รายงานการเมือง
กว่าจะผ่านมาได้ทำเอาแทบลากเลือดเหมือนกันสำหรับรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กับภารกิจเคลียร์ม็อบเกษตรกรชาวสวนยางที่ปักหลักชุมนุมอยู่ในหลายจังหวัดภาคใต้ ชนิดกว่าจะไกล่เกลี่ยกันลงตัวก็เล่นเอาโต๊ะเจรจาล่มไปหลายหน คนในรัฐบาลกุมขมับไปหลายที
นับเป็นบทเรียนราคาแสนแพงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งทีเดียวสำหรับการบริหารประเทศแบบ “เลือกปฏิบัติ” โดยเฉพาะการการช่วยเหลือเกษตรชาวนากับชาวสวนยางในบรรทัดฐานที่ต่างกัน โดยมีพื้นที่ฐานเสียงเป็นตัวตั้ง
และแม้จะเคลียร์กันได้จนไม่มีการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 กันยายนนี้แล้ว รัฐบาลก็หาได้ตายใจได้สนิท เพราะเกษตรกรชาวสวนยางประกาศลั่นแล้วว่า มาตรการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วยเหลือต้องจ่ายให้เสร็จภายใน 1 เดือน ไม่เช่นนั้น “ม็อบสวนยาง" คัมแบ็กแน่
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนดูจะไม่ได้จำกัดอยู่ในแวดวงสวนยางเท่านั้น เรียกว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็กระโดดเข้าแทรกทันที เมื่อเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในแถบภาคเหนือกำลังได้รับผลกระทบเรื่องผลผลิตตกต่ำ แถมราคาค่าปุ๋ยและราคายาฆ่าแมลงก็แพงเกินจริงจนโอเวอร์
ที่สำคัญรัฐบาลยิ่งตอกย้ำซ้ำเติมด้วยการออกมติ ครม. เปิดช่องให้ไทยสามารถนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านได้ในปริมาณที่ไม่จำกัด ส่งผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในบ้านเราอาศัยช่องว่างดังกล่าวไปเปิดบริษัทนอมินีในประเทศเพื่อนบ้านนำเข้าข้าวโพดจนราคาดิ่งลงเหว ขณะที่มาตรการช่วยเหลือด้วยการอัดฉีดงบประมาณลงไปแก้ปัญหาเกือบ 2 พันล้านบาท ก็ไม่ได้ถึงมือเกษตรกรจริงๆ
เข้าทำนองแก้ไม่ตรงจุดเหมือนกับชาวสวนยาง ที่ขอหมูได้หมา ขอหมาได้หมู ขอประกันราคาแต่ได้ปุ๋ยมาแทน และก็มีทีท่าว่า เกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดกำลังจะทำอะไรที่คล้ายกับม็อบสวนยางคือ เตรียมชุมนุมใหญ่เหมือนกัน
เอาเป็นว่าการบ้านของรัฐบาลเข้าต่อเนื่อง!!
นอกจากเรื่องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบเรื่องราคาตกต่ำแล้ว พี่น้องประชาชนตาดำๆ ก็ได้รับเคราะห์กรรมไม่แตกต่างกัน ด้วยปรากฎการณ์ “แพงทั้งแผ่นดิน” ที่กำลังระบาดหนักอยู่ทุกหย่อมหญ้าประเทศไทย ประชาชนมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ
ไม่ว่าจะเป็น “ไข่ไก่” ในยุค “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ที่แพงระยับจนแทบรับประทานไม่กันลง ชนิดเดือนเดียวราคาพุ่งขึ้นพรวดถึง 3 ครั้ง แต่ดูแนวทางการแก้ไขปัญหาของผู้รับผิดชอบแต่ละคนในรัฐบาลแล้วคงทำได้แค่ละเหี่ยใจยอมรับชะตากรรม นับตั้งแต่ “คุณหนูปู” ที่เคยปนระกาศกระชากค่าครองชีพ ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ก็ไม่เคยพูดเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเลยทั้งๆ ที่เป็นผู้นำสูงสุด
เมื่อไปไม่ได้รอดก็บอกว่า ของแพงคิดไปเอง
หรือในรายของ “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุว่า หากมีการลงข่าวเรื่องของแพงเยอะๆ จะยิ่งเป็นการชี้นำตลาด เข้าทำนองรำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง ทั้งๆ ที่ไม่เคยโทษความไร้น้ำยาของตัวเองเลย
หนักกว่าใครต้องรายนี้เจ้าเก่า “เดอะใหญ่-ยุคล ลิ้มแหลมทอง” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เด็กในคาถา “เดอะเติ