มีการแสดงอะไรบ้าง ควรพาลูกหลานไปดูบ้างเนอะ มาถึงเรื่องสุขภาพ
ปานเทพ - ที่ผมมาเดือนละ 1 ครั้ง ก็ต้องมีเรื่องที่ผมคิดว่า เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เมื่อปีที่แล้ว ผมพูดเรื่องน้ำด่างเป็นเรื่องที่คนยังไม่รู้จักน้ำด่างเลย ในช่วงเวลาใกล้เคียงต่อเนื่อง ตอนนี้มันครบ 1 ปีแล้ว ผมคิดว่าจะมาเพิ่มไปอีก 1 ขั้นตอน ในเรื่องที่มีความสำคัญมากๆ แต่ก่อนจะไปเล่าเรื่องที่มีความสำคัญมากๆ ขออนุญาตรายงานผลเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องนึงก่อน คือว่าเรารู้ว่าเครื่องทำน้ำด่างมีความสามารถในการรักษาสมดุลความเป็นกรดด่างในร่างกาย มักจะมีหมอบางคนโต้แย้งผมนะครับ ผ่านหนังสือพิมพ์บ้าง บอกว่าคนเราร่างกายมีบัฟเฟอร์เป็นกรดเป็นด่าง ผมเข้าใจทุกอย่าง แต่เราจะรู้ว่ากรดมากไป ด่างเกินไปต้องไม่ใช่เรา หมอก็จะเตือนว่า เป็นด่างมากไปไม่ดี เป็นด่างหรือไม่ให้วัดเอาว่า ปัสสาวะเราเป็นกรดหรือด่างเท่าไหร่ มาตรฐานเรา 6.5-8 ถ้าพฤติกรรมเรากินไม่ถูกต้องเป็นกรดมาก เราจะไม่แปลกที่เรากินน้ำด่าง เพื่อรักษาสมดุล ทุกอย่างก็วัดได้ ต้องไม่ใช่แค่ความเห็นต้องพิสูจน์ได้
เรื่องที่สองก็คือว่า มีคนเขาใช้น้ำด่างไปล้างพิษตับเยอะ ในการสวนล้างลำไส้ เพื่อจะทำให้การขับพิษได้มาก ซึ่งก็ได้ผลเยอะ โดยเฉพาะการแยกชั้นน้ำมันกับน้ำด่างมันเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นี่คนก็ใช้กันแล้ว ด้านที่ 2 ด้านที่ 3 ที่เราเพิ่งรายงานผลหลังจากที่เราไปส่งห้องแล็บ ก็คือส่งไปที่บริษัทห้องปฏิบัติการประเทศไทย เราก็มีความรู้มาว่า สารเมโทมิล ซึ่งตกค้างในผักคะน้า เราก็เอาไปล้าง ปรากฏว่าวิธีที่ดีที่สุด ดีกว่าการล้างด้วยเครื่องอัลตราโซนิค ดีกว่าการล้างด้วยโอโซน ดีกว่าการล้างด้วยน้ำประปา ก็คือการแช่ด้วยน้ำด่าง 2 รอบ เบอร์ 3 นะครับ แช่ 1 ครั้ง ยก เทน้ำออก แช่อีก 1 ครั้ง อีก 15 นาที รวมแล้ว 30 นาที สารพิษตกค้างหายไป 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ดีที่สุดในทุกระบบ
มาวันนี้ก็มีท่านผู้ชมสนใจเรื่องอาหารทะเล ซึ่งบางคนก็ยังงดเนื้อสัตว์ไม่ได้ ก็บอกว่าดีกว่าไปกินสัตว์ใหญ่ ก็กินอาหารทะเล กินปลา กินปลาหมึก อย่างนี้เป็นต้น แล้วเราก็ไม่เคยมีข้อมูลมาก่อนเลยว่า มีสัตว์ทะเลจำนวนมาก พอจับเสร็จ มีการราดฟอร์มาลีน คือน้ำยาอาบศพ คุณเก๋เคยได้ยิน คุณแอนเคยได้ยิน แล้วเราก็ไม่มีทางจะรู้ตัวว่าเรากินสารพิษเป็นสารอาบศพนี้ไปหรือเปล่า ในที่สุดเราก็เลยไปทำการตรวจสอบ เอาปลาหมึกตลาดแห่งหนึ่ง ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อนะครับ แล้วเราก็ไปทดสอบ ปรากฏว่ามีฟอร์มาลีนจริง เมื่อมีฟอร์มาลีน หรือน้ำยาอาบศพ เราก็มาทดลองดูว่า ถ้าเราเอามาล้างด้วยน้ำด่างเบอร์ 3 ด้วยวิธีการเดียวกับล้างผัก ฟอร์มาลีนจะหลุดมั้ย ผมขออนุญาตรายงานผลการทดสอบ เป็นผลแล็บนะครับ อันนี้เป็นรายงาน ปลาหมึกจากตลาด เป็นการรายงานเมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมานี้เอง เมื่อไม่นานมานี้ ก็ปรากฏว่า เราสนใจว่ามีผลการทดสอบ มีฟอร์มาลีนอยู่เท่าไร ปรากฏว่ามีอยู่ทั้งสิ้น 11,466.39 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ถ้าเป็นอย่างนี้ จะทำยังไงดี ก็ปรากฏว่า เราก็เอาปลาหมึกนี้ไปลองแช่น้ำด่าง 15 นาที ยก เปลี่ยนน้ำ แล้วแช่อีก 15 นาที ปรากฏว่าประเภทตัวอย่าง คือปลาหมึก ซึ่งล้างด้วยน้ำด่าง 15 นาที ผลการทดสอบคือ ไม่พบฟอร์มาลีนเหลืออยู่เลย คือไม่เจอเลย อันนี้ก็เป็นรายงานให้ทราบว่า นอกจากคุ้มค่าในการดื่มเพื่อรักษาสมดุลกรดด่างแล้ว ยังล้างพิษในผัก ล้างฟอร์มาลีนจากอาหารสัตว์ทะเลด้วย
จินดารัตน์ - จะทำให้แม่บ้านโล่งใจขึ้น
ปานเทพ - คุ้มค่ามากครับ มันไม่ใช่แค่ดื่มอีกต่อไป แล้วเราพูดถึงเรื่องที่ดูแลสุขภาพของคนในครอบครัว เพื่อลดสารพิษ ในภาวะที่คนยังไม่ค่อยรับผิดชอบในการราดสารพิษให้กับผู้บริโภคกิน นี่ก็จะเป็นหนทางหนึ่ง ท่านผู้ชมก็สามารถสั่งจองได้จนถึงวันที่ 18 ตุลาคม จะเอาเข้ามาเป็นล็อตถัดไป ตอนนี้ไม่มีสต๊อกแล้ว เวลาเราเตือนว่ามีสต๊อก ให้รีบมา คือมีอยู่แค่นั้น เพราะเราไม่ได้มีเงินเยอะที่จะเก็บสต๊อกได้ ท่านผู้ชมที่พอรู้ข้อมูลนี้ ก็ขอให้รีบ เพราะว่าในจำนวนจำกัดเรามีถึงวันที่ 18 ตุลาคม ชิปนี้พอส่งของมา ถ้าท่านผู้ชมมาช้า ก็ต้องรออีกยาว นี่อีกไม่กี่วันเอง วันนี้ก็วันที่ 4 เข้าไปแล้ว อีกไม่กี่วัน เพราะฉะนั้นใครสนใจก็เชิญได้ที่ 02-6335353 หรือไปที่เอเอสทีวีช็อป นี่ก็เป็นเรื่องที่สองที่ผมอยากจะรายงาน
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการยกระดับในการเปลี่ยนความคิดท่านผู้ชม เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย หลังจากนี้ผมอาจจะถูกโต้แย้งอีกเยอะ และผมก็รู้ว่าอาจจะต้องโดน เพราะมีคนพยายามทำมาสิบกว่าปีในเรื่องของการเอาข้อเท็จจริงมานำเสนอกับท่านผู้ชม แต่ไม่สามารถฝ่ากระแสการโฆษณาได้ เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมใคร่ครวญแล้ว แล้วก็คุยกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า เราจำเป็นต้องเปลี่ยนชีวิตของคน ผู้บริโภค ที่ชมเอเอสทีวี และเปลี่ยนความคิดใหม่ เกี่ยวข้องกับการใช้น้ำมันพืช
สิ่งที่ท่านผู้ชมกำลังอยู่ตอนนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผมและคุณสนธิ และพวกเราทั้งหมด ตั้งใจอย่างมากว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อขายของสิ่งนี้ เดี๋ยวเราจะนำเสนอทางวิชาการว่า ทำไมท่านผู้ชมต้องเปลี่ยน มันคือน้ำมันมะพร้าว ที่เราใช้ชื่อตราว่า Man Nature โลโก้นี้คิดค้นโดยคุณสายัณห์ เล็กอุทัย ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วนะครับ หลักคิดคือ มนุษย์อยู่กับธรรมชาติ ถ้าจะอธิบายสโลแกนที่ผมคิดไว้ก็คือ สุขกายสบายจิต ชีวิตธรรมชาติ สิ่งที่เรานำเสนอตอนนี้ก็คือน้ำมันมะพร้าว ทั้งสกัดเย็น ทั้งสำหรับปรุงอาหาร คือ cooking oil ซึ่งหายากในตลาดมากนะครับ น้ำมันชนิดนี้บริสุทธิ์มาก แค่ไหนเดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง ผมจะข้ามมันไปก่อน เพื่อให้ท่านผู้ชมเปลี่ยนวิธีคิด ท่านผู้ชมอาจไม่ต้องซื้อแบรนด์นี้ก็ได้ ท่านผู้ชมคิดว่ามีแบรนด์ที่ถูกใจ แต่ผมอยากจะชวนท่านผู้ชมเปลี่ยนความคิด ท่านผู้ชมลองตามผมมานะครับ ว่าท่านผู้ชม คุณแอน คุณเก๋ ท่านผู้ชมเปลี่ยนความคิดเรื่องอะไร
คือผมเริ่มสำรวจหลังจากทำหลักสูตรล้างพิษตับมาสักระยะหนึ่ง ผมมาสนใจเรื่องน้ำมัน เพราะว่าผมเห็นไขมันพอกตับหลุดออกมาจากการล้างพิษตับ ผมเห็นการใช้น้ำมันมะกอก ผมก็เลยสนใจว่า ทำไมบางคนผื่นแพ้ ภูมิแพ้ขึ้น ก็เลยมาสนใจเรื่องน้ำมัน โดยเฉพาะคนเป็นภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ และผมก็มาค้นพบว่า คนเป็นไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำยุคนี้เยอะมาก ตัวเย็น อ้วนง่าย คอเลสเตอรอลในเลือดสูง มาจากภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ คือเผาผลาญแย่ลง แล้วผมก็มาค้นว่า น้ำมันมะพร้าวมันเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้สูงขึ้น ผมก็เลยมาสนใจเรื่องนี้มาก และก็เริ่มมาสนใจอย่างเป็นระบบว่า ทำไมคนถึงป่วยกันมากในเวลาตอนนี้ ผมอยากชวนท่านผู้ชม คุณเก๋ คุณแอน มาดูแผนภูมิชิ้นนี้ดูนะครับ แผนภูมิชิ้นนี้หยิบเฉพาะ 10 เหตุผล ที่คนตายในประเทศไทย ว่าเป็นเหตุผลอะไรบ้าง เมื่อปี พ.ศ.2505 กับปี พ.ศ.2554 ด้านซ้ายมือเป็นปี พ.ศ.2505 ด้านขวามือคือปี 2554 คือประมาณ 50 ปีที่แล้วนะครับโดยประมาณ ทางซ้ายมือจะเห็นว่าคนเสียชีวิตเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เฉพาะ 10 หัวข้อที่คนตายมากที่สุดตัดทิ้งก่อนนะครับ เราจะค้นพบว่า ทารกตาย เพราะว่าระบบการคลอดเราไม่ค่อยถนัด การแพทย์ไม่ค่อยพัฒนามาก กะเพาะลำไส้อักเสบก็เพราะติดเชื้อ วัณโรค ระบบลมหายใจก็ติดเชื้อ ปอดอักเสบก็ติดเชื้อ ไข้จับสั่นก็ติดเชื้อ มีหัวใจอยู่นิดหน่อยประมาณ 8% และอุบัติเหตุ การตั้งครรภ์ คลอด บิด รากสาด กะเพาะอาหาร เหน็บชา ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ว่าด้วยเรื่องของการติดเชื้อทั้งสิ้น นี่เป็นเหตุผลที่คนตายเมื่อ 50 ปีที่แล้วนะครับ
มาดูในปี 2554 ปรากฏว่า โรคที่คนตายในยุคหลัง มันไม่เหมือนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว กลายเป็นว่าเป็นโรคมะเร็งอันดับที่ 1 ถึงประมาณ 23 % แล้วทิ้งขาดเลยนะครับ และอันดับ 2 คือระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจประมาณ 70 % ที่เหลือติดเชื้อปรสิต อุบัติเหตุ ทางเดินหายใจ ระบบสืบพันธุ์ หรือปัสสาวะ ต่อมไร้ท่อ ย่อยอาหาร ระบบประสาท เลือดและระบบภูมิคุ้มกันเป็นต้น ทำไมคน 50 ปีที่แล้วไม่รู้จักโรคเลือดมีปัญหา หัวใจ เส้นโลหิตในสมองตีบ ทำไมคน 50 ปีที่แล้วไม่เป็นอะไร ทำไมคน 50 ปีที่แล้วไม่รู้จักโรคมะเร็ง ทำไมเราถึงเป็นโรคมะเร็งกันในยุคนี้ ผมจะชวนท่านผู้ชมหาคำตอบในเรื่องนี้ และผมก็มาค้นพบว่าส่วนหนึ่งที่สำคัญมากคือ น้ำมันพืชที่เรากิน เรากำลังถูกหลอกมา 50 ปี เป็นเรื่องที่ใหญ่มากนะครับ
ผมจะเริ่มต้นจากว่า 50 ปีที่แล้ว หรือ 50 กว่าปีที่แล้ว เราไม่ได้ใช้น้ำมันแบบนี้หรอกครับ เราย้อนกลับไปคนสมัยโบราณ เขาใช้น้ำมันมะพร้าวในการปรุงอาหาร ขนมไทยจำนวนมาก ใช้น้ำมันมะพร้าว ถูกมั้ยครับ เราใช้กะทิทำขนม กะทิทำอาหาร และใช้น้ำมันหมู คนโบราณ ไม่มีใครใช้น้ำมันถั่วเหลือง ทำไมคนยุคนั้นไม่มีใครเป็นโรคหัวใจ หรือว่าโรคมะเร็ง ผมก็มาดูเส้นทาง การเดินทางของมะพร้าวในสมัยโบราณ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ผมก็มาค้นพบว่า แหล่งผลิตสำคัญอยู่แถวๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกหมู่เกาะทั้งหลาย รวมถึงประเทศไทยด้วยนะครับ เราเริ่มต้นจากชาวหมู่เกาะนำมะพร้าวแปซิฟิกไปที่มาดากัสการ์ และอีกส่วนหนึ่งคือแถวๆ อินเดียว ก็ส่งไปที่ชาวอาหรับ และชาวเปอร์เซียน นำจากอินเดียมาที่แอฟริกาฝั่งตะวันออก และชาวโปรตุเกสก็เอามา ข้ามฝั่งจากฝั่งอินเดีย แล้วก็มาที่แอฟริกาฝั่งตะวันตก ชาวฝั่งแถว ๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวสเปน ก็บุกเบิกมะพร้าวไปยังเม็กซิโก บางส่วนก็ไปยังที่ปานามา พูดง่ายๆ ก็คืออเมริกาใต้ และชาวยุโรปก็บุกเบิกจากอินเดีย ไปยังแคริบเบียน บราซิล แล้วก็เข้าอเมริกา ในที่สุดคนทั่วโลกก็รู้จักน้ำมันมะพร้าวในการปรุงอาหาร ก่อนสงครามโลก
ทีนี้ ผมถามว่า เขาใช้อะไรกัน ผมมาค้นพบเรื่องที่น่าสนใจและน่าอัศจรรย์มาก คือ ทุกชาติที่ใช้น้ำมันมะพร้าว ใช้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ระบบสื่อสารแย่มาก ไม่มีอินเทอร์เน็ตเหมือนกับยุคนี้ แต่ทำไมทุกคนใช้ตรงกัน เช่น ชาวอินเดีย ใช้น้ำมันมะพร้าวมาเป็นเวลา 4-5 พันปีแล้ว เป็นยาอายุรเวช เป็นส่วนสำคัญในการแพทย์ทางเลือก และรักษาควบคู่กับยาแผนโบราณของอินเดียมา 5 พันปีแล้ว หรือแม้กระทั่งชาวปาปัวนิวกินี ก็ใช้มาหลายทศวรรษในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว บำรุงรักษาเส้นผม ผสมอาหาร รักษาอาการเจ็บ บาดเจ็บของมีคม และบาดแผลฟกช้ำ แม้กระทั่งชาวปานามาที่มีการส่งออกไปนั้น ก็มีการใช้น้ำมันมะพร้าว 1 แก้ว ดื่มทุกวัน เพื่อป้องกันจากความเจ็บป่วย และทำให้หายอาการเจ็บป่วย ฟื้นอย่างรวดเร็ซ ชาวจาไมกา ก็ฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ ก็ใช้มะพร้าวเป็นยาบำรุงรักษาสุขภาพ ช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง และใช้เป็นยารักษาโรคชนิดแรกๆ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม มาจนถึงแม้กระทั่งไนจีเรีย แถวแอฟริกาใต้ ไนจีเรีย โซมาเลีย เอธิโอเปีย นิยมใช้น้ำมันมะพร้าวอย่างมากเพื่อการใช้บรรเทาและรักษาโรค อาการเจ็บป่วยเกือบทุกชนิดเหมือนกัน ในแถบเดียวกัน แอฟริกากลางและใต้ ก็ใช้กับแพทย์แผนโบราณ ใช้น้ำมันมะพร้าวในการแก้ไขอาการปวดหลัง ใช้บำรุงสุขภาพ รวมไปถึงการปรุงอาหารและยา พอเราข้ามฟากมาอีกฝั่งหนึ่ง คือหมู่เกาะซามัวร์ ใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย บาดเจ็บ และแม่จะนวดให้ลูกเพื่อป้องกันโรค เด็กที่หมู่เกาะแถวนี้ กระดูกแข็งแรง ผิวสวยงาม ไม่มีอาการติดเชื้อ นวดเหงือก รักษาแผลในปาก แล้วพอมาดูที่ฝั่งไทยและศรีลังกา เราใช้กะทิเป็นหลัก ใช้กะทิปรุงอาหาร ใช้เป็นเครื่องสำอาง ประทินผิว และยารักษาโรคในแพทย์แผนไทยหลายชนิด
แล้วก็รวมไปถึงชาวฟิลิปปินส์ ก็ใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงผมให้ดำเงา คนฟิลิปปินส์แม้ว่าจะแก่ ผมก็ดำ เขาใช้น้ำมันมะพร้าว และใช้รักษาแผลไฟไหม้ แผลจากของมีคม แผลฟกช้ำ กระดูกหัก ใช้นวดในจุดที่เจ็บปวดตามข้อและตามกล้ามเนื้อ มาจนถึงชาวอินโดนีเซีย ในแถบข้างล่างเรา ก็ปรากฏว่าใช้น้ำมันมะพร้าวในการทาผิวทั่วร่าง และทำให้เส้นผมมีความแข็งแรง และใช้ในการปรุงอาหาร แม้แต่คนยุโรปและอเมริกา ในก่อนสงครามโลก ใช้น้ำมันมะพร้าวสำหรับคนป่วยที่มีปัญหาระบบย่อยอาหาร หรือการดูดซึมอาหารไม่ดี และเด็กที่ยังย่อยไขมันชนิดอื่นไม่ได้ เขาใช้น้ำมันมะพร้าวแทน และเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ผมถามว่าทำไมระบบในยุคนั้น การสื่อสารไม่ดี ทุกคนใช้ตรงกันหมด เดี๋ยวนี้เราเลิกใช้น้ำมันมะพร้าวหมดแล้ว มันต้องมีอะไรผิดปกติ ทั้งที่คนทั่วโลกระบบการสื่อสารแย่ แต่ใช้เหมือนกันหมด ใช้เป็นยาปรุงอาหาร เห็นผลดีรักษาโรคหัวใจ ทาแผล เดี๋ยวนี้คนเลิกใช้น้ำมันมะพร้าวกันหมด มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นเพราะอย่างนี้ครับ พอเราดูแหล่งผลิตน้ำมันมะพร้าว มันขึ้นแถว อุณหภูมิที่ร้อนชื้นก็คือ แถวเส้นศูนย์สูตรมีไทย มีอินเดีย ฟิลิปปินส์ ข้างล่างอินโดนีเซียไปถึงอเมริกาใต้ทั้งแถบ เป็นแถบที่ทรงอิทธิพลในการผลิตน้ำมันมะพร้าว ที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก แต่ปรากฏว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์สงคราม มหาสงครามเอเชียบูรพา ก็ปรากฏว่า ญี่ปุ่นบอกว่าตัวเองเป็นลูกพระอาทิตย์ ต้องการปลดปล่อยชาวเอเชียจากผู้ล่าอาณานิคมชาวตะวันตก ก็สามารถได้พวกแนวร่วม รวมถึงแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็คือ ไทย ฟิลิปปินส์ แถวนี้ผลิตน้ำมันมะพร้าวเป็นจำนวนมาก
เสร็จเลยครับ เมื่อเกิดสงครามแบบนี้ก็ลามไปถึงสงครามโลก น้ำมันมะพร้าวก็ไม่ได้ไปยังอเมริกาอีก ขาดแคลนอีก แล้วเมื่อขาดแคลนก็จบสงครามโลกด้วยการระเบิดนิวเคลียร์ทิ้ง และทำอย่างไรครับ เวลาขาดน้ำมันมะพร้าวคนใช้แล้วก็ติด ก็เริ่มมีการประดิษฐ์น้ำมันชนิดใหม่ น้ำมันจากชนิดนี้ที่เรียกว่าเป็นน้ำมันอิ่มตัว เขาก็เริ่มประดิษฐ์ใช้น้ำมันจากถั่วเหลือง มาเป็นไขมันชนิดใหม่เรียกว่า ไขมันไม่อิ่มตัว แล้วก็บอกว่า ไขมันชนิดนี้ดีเยี่ยม หลังสงครามโลกจบ น้ำมันมะพร้าวเริ่มกลับส่งออกไปที่อเมริกา แต่คราวนี้สมาคมถั่วเหลืองที่อเมริกาก็เริ่มรวมตัวกันสิครับ เพราะเริ่มมีคู่แข่ง จากเดิมฉันครองตลาดอยู่ดีๆ ในช่วงสงครามโลก จะทำอย่างไรได้ ก็ต้องเริ่มโจมตีว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ดี ทำให้คอลเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้เป็นโรคหัวใจ ทำให้เป็นอัมพาต การต่อสู้ครั้งนี้รบกันนานครับ ดูภาพนี้ครับ ก็ปรากฏว่าที่อเมริกามีการออกงานวิจัย 2 ชิ้น แต่เป็นงานที่ประดิษฐ์ตั้งใจโจมตีน้ำมันมะพร้าว คือปี 2500 และปี 2507 ในงานวิจัย 2 ชิ้นนี้คือของ อาเรน และเดวิด คริกเชสกี้ ออกรายงานว่าน้ำมันมะพร้าวทำให้คอเลสเตอรอลสูงในเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว และทำให้กระต่ายในการทดลองเป็นโรคหัวใจ และทำให้เกิดเป็นโรคอ้วน เป็นโรคอัมพาต ทั้งๆ ที่น้ำมันมะพร้าวเหล่านี้เป็นน้ำมันมะพร้าวที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความจงใจ ด้วยการเอานิเกิลไปทำปฏิกิริยา เติมไฮโดรเจนเข้าไปด้วยความร้อน แล้วก็ฟอกมัน แล้วก็ถอนนิกเกิล พูดง่ายๆ ก็คือไม่ใช่น้ำมันมะพร้าวตามธรรมชาติ แต่เอาผลการวิจัยชิ้นนี้ไปประดิษฐ์ให้น้ำมันมะพร้าวเป็นผู้ร้าย แล้วก็บอกว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง หลอดเลือดแข็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต
คุณแอนครับ มันเป็นสงครามธุรกิจ สมาคมถั่วเหลืองตัดสินใจเอางานวิจัยเหล่านี้เริ่มมาโจมตีด้วยการโฆษณา ที่อเมริกา ผลปรากฏว่า ในช่วงเวลาการโฆษณาครั้งนั้น หลังสงครามโลกนะครับ ผมจะชี้ให้ดู นี่คือแผนภูมิที่เกิดขึ้น นี่คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 - สิ้นสุดสงครามโลก น้ำมันมะพร้าวเริ่มกลับไป น้ำมันถั่วเหลืองก็เริ่มมีการออกงานวิจัยช่วงปี พ.ศ.2505 ก็เริ่มบูมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วงนี้ เอางานวิจัยมาตีแผ่ ก้าวกระโดดของน้ำมันถั่วเหลือง จนกระทั่งน้ำมันมะพร้าวไม่มีใครใช้อีกเลย เพราะกลัว น้ำมันถั่วเหลืองแซงน้ำมันทุกชนิด ไม่มีใครกล้าใช้น้ำมันชนิดอื่น ในที่สุดน้ำมันถั่วเหลืองก็ครองอเมริกาเป็นน้ำมันอันดับ 1 ที่มีการใช้มากที่สุดในอเมริกา เพราะทุกคนกลัวคอเลสเตอรอล กลัวโรคหัวใจ กลัวโรคอัมพาต กลัวโรคเบาหวาน กลัวโรคอื่นๆ อีกมากมาย แต่เชื่อมั้ยครับ หลังจากนั้นปรากฏว่า เมื่อชัยชนะของน้ำมันถั่วเหลืองเกิดขึ้นที่อเมริกา ก็เกิดขึ้นที่เมืองไทยด้วย เพราะเรารับข้อมูลและวัฒนธรรมแบบเดียวกัน ยุคหนึ่ง ในช่วงปี พ.ศ.2523 ถ้าผมจำไม่ผิด หรือช่วง 2530 กว่า มีการโฆษณาของน้ำมันถั่วเหลืองยี่ห้องหนึ่งบอกว่า ไม่เป็นไข และน้ำมันอิ่มตัว เป็นไข ทุกคนก็กลัวว่า ถ้ามันเป็นไขเดี๋ยวมันจะต้องเป็นคอเลสเตอรอลในเลือดแน่ๆ เลย โดยไม่มีใครเอะใจเลยว่า น้ำมันมะพร้าวมันเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ร่างกายมนุษย์อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไม่มีทางเป็นไขได้เลย แต่เราก็เลิกใช้น้ำมันมะพร้าวครับ เชื่อไหมครับว่าหลังจากนั้นมะพร้าวราคาตกลง แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โคนต้นมะพร้าวทิ้งปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างอื่นแทน โดยเฉพาะต้นปาล์ม เพราะเรื่องนี้แหละครับโดนโจมตีอย่างหนัก ในที่สุดสิ่งที่ได้กลับมาของชัยชนะของชาวอเมริกันกลับหลายเป็นว่าอย่างนี้ครับ เมื่อปี พ.ศ.2443 ที่ใช้แต่น้ำมันมะพร้าวอย่างเดียวคนอเมริกัน คือปี พ.ศ.2443 คนอเมริกันป่วยเป็นโรคมะเร็งแค่ 37 ใน 10 อันดับแรกนะครับ โรคหัวใจ 8 เปอร์เซ็นต์ และเป็นโรคท้องร่วง ปอดบวม วัณโรค เหมือนคนไทยเลยครับ โรคสมอง โรคตับ แต่มะเร็งกับโรคหัวใจมีน้อย หลังจากนั้นปี พ.ศ.2552 มะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 และโรคหัวใจอันดับ 1 มะเร็งอันดับ 2 คือ 23-24 เปอร์เซ็นต์ของ 10 อันดับแรกของการเสียชีวิตของคนอเมริกัน ไหนเขาบอกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นน้ำมันถั่วเหลืองแล้วจะไม่มีคนเป็นโรคหัวใจ ไม่มีคนเป็นโรคหลอดเลือด ทำไมมีคนเป็นโรคหัวใจตายเป็นเบือเลย เมื่อเทียบกับก่อนที่มีการใช้น้ำมันถั่วเหลือง เราถูกหลอกหรือเปล่าครับ ปรากฏว่าหลังจากนั้นก็มีการพบว่าช่วงที่น้ำมันถั่วเหลืองบูมมากๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะขาดลอยของน้ำมันถั่วเหลืองแล้ว ณ ปีนั้นใน 10 คน จะมีคนมีน้ำหนักปกติวัดตามส่วนสูงประมาณสัก 6 คน คนปกติน้ำหนักพอดีตัว มีคนน้ำหนักเกินสัก 3 คน มีคนเป็นถึงขั้นโรคอ้วน 1 คน หลังจากนั้นปรากฏว่าผ่านไปประมาณสัก 20 ปี ปรากฏว่าคนเป็นโรคอ้วนมีอยู่ 3 คนจาก 10 คน คนปกติเหลือ 3 คน น้ำหนักเกินเป็น 4 คน จากเดิมคนส่วนใหญ่ถึง 6 คน หรือ 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนน้ำหนักปกติกลายเป็นคนส่วนน้อยมีแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลือไม่น้ำหนักเกินก็กลายเป็นโรคอ้วน ไหนว่าเปลี่ยนจากน้ำมันอิ่มตัวเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัวแล้ว อย่างน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด โรคอ้วนจะหายไป มันกลายเป็นว่าคนอเมริกันกลายเป็น
กมลพร - โรคอ้วนเยอะ
ปานเทพ - ไม่ใช่เยอะนะครับ อันดับ 1 ของโลกไปแล้วตอนนี้ มาพร้อมๆ กับน้ำมันถั่วเหลือง ผมก็เริ่มสนใจในเรื่องนี้ว่านี้เราถูกหลอกหรือเปล่า ในที่สุดผมก็มาพบข้อมูลดังนี้ครับ ว่า ดร.เรย์ พีท เขาเป็นยนักชีวเคมี นักชีววิทยา สอนที่มหาวิทยาลัยออริกอนที่อเมริกา และก็สอนอยู่หลายมหาลัยวิทยาลัย เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ผมคิดว่าน่าทึ่งมาก เขาก็อุตส่าห์ไปค้นว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการโจมตีน้ำมันมะพร้าว ว่าเป็นน้ำมันอิ่มตัว กินแล้วอ้วนทุกอย่าง ราคามะพร้าวก็เลยตก เกษตรกรทั้งหลาย ปศุสัตว์เชื่อเลยครับว่ามันคงทำให้อ้วนแน่เลย ก็เลยมีความคิดว่าถ้างั้นเอามาเลี้ยงหมูดีกว่า ก็อยากได้หมูอ้วนๆนี่ เขาฉลาด เพราะเขาเชื่อตามโฆษณาอย่างนั้น ดร.เรย์ พีท ก็เลยไปเปิดในเอนไซโคลปิเดีย ในปี 1946 ปรากฏว่ามีรายงานในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าราคาน้ำมันมะพร้าวตกลง เพราะมีข่าวว่าน้ำมันมะพร้าวทำให้อ้วน ขายไม่ค่อยได้ ผู้เลี้ยงหมูในอเมริกาจึงซื้อน้ำมันมะพร้าวเอาไปเลี้ยงหมู เพราะคิดว่าหมูอ้วนขึ้น แต่ปรากฏว่าหมูผอมลงทั้งเล้าครับ นับตั้งแต่นั้นไม่มีใครใช้น้ำมันมะพร้าวเลี้ยงหมูอีกเลย และเลี้ยงสัตส์จนถึงปัจจุบัน เขาเลี้ยงด้วยอะไร ถั่วเหลือง ข้าวโพด ล้วนเป็นธัญพืช ไขมันไม่อิ่มตัวทั้งสิ้น กลายเป็นอาหารสัตว์แล้วเขาก็ค้นพบว่า อ๋อ ที่แท้น้ำมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งก็คือถั่วเหลือง ข้าวโพดพวกนี้ มันกดไทรอยด์ให้ต่ำ คือการเผาผลาญต่ำ วเลากิน กินน้อย อ้วนง่าย น้ำหนักเยอะ ขุนเยอะ ขายได้เร็ว เรากำลังกินน้ำมันแบบเดียวกันกับที่สัตว์เหล่านี้กำลังกิน
จินดารัตน์ - คือถ้าเผาผลาญดีจะไม่อ้วน
ปานเทพ - ทีนี้ผมเลยมีภาพเล็กๆ อันนี้จากสารคดี Food, Inc นะครับ ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ 58 ปี เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2493 กับปี พ.ศ.2551 ไก่กินแต่ถั่วเหลืองตัดแต่งพันธุกรรม เรามาดูว่า 58 ปีที่แล้วกับยุคนี้ ไข่ 1 ฟอง ไก่มันโตต่างกันอย่างไร ดูภาพนี้นะครับ ดูจำนวนวันนะครับ นี่เลี้ยงจำนวนฝั่งซ้ายมือนี่ 70 วัน ฝั่งขวา 48 วัน แล้วก็อยากได้หน้าอกใหญ่ๆ ไก่ทางขวามือท่านผู้ชมเป็นไก่ที่เลี้ยงด้วยถั่วเหลืองตัดแต่งพันธุกรรม มันจะก้าวได้ไม่เกิน 2 ก้าว และนั่งลงเพราะน้ำหนักเกินครับ เราถูกหลอกหรือเปล่าครับ ผมเริ่มตั้งข้อสงสัย แต่ท่านผู้ชมตามผมมาอย่าเพิ่มเชื่อนะครับ เพราะผมกำลังจะรองรับกับคำถามที่ผมไม่อยากจะเชื่ออะไรง่ายๆ เลยชวนท่านผู้ชมมาต่อนะครับว่า ผมเคยให้ดูภาพนี้ว่า คนกินมังสวิรัติ และกินน้ำด่างลำไส้จะสะอาดใช่ไหมครับ ถ้ากินเนื้อสัตว์มากลำไส้จะเป็นแบบนี้ แน่นอนครับเป็นการส่องกล้องของ ดร.ฮิโรมิ ชินยา ผมถามคำถาม ผมเข้าใจ เนื้อสัตว์มันเน่าเหม็นในลำไส้ ผมถามว่า อะไรที่มันอยู่ข้างในลำไส้ตอนนี้ ไขมัน แล้วไขมันมันมาพอกแบบนี้ได้อย่างไร มันคือไขมันชนิดไหน และมันเป็นไขมันอะไร และมันจะอยู่ในกระแสเลือดเราไหม ผมมาค้นพบว่า การกินเนื้อสัตว์ไม่สามารถกินสด นอกจากใช้น้ำมันพืช หรือน้ำมันอย่างอื่นไปทอดมันเท่านั้น และเราก็เชื่อว่า สิ่งที่เราเห็นอยู่นั้น มีส่วนสำคัญจากไขมันจากที่เราเอาไปทอดทั้งสิ้น
ดูต่อนะครับท่านผู้ชม ภาพต่อไปนี้ ผมเลยมาสนใจว่า ประเทศไทยก็เหมือนกัน ค่อนข้างจะคล้ายกันคือเดิมใช้น้ำมันมะพร้าว แล้วเราก็มาเชื่อว่า มันเป็นไข ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นไขในร่างกายเราหรอก มันเป็นไขเมื่ออุณหภูมิเย็น แล้วเราก็มากินน้ำมันถั่วเหลืองมากขึ้น โดยเฉพาะชนชั้นกลางนะครับ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน ไม่อิ่มตัวทั้งสิ้นนะครับ แต่ปรากฏว่า เราเป็นโรคมะเร็งเนื้องอกเช่นเดียวกันกับคนอเมริกัน โรคหัวใจหลอดเลือดเช่นเดียวกัน อันดับ 1 และอันดับ 2 เหมือนกันเลยครับ คุณเก๋ คุณแอน มันต้องมีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ทำไมเราถึงเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค แล้วเราเป็นโรคเหมือนๆ กัน กับคนอื่นๆ ทั่วโลกนะครับ
เอาแหละครับ ผมจะชวนท่านผู้ชมมาดูภาพนี้ครับ อันนี้เทียบเมื่อ 26 ปีที่แล้วว่า ผมมาดูอัตราผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคมะเร็งต่อประชากร 1,000 คน ในประเทศไทยว่า เราเพิ่มขึ้นมา 792 เปอร์เซ็นต์ ผิดปกตินะครับ แล้วก็ถ้าพูดถึงอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง เราจะเห็นข้อมูลที่น่าสนใจอีกว่า ผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นเป็นอัตราก้าวหน้า หรือ 26 ปีผ่านมา อัตราผู้เสียชีวิตจากประชากร 1 แสนคนเพิ่มขึ้นเป็น 252 เปอร์เซ็นต์ เดี๋ยวนี้เราไปงานศพมีแต่โรคมะเร็งเป็นส่วนใหญ่นะครับ ต่อมาก็คือว่า พอมาดูปัญหาเรื่องหลอดเลือด เดี๋ยวนี้เขาเรียกรวมกันว่า เป็นโรคระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ คือถ้าหลอดเลือดมีปัญหาเป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบทุกอย่างได้หมด ถ้าหลอดเลือดมีปัญหา เต็มไปด้วยคอลเรสเตอรอล หรือไขมันที่ไม่ดี ปรากฏว่า มีผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคระบบไหลเวียนเลือดเพิ่มขึ้นใน 26 ปี อัตราของประชากรที่เป็นโรคนี้จากประชากร 1,000 คน เพิ่มขึ้นเป็น 2,297 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่กี่สิบเปอร์เซ็นต์นะครับ 2,297 เปอร์เซ็นต์
จินดารัตน์ - 26 ปีเองหรอคะ
ปานเทพ - มันต้องเป็นปัญหากับการบริโภค เพราะเมื่อก่อนคนไทยนี่เป็นโรคอย่างนี้ครับ ต่อนะครับ ผมเลยมีความจำเป็นต้องไปหาเหตุผลว่าทำไมเป็นแบบนี้ และเรื่องต่อไปนี้จำเป็นต้องให้ท่านผู้ชมต้องตีให้ขาด ในเรื่องทำความเข้าใจกับไขมัน แม้จะเป็นเรื่องยาก ผมก็ใคร่ครวญแล้วว่าผมจำเป็นต้องอธิบาย ถ้าไม่อธิบายเรื่องนี้จนท่านผู้ชมไม่สามารถตามทัน เราจะหลงคารมกับการโฆษณา จนกระทั่งเราเป็นเหยื่อเหมือนกับอีกหลายๆประเทศ เขาอำมหิตในการที่จะทำให้เราเชื่อในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ ผมจะเริ่มต้นจากคำว่า ไขมันอิ่มตัว ก็คือน้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู ที่เราคนไทยเคยใช้เป็นส่วนใหญ่มันคืออะไร ท่านผู้ชมมองสูตรโครงสร้างเคมีแล้วอยากจะปิดทีวีเปลี่ยนหนีแล้ว ผมเข้าใจ เพราะผมก็เข้าใจความรู้สึกนี้ แต่ผมจะอธิบายให้ง่ายที่สุด นี่คือคาร์บอน ท่านผู้ชมเห็นมันจับต่อแถวให้คิดว่าผม คุณแอน คุณเก๋ มีรถไฟต่อขบวนกัน นั่งต่อแถว แล้วเราเอาเชือกมาคล้องกันทุกคน ต่อเนื่องกันเป็นสายเดียวกัน เราเรียกว่า คอร์บอน ผมคิดว่าเป็นคุณเก๋ คุณแอน ผม ต่อคิวกัน แล้วก็มีโซ่ คล้องเอาไว้ต่อๆกัน เราเรียกว่าแขนต่อๆกัน แต่เนื่องจากมันมีแค่ 2 แขน คาร์บอนมี 4 แขน ต่อมาท่านผู้ชมก็จะเห็นการจับไฮโดรเจน คือว่าแขนของเขาอีก 2 แขน จะจับไฮโดรเจนเข้าไป จับไว้ๆ สังเกตว่าทุกแขนจับไว้หมดเลย ไม่มีแขนไหนว่างเลย อันนี้หมายความว่า พวกเขาเหล่านี้เป็นไขมันอิ่มตัวเพราะว่าเขาจะเปิดให้ช่องว่างนำปฏิกิริยาออกซิเจนเข้าทำลายเขา นึกถึงเหล็กโดนอากาศเป็นสนิม เขาเรียกว่าอนุมูลอิสระจากอ็อกซิเจน น้ำมันตั้งทิ้งไว้ เหม็นหืนเมื่อโดนออกซิเจน เขาถึงห้ามโดนอากาศหลักการฉันใดก็ฉันนั้นครับ การที่แขนมันเป็น หมายถึงว่ามันไม่เปิดโอกาสในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน หรือ ไฮโดรเจนใดๆ อีกแล้ว หรือถ้าใดก็สุดแท้แต่ ถ้าเปรียบเสมือนให้ท่านผู้ชมเข้าใจเหมือนกับว่า พวกผม 3 คนต่อคิวกันอยู่ เรียงแถวกันอยู่ เรามีเชือกคล้องกันอยู่ คำว่าอิ่มตัวหมายความว่า แขน 2 แขนเราไม่ว่าง เช่น ผมจับ 2 ขวดนี้ กางแขนอยู่เหมือนลูกคาร์บอนเลยนะครับ ถามว่าผมจับอะไรได้อีกไหม
จินดารัตน์ - ไม่ได้
ปานเทพ - ถ้าเราจับได้สิ่งเดียว ขอให้ผมเอาแก้วน้ำมา ผมก็ไม่มีสิทธิที่จะหยิบแก้วน้ำที่คุณแอนใช้ผมอีก นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า อิ่มตัว โอเคนะครับ แต่ไม่อิ่มตัวมีความหมายว่าอย่างไร หมายความว่า แทนที่ผมจะจับ 2 แขนอย่างนี้ รับประกันได้ว่า ผมไม่มีสิทธิจับน้ำแก้วไหนมาทำปฏิกิริยากับผมอีก หรือจับมีดจับของมีคม จับอาวุธไม่มีสิทธิเลย ผมจับแค่ 2 แขนนี้ นี่เขาเรียกว่าอิ่มตัว มั่นใจได้ว่า ไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน น้ำมันพวกนี้ถึงไม่หืน
จินดารัตน์ - ไม่มีกลิ่นเหม็นหืนเลย
ปานเทพ - ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน แต่ถ้าว่าไม่อิ่มตัวจะมีความหมายว่า ผมต่อคิวคุณแอน แทนที่ผมจะจับสิ่งนี้ ผมลักไก่ ผมเอามือมาแตะไหล่คุณแอน ก็กลายเป็นว่าผมมีโซ่คล้อง 1 เส้น ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว ผมจะไปจับซ้ำอีก แปลว่าแขนของผมนี้ มีโอกาสจะไปจับอย่างอื่นได้ นี่เขาเรียกว่า ไม่อิ่มตัว พร้อมทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จนเหม็นหืน ทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนได้ ก็คือทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี จนเปลี่ยนสภาพได้ ไขมันอิ่มตัวจึงไม่มีทางเปลี่ยนสภาพได้ เพราะจับอย่างอื่นจนไม่มีสิทธิจะไปจับอะไรแล้ว ไขมันไม่อิ่มตัวจึงมีสิทธิจะไปจับอย่างอื่นแทนได้ ของไม่ดีก็ได้ จนกระทั่งมันเปลี่ยนสภาพ
ดังนั้นไขมันไม่อิ่มตัวจึงมีสภาพอย่างนี้ครับ ท่านผู้ชมดูนะครับ ที่ผมบอกว่าผมเอาแขนมาจับคุณแอน คืออย่างนี้ครับ กล้องเข้ามาครับ คือบรรดาคาร์บอนแทนที่จะจับไฮโดรเจนทุกจุดนี้นะครับ มีหนึ่งจุดเอามาคู่กัน ฆ่ากัน แทนที่จะจับไฮโดรเจน ดันไม่จับกัน นี่เขาเรียกว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง หมายถึงว่า มี 1 ตำแหน่งพร้อมที่จะหืน พร้อมทำปฏิกิริยากับออกซิเจน โดนความร้อนก็แปรสภาพได้ ไปจับกับไฮโดรเจน หรือจะจับให้มันบิดไปบิดมา เพราะมันไม่เสถียร ดังนั้นไขมันพวกนี้จึงเป็นไขมันที่ไม่เหมาะกับการโดนความร้อน นี่คือเหตุผล และถ้ามันหลายตำแหน่ง ก็หมายความว่ามีคนลักไก่ เอาแตะแขน มากกว่า 1 ตำแหน่ง 1 คน อาจจะมีผม 1 คนมาแตะ คนอื่นไม่ยอมจับมือกับไฮโดรเจน อีกคนหนึ่งก็จับต่อๆ กันไป อย่างนี้เขาเรียกว่าหลายตำแหน่ง ยิ่งหืนง่าย เพราะยิ่งทำปฏิกิริยากับออกซิเจนง่าย กับไฮโดรเจนง่ายๆ ฟังอย่างนี้เข้าใจไหมครับ ดังนั้นการโดนความร้อนก็ยิ่งอันตรายใหญ่ เพราะยิ่งทำปฏิกิริยากับอะไรก็ได้ ง่ายๆ เพราะมันมีช่องว่างในการทำปฏิกิริยา ผิดจากน้ำมันอิ่มตัว ซึ่งไม่มีทางทำปฏิกิริยากับอะไรได้แล้ว
จินดารัตน์ - แม้จะโดนความร้อน
ปานเทพ - แม้จะโดนความร้อนก็ตาม ทีนี้เมื่อท่านผู้ชมเข้าใจหลักการแล้ว ผมก็จะมาดูว่า เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว น้ำมันชนิดไหนที่มันอิ่มตัวที่สุด ผมไปวัดมาแล้วครับ ไปศึกษามาแล้ว สีฟ้านี่คือไขมันอิ่มตัว น้ำมันมะพร้าวมีไขมันอิ่มตัวสูงถึง 86-92 เปอร์เซ็นต์ สูงที่สุด สูงมาก และอาจจะมีไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง ซึ่งหืนนิดหน่อย เช่น น้ำมันมะกอก เป็นต้น 6 เปอร์เซ็นต์ อีก 2 เปอร์เซ็นต์ หลายตำแหน่ง หืนง่าย แสดงว่าส่วนใหญ่โอเคเลย ไม่เป็นปัญหา รองลงมา คือแก่นปาล์ม ไม่ใช่น้ำมันปาล์มนะครับ เดี๋ยวท่านผู้ชมจะคิดว่าซื้อถูกๆ ได้ น้ำมันปาล์ม ไม่ใช่แก่นปาล์ม แก่นปาล์มคือไส้ในสุด ไม่ใช่เปลือกๆ นะครับ ที่เรากินส่วนใหญ่อยู่เปลือกๆ ข้างนอก
จินดารัตน์ - ไม่มีขายทั่วไปใช่ไหมคะ
ปานเทพ - ไม่มีขายครับ มันอิ่มตัว 83 เปอร์เซ็นต์ รองถัดมาคือเนยเหลว 69 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้อิ่มตัวไม่ถึงครึ่ง นี่คือแก่นปาล์ม แก่นปาล์ม ในผลหนึ่งมันจะให้น้ำมันเพียงแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ น้อย นิดเดียว ในขณะที่ส่วนใหญ่ที่เรากินคือ แถวๆ นี้ เขาเรียกว่าไฟเบอร์น้ำมัน ที่จะผลิตน้ำมันได้มาก สรุปว่า น้ำมันมะพร้าวจึงเป็นน้ำมันที่อิ่มตัวที่สุดในโลก นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงเหมาะแก่การโดนความร้อน เพราะมันไม่ทำปฏิกิริยากับอะไรแล้ว
ส่วนไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง มีประโยชน์เหมือนกัน แต่ไม่เหมาะกับการโดนความร้อน เพราะเราเข้าใจแล้วว่าโดนความร้อน มีปัญหา หรือทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ก็เป็นอนุมูลอิสระ ถึงไม่ทำข้างนอก กินข้างใน ก็หืนได้ถ้าโดนความร้อน หรือว่าทำกับไฮโดรเจน เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอกก็ถือว่าดีนะครับ เพราะอย่างน้อยก็แค่ 1 ตำแหน่งเท่านั้น ไม่ได้หลายตำแหน่ง และก็เป็นไขมันอิ่มตัวประมาณ 72 เปอร์เซ็นต์ และกรดสำคัญ คือกรดโอเลอิก ก็ช่วยล้างหลอดเลือดได้ดี เพียงแต่ไม่เหมาะกับการโดนความร้อน ด้วยเหตุผลเพราะว่ามันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง
จินดารัตน์ - ฝรั่งเขาถึงเอามาคลุกสลัด เขาไม่ได้เอามาทอด มาผัดเหมือนบ้านเรา
ปานเทพ - ไม่ทอด ส่วนถ้าไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ก็หมายความว่า เช่น 1 ตำแหน่ง 2 ตำแหน่ง จะมีมากในไหนครับ เช่น 60 เปอร์เซ็นต์ ในน้ำมันข้าวโพด 60 เปอร์เซ็นต์ ในน้ำมันถั่วเหลือง พวกนี้มีปัญหาทั้งหมดเวลาโดนความร้อน มันก็เลยเกิดอนุมูลอิสระง่าย เพราะเขาทำปฏิกิริยา ออกซิเจนเข้าไปก็เกิดอนุมูลอิสระ เข้าเป็นไขมัน ก็ทำให้หลอดเลือดอักเสบและเกิดโรคง่าย มันสอดคล้องไหมครับกับคนที่อเมริกาก็ดี หรือคนไทยที่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคมารับประทานไขมันไม่อิ่มตัวมากขึ้น แต่เราได้โรคใหม่ๆ มากขึ้น ที่ก่อนที่เราจะบริโภคอย่างนี้ เราไม่เคยเป็นเลย ต่อนะครับ
ต่อมาก็คือว่า ที่น่าสนใจคือ ความที่ไขมันไม่อิ่มตัว อย่างเช่นอย่างนี้เป็นต้น เวลาโดนความร้อน เนื่องจากมันมีช่องว่างอยู่ โดนความร้อนมากๆ เนื่องจากมันไม่เสถียร มันจะเริ่มบิดตัว จากที่เขาเรียกว่า ซิสฟอร์ม ซิสไอโซเมอร์ มาเป็นทรานส์ไอโซเมอร์ หมายความว่า มันเหมือนกับพลาสติกย้วย คือมันจะบิดตัว เพราะมันโดนความร้อน รูปร่างมันเปลี่ยน โครงสร้างมันเปลี่ยน เช่น สมมุติผมจับขวดนี้อย่างนี้ ถ้าผมบิด มันจะเป็นอย่างนี้ เหนียวกว่าเดิม มันถึงเป็นไขมันเหนียวๆ ไง
จินดารัตน์ - ใช่ ถ้าคนทำครัว จะรู้
ปานเทพ - มันจะเหนียวขึ้น ถ้าทอด เขาถึงบอกว่าอย่าทอดซ้ำ เพราะมันจะเหนียว และเหนียวที่ว่านี้มันน่าแปลกมาก คือเหนียวจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า ถ้าปล่อยอุณหภูมิห้องปกติ มันก็ยังเหนียวอยู่ เพราะว่าจุดที่มันเป็นไข มันอยู่ระหว่าง 36-40 องศาเซลเซียส
จินดารัตน์ - อุณหภูมิร่างกาย
ปานเทพ - ใช่ครับ อุณหภูมิร่างกายมนุษย์คือ 37 องศาเซลเซียส เมื่อจุดที่มันเป็นไข คือต่ำกว่า 40-36 องศาเซลเซียส ใกล้เคียงกับร่างกายมนุษย์ มันก็เป็นไขในร่างกายมนุษย์
จินดารัตน์ - อ๋อ มันถึงเป็นคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ในเม็ดเลือด
ปานเทพ - ใช่ เข้าใจหรือยังครับ เขาถึงห้ามกินไขมันทอดซ้ำด้วยเหตุผลนี้ นี่ไง คราบเหนียวๆ ที่เราเห็นจากสภาพที่มันเปลี่ยนโครงสร้าง มันจะเป็นอย่างนี้ครับท่านผู้ชม คือกระทะที่เราวาง มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านผู้ชมเป็นคนทำครัวจะรู้เลย น้ำมันถั่วเหลืองกับน้ำมันมะพร้าว ถ้าทอดด้วยกัน น้ำมันมะพร้าวเช็ดออกได้ง่ายกว่าเยอะมาก แต่น้ำมันที่ทอดซ้ำจะดำ จะเหนียว และคิดสิครับ ถ้ามันอยู่ในร่างกาย มันจะเป็นยังไง แต่ทีนี้ อย่างที่เรารู้ว่า น้ำมันที่ไม่อิ่มตัวมันหืนง่าย เพราะมันทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ก็เลยมีนักวิทยาศาสตร์หัวใส อยากทำให้ไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้ เป็นไขมันอิ่มตัว ด้วยการทำอย่างนี้ ด้วยการเติมไฮโดรเจนโดยเจตนา จะเหมือนกับเมื่อกี้เลยครับ แต่เดี๋ยวท่านผู้ชมจะงง ผมจะทิ้งตรงนี้ไว้ก่อน เอาเฉพาะเรื่องทอดซ้ำก่อน เวลามันบิดตัว มันจะเกิดปฏิกิริยาที่เขาเรียกว่า ไฮโดรจิเนต คือ ไฮโดรเจนเขาทำปฏิกิริยา แล้วก็บิดตัว ไฮโดรจิเนต เป็นไขมันที่เรียกว่า ภาษาอังกฤษ คือ ไขมันทรานส์ ภาษาไทยคือ ไขมันผ่านกรรมวิธี คือ โดนความร้อน ผลร้ายของมันจากงานวิจัยชัดเจนมาก คือ ทำให้เยื่อบุเซลล์เสียหาย ทำให้เชื้อโรคและสารพิษเข้าไปในเซลล์ได้ กลายเป็นคราบน้ำมันที่ทำให้น้ำซึมผ่านผนังลำไส้ไม่ได้ เป็นโรคเบาหวาน เพราะว่าสารอาหารไม่สามารถเข้าไปทำถึงตัวเซลล์ได้ ดูดซึมได้ รวมถึงการกลายพันธุ์ของรหัสพันธุกรรม คือ ดีเอ็นเอ และก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามมา นอกจากนี้ เมื่อทอดถึงจุดเดือด 180 องศาเซลเซียส จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษกับร่างกายหลายชนิด เรียกรวมๆ กันว่า กลุ่มสารโพลาร์ โพลาร์คอมพาวนด์ ทำให้แสบจมูก เกิดมะเร็งที่ปอด เนื้องอกที่ตับ และปอด ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดที่หัวใจ และมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ทอดซ้ำอย่างเดียว จากน้ำมันไม่อิ่มตัวนะครับ เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมที่ชอบไปรับประทาน สมมุติ ปาท่องโก๋ ร้อนจัดๆ ทอดซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ให้ตระหนักว่าท่านผู้ชมมีความเสี่ยง ถ้าพวกเขาใช้ไขมันไม่อิ่มตัว
แต่มีความคิดว่า ถ้ามันไม่อิ่มตัว มันก็หืนง่าย อย่างนี้ เพราะมันไม่จับกับไฮโดรเจน ก็มีเทคนิคว่า ถ้าอย่างนั้นเติมไฮโดรเจนไปดีมั้ย มันจะได้จับไฮโดรเจนให้หมด ผมถามว่า เอ๊ะ ถ้ามาต่อว่าไขมันอิ่มตัวไม่ดี ทำไมต้องหาวิธีเติมไฮโดรเจน ตรรกะง่ายๆ เลย ปรากฏว่า เป็นเรื่องที่ฮิตมาก เขาจัดการเอานิกเกิลมาทำเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้ร้อน และตัวไฮโดรเจนก็จะบิดตัว และเติมไฮโดรเจนใส่เข้าไป แล้วก็ฟอกให้สีขาว แล้วก็เอานิกเกิลออก นี่คือกระบวนการที่เขาเรียกว่า การเติมไฮโดรเจนใส่เข้าไป แล้วก็ฟอกให้สีขาว แล้วก็เอานิเกิลออก นี่คือกระบวนการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันปกติ ให้มันไม่หืน ผลก็คือ น้ำมันถั่วเหลืองซึ่งหืนง่าย น้ำมันข้าวโพดซึ่งหืนง่ายๆ เติมไฮโดรเจนเข้าไป กลายเป็นไขมันทรานส์ 4 ชนิด เพราะบิดตัวเหมือนกัน และข้อสำคัญคือว่า เราจะไม่มีทางรู้เลย แต่ตั้งทิ้งไว้เท่าไหร่ก็ไม่หืนสักที
จินดารัตน์ - แล้วมันต่างจากอันเดิมอย่างไรคะ
ปานเทพ - มันบิดตัวไปแล้ว มันก็เป็นคราบเหนียวเหมือนกัน แล้วมันคืออะไร มันเป็นไขมันชนิดใหม่ครับ ซึ่งมันเหนียวๆเหมือนยางยืด ถ้าท่านผู้ชมนึกไม่ออก แอนนึกไม่ออก ก็คือมาการีน พีนัทบัทเตอร์ เนื่องจากมันไม่หืน ทนนานมันก็เลยไปทาข้าวโพดคั่ว ใส่ซอง ใส่ไมโครเวฟ ขนมกรุบกรอบที่วางอย่างไรก็ไม่หืน เพราะมันทาไขมันทรานส์เอาไว้ เฟรนช์ฟรายทอดซ้ำ ครัวซ็อง โดนัท ของอร่อยทั้งนั้น เนยเทียม ในกาแฟ คุกกี้ที่มันไม่หืน
กมลพร - ของโปรดทั้งนั้นเลยค่ะ
ปานเทพ - ใช่ เพราะมันคงทนนานไง เขาฉลาดมีเทคนิค แต่อย่างที่ผมบอกอุณหภูมิของมันก่อนที่จะเริ่มเป็นไข 36-40 องศาเซลเซียส ที่ลงมามันคือร่างกายมนุษย์ ปรากฏว่าศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อผลประโยชน์ต่อสาธารณะแห่งกรุงวอชิงตัน ประเทศอเมริกา ได้รายงานเอาไว้ว่า ถ้าให้งดไขมันทรานส์ในอาหารของคนอเมริกัน จะสามารถช่วยชีวิตคนอเมริกันไว้ได้ถึงปีละ 30,000 คน หรือมากกว่านั้น ต่อนะครับ ยิ่งไปกว่านั้นก็มีการลุกขึ้นสู้กับไขมันชนิดนี้ ปี พ.ศ.2545 สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา ได้รายงานว่าไขมันทรานส์ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้เร็วกว่าไขมันสัตว์ ไขมันทรานส์แบบนี้เพิ่มระดับแอลดีแอล คือไขมันเลว ติดตามหลอดเลือด และไขมันทรานส์ลดระดับไขมันชนิดอี คือเอสดีแอล ทำให้ไม่สามารถหยิบไขมันเลวๆเหล่านี้มาเก็บที่ตับ เพื่อไปเผาไหว้ได้ ค้างตามหลอดเลือด มันเหนียวครับคุณแอน
นพ.วอเตอร์ วิลเลจ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาบอกว่า คนที่กินไขมันทรานส์เป็นประจำมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนที่กินไขมันทรานส์ได้น้อยกว่า 50 % และไขมันทรานส์ยังสัมพันธ์กับการเกิดเนื้องอกในอวัยวะต่างๆเป็นอย่างมาก พอเข้าใจหรือยังครับว่าทำไมคนอเมริกัน และคนไทย ถึงได้เป็นโรคที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน
กมลพร - น้ำมันถั่วเหลืองถูกเปลี่ยนโครงสร้าง
ปานเทพ - และตัวมันโดนความร้อนก็เป็นปัญหา ทีนี้ ผมก็เริ่มมาค้นต่อว่า มันมีงานวิจัยในปี พ.ศ.2540 เขาบอกว่า รายงานแสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันระหว่างการบริโภคไขมันทรานส์ กับการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้โดยตรง ซึ่งก็แปลว่ามันมี 2 ทาง คือเรากินคุ้กกี้ โดนัท กินมาการีน พีนัทบัตเตอร์ บ่อยๆ เนยถั่ว กินไขมันพืช แต่เราไม่รู้ตัวเลยว่า ไขมันเหล่านี้แอบเติมไฮโดรเจนเพื่อไม่ให้หืนเพราะมันเสียง่าย แต่ไขมันจากมะพร้าวไม่เป็นนะครับ ไม่ต้องเติม เพราะมันอิ่มตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้กระบวนการในการผลิตเพื่อแปลงสภาพมัน
ทีนี้ เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ ก็เกิดการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในหลายประเทศ ปี พ.ศ.2549 อาหารที่ขายอยู่ในอเมริกา ต้องระบุฉลากโภชนาการว่า มีไขมันทรานส์ผสมอยู่กี่เปอร์เซ็นต์เป็นกฎหมายบังคับ แคนาดามีการประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์เกิน 2 % สำหรับอาหารที่จำหน่ายปลีก หรือไม่เกิน 5 % สำหรับน้ำมันประกอบอาหาร เดนมาร์กได้ประกาศจำกัดปริมาณไขมันทรานส์ให้มีในน้ำมันได้ไม่เกิน 2-5 กรัม ต่อ 100 กรัม นี่เป็นกฏหมาย แต่ ทว่า นี่เป็นประเทศที่เขาลุกขึ้นสู้ และห้ามบางส่วน ให้ติดฉลากไว้ คือสีเขียว สีเหลืองไม่ห้ามแต่ติดฉลากไว้ให้ประชาชนรู้ไว้ก็ยังดี ออสเตรเลีย แม้แต่มาเลย์ ยุโรป ก็ตาม ส่วนประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ไม่ห้าม และไม่บังคับให้ติดฉลาก แล้วแต่ความสมัครใจ เราไม่มีทางจะรู้เลยว่า น้ำมันถั่วเหลืองที่เรากิน เป็นไขมันทรานส์ ข้าวโพดเป็นไขมันทรานส์ไหม ไม่มีใครบอก เพราะมันไม่บังคับให้เราติด และติดเราก็คงไม่กิน และถ้าไม่ติดมันก็คงหืนง่าย ซึ่งเราไม่เคยเจอนะครับที่เจอหืนง่ายๆ มันต้องไม่มีใครบอกเราเท่านั้นเองนะครับ นี่คือปัญหาที่ทำให้โรคที่เราเป็น เป็นโรคที่เราไม่รู้ว่าควรกินอะไร และไม่ควรกินอะไร
ต่อมาเพื่อความเข้าใจไหม่ ผมจะปูพื้นให้ท่านผู้ชมใหม่ โบราณบอกว่ากินกะทิเยอะ กินน้ำมันมะพร้าวเป็นคลอเรสเตอรอลในน้ำมันสูง มีตัวเลขมาชี้แจงให้ฟังครับ น้ำมันมะพร้าวและกะทิ มีคลอเรสเตอรอลต่ำที่สุดในบรรดาน้ำมันพืชทุกชนิด คือ 14 ส่วนในล้านส่วน คุณแอนนึกสภาพ มันจะเรียกว่าสร้างคลอเรสเตอรอลได้อย่างไร มีแค่ 14 ส่วนในล้านส่วน น้ำมันถั่วเหลืองมีเป็น 2 เท่า คือ 28 ส่วนในล้านส่วน และน้ำมันหมู และเนย มีมากกว่า 3,000 ส่วน ในล้านส่วน แต่ก็ยังน้อยเมื่อเทียบกับล้านส่วน พูดง่ายๆก็คือน้ำมันมะพร้าวจะเรียกว่าสร้างคลอเรสเตอรอล ไม่มีเหตุผลเลย จริงไหมครับ ถ้าดูจากจำนวนตัวเลขและคณิตศาสตร์
ปรากฏว่ามีข้อมูลใหม่ชี้น่าสนใจมากปี พ.ศ.2537 มีงานวิจัย 2 ชิ้นเลย ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 และปี พ.ศ.2542 ตรงกันเลย เขาไปตรวจสอบ สงสัยมานานแล้วว่า ไขมันที่อุดตันในเส้นเลือด ที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ ตกลงมันเป็นไขมันชนิดใด คือหยิบมาก็วิเคราะห์เลย วิธีนี้ตอบโจทย์หมด พบว่า สารที่เขาเรียกว่าอาเทอริโอ ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของสารอุดตันพลาค (Plaque) ในหลอดเลือด เป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ก็ถั่วเหลือง ข้าวโพด และจากการวิเคราะห์แผ่นไขมันที่เกาะเส้นเลือดพบว่า ในอนุพันธ์คลอเรสเตอรอล 74% เป็นไขมันไม่อิ่มตัว และมีไขมันอิ่มตัวเพียงแค่ 26% และกรดไขมันที่อิ่มตัวแค่ 26% เหล่านี้ก็ไม่ใช่กรดลอริก และก็ไม่ใช่กรดไมริสติก จากน้ำมันมะพร้าวเลย ชัดไหมครับจากงานวิจัย 2 ชิ้นนี้ เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจใหม่ อย่าให้เขาหลอกพวกเราอีกต่อไป
ผมจะชวนท่านผู้ชมมาคิดเรื่องนี้ต่อว่า ถ้าอย่างนั้นเราควรจะเลือกบริโภคอย่างไร เป็นแผนภูมิ ผมเรียงน้ำมันทุกชนิดเพื่อให้ท่านผู้ชมเลือกว่า อะไรดีกว่าอะไร น้ำมันมะพร้าว ผมเรียงจากความอิ่มตัว เมื่ออิ่มตัวดีแล้ว แผนภูมินี้นะครับ จะเห็นได้ว่าา สีฟ้าที่เราเห็นภาพต่อไปนี้ เป็นไขมันอิ่มตัว ข้างบนสุดน้ำมันมะพร้าวอิ่มตัว 92% นัมเบอร์ 1 ในโลกเลย อันดับ 2 แก่นปาล์มไม่ใช่น้ำมันปาล์มนะครับ 83% ไม่มีขายในท้องตลาด อันดับ 3 เนยเหลว 69% อันดับ 4 ไม่ถึงครึ่งด้วยนะครับ น้ำมันหมูครับ อันดับ 5 ถึงค่อยมาเป็นน้ำมันปาล์ม น้ำมันปาล์มยังด้อยกว่าน้ำมันหมูนะครับ ว่าด้วยเรื่องของการโดนความร้อนนะครับ น้ำมันมะกอกไม่ได้เลยครับ มีไขมันอิ่มตัวแค่ 14% ที่เหลือไม่เหมาะกับการโดนความร้อนครับ น้ำมันรำข้าวหนักใหญ่ครับ เป็นไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งถึง 37% ไม่เหมาะแก่การโดนความร้อนหนักขึ้นไปอีก แม้ว่าน้ำมันรำข้าวจะดีมาก ที่มีแกมมาออริซานอล ในการล้างหลอดเลือด แต่เหมาะกับการกินสดๆ ไม่ใช่โดนความร้อน
ต่อนะครับ น้ำมันข้าวโพดหนักกว่านั้นอีกครับ และน้ำมันถั่วเหลืองเลวที่สุดในบรรดาน้ำมันว่า ด้วยเรื่องของความอิ่มตัว ไม่อิ่มตัว ท่านผู้ชมเลือกได้ยังครับ ท่านผู้ชมเลือกอันไหนครับ ในทุกวันนี้ที่ท่านผู้ชมเอาไปทอดเอาไปทำความร้อน
จินดารัตน์ - ก็ต้องน้ำมันมะพร้าว
ปานเทพ - เห็นหรือยังครับว่า ทำไมคนโบราณกินน้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู ในขณะที่คนยุคนี้กินน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลืองถึงได้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ แล้วก็จ่ายแพงด้วยนะครับ เป็นโรคหลอดเลือด เป็นโรคหัวใจ และเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนอื่นเขา ต่อนะครับ ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง เพราะผมอ่านแล้วผมประทับใจ กับการอธิบายเรื่อง น้ำมันกับอุณหภูมิ คุณเก๋ คุณแอนดูภาพนี้นะครับ ท่านผู้ชมดูภาพนี้ แผนที่โลกฉบับนี้ว่าด้วยเรื่องของการ มะพร้าวมันไปขึ้นที่ไหน ปรากฏว่ามะพร้าวมันไปขึ้นตรงเส้นศูนย์สูตรทั้งโซนเลยครับ ที่มันติดทะเลนะครับ มะพร้าวขึ้นอยู่ตามเส้นศูนย์สูตร และคุณผู้ชมต้องเข้าใจว่า การที่มันขึ้นอยู่เส้นศูนย์สูตร หมายความว่ามันขึ้นในอุณหภูมิที่ร้อน การขึ้นในอุณหภูมิที่ร้อนแปลว่า น้ำมันชนิดนี้มันมีชีวิตได้แม้โดนความร้อน มันจึงผลิตน้ำมันที่เหมาะแก่การโดนความร้อน
จินดารัตน์ - ให้เหมาะกับสภาพอากาศที่มันอยู่
ปานเทพ - มันก็เลยแบบว่า ให้มันอิ่มตัวไง เพื่อโดนความร้อนให้ได้นะครับ ปรากฏว่า ดร.เรย์ พีท เลยมาอธิบายว่า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีวเคมี สอนหลายมหาวิทยาลัยในเรื่องของฮอร์โมน เรื่องเอนไซม์นะครับ เขาอธิบายน่าสนใจมาก ผมก็ไม่เคยคิดในมุมนี้มาก่อน เขาอธิบายว่า ไขมันอิ่มตัวจะเกิดขึ้นในพืชเขตร้อนชื้น และในสัตว์เลือดอุ่น เหมือนกับที่เรากินเนื้อสัตว์ส่วนใหญ่จะอิ่มตัวนะครับ ซึ่งสัมพันธ์กับเสถียรภาพของน้ำมันที่อุณหภูมิสูง หมายความว่า ยิ่งอุณหภูมิสูงยิ่งอิ่มตัวมาก มันเป็นการออกแบบมาของธรรมชาติ น้ำมันมะพร้าวเกิดในที่ร้อน หากเก็บเอาไว้ในอุณหภูมิห้อง 1 ปี จะไม่หืนเลย เพราะอิ่มตัวไง มันไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ธรรมชาติมันสรรค์สร้างมาเป็นแบบนั้น เพราะน้ำมันมะพร้าวโตในอุณหภูมิประมาณ 37.7 องศาเซลเซียส คิดดูนะครับ มันโตในอุณหภูมินี้ ร่างกายเราก็อุณหภูมิประมาณนี้
ดังนั้น ณ อุณหภูมิห้องมันจะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน หรือที่เรียกว่า ออกซิเดทีฟเลย ในขณะที่น้ำมันปลา และน้ำมันดอกคำฝอย ซึ่งอยู่ในที่ๆ เย็น ปลาว่ายอยู่ในน้ำเย็น มันจะไม่สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้เลย เพราะในอุณหภูมิเพียงแค่ 36.6 องศาเซลเซียส มันจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จนเกิดอนุมูลอิสระ และเสียอย่างรวดเร็วมาก ดร.เรย์ พีท เลยอธิบายต่อนะครับบอกว่า ถ้าเราเข้าใจภายใต้ตรรกะนี้แล้ว เขาจะหยิบยกงานวิจัยชิ้นหนึ่งมาบอกว่า อุณหภูมิยิ่งสูงไขมันจะยิ่งอิ่มตัวมาก เช่นเดียวกับแหล่งเพาะปลูกของน้ำมันพืช เช่น แกะ สัตว์นะครับเป็นแกะ เป็นสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวสูง แต่มันอิ่มตัวโดยร่างกายมัน แต่เฉพาะผิวบนของมันใกล้ๆ กับผิวหนัง มันจะกลายเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ถามว่ารู้ได้อย่างไร เพราะถ้ามันเป็นไขมันอิ่มตัว มันจะกลายเป็นไขกระด้างแตกทันที มันเลยออกแบบให้ผิวข้างบนมันไม่อิ่มตัว เพื่อป้องกันความกระด้าง และก็ไม่เป็นไข
แล้วข้อสำคัญมีงานวิจัยชิ้นนึงซึ่งมีข้ออ้างอิงผมขออนุญาตไม่อ่าน เพื่อความกระชับ วิจัยชิ้นนี้ค้นพบด้วยว่า ถ้านำหมูมาใส่เสื้อกันหนาว เราจะค้นพบว่า มันจะมีไขมันอิ่มตัวเพิ่มมากขึ้น มากกว่าตัวอื่น เราเป็นคนชาวเอเชีย โดนแดดร้อนผิวเราส่วนใหญ่ จึงมีความอิ่มตัวมากกว่าฝรั่ง ฝรั่งอยู่เมืองหนาวเป็นไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่าคนเอเชีย รู้ได้อย่างไรครับ ผิวคนอเมริกัน หรือผิวฝรั่งอยู่ในที่ๆ เย็น ออกซิเดทีฟง่าย เป็นฝ้าเป็นกระง่าย คนไทยเป็นฝ้าเป็นกระน้อยกว่า แม้เราคนเอเชียไปเมืองหนาวผิวแตก เพราะมีไขมันอิ่มตัวมากกว่า ฝรั่งไม่แตก แต่มาเมืองร้อนผิวไหม้อย่างรวดเร็ว และเป็นฝ้าเป็นกระ เพราะไม่อิ่มตัวมันทำปฏิกิริยากับออกซิเจน แสงแดดก็คือ ออกซิเดชั่นง่ายๆ พอเข้าใจใช่ไหมครับ หลักการฉันใดก็ฉันนั้น นี่เป็นเรื่องอุณหภูมิกับเรื่องน้ำมันนะครับว่า ทำไมเราควรใช้น้ำมันในพืชเขตร้อน เพราะมันออกแบบตามธรรมชาติมาเป็นแบบนี้ ปลาปกติมีชีวิตอยู่ในอุณหภูมิความเย็นจนเกือบแข็ง แต่ไม่เกิดการเป็นไข หรือแตกกระด้าง แต่มันจะตายลงทันทีหากเป็นไขมันไม่อิ่มตัว มันก็จะแข็งตัวเป็นไข มันว่ายไม่ได้ ไขมันที่ไม่อิ่มตัว เติบโต และมีชีวิตอยู่กับความเย็น มันจะหืนง่ายเมื่อโดนความร้อน เมื่อไขมันเหล่านี้ถูกเก็บเอาไว้ในเนื้อเยื่อของเราที่มีอุณหภูมิสูงกว่าที่มันเคยชินมา เคยมีชีวิตอยู่ มันก็เลยจะเปิดรับทำปฏิกิริยากับอ็อกซิเจน กลายเป็นอนุมูลอิสระได้ง่าย ก็เลยหลอดเลือดอักเสบ
คลิก! อ่านต่อ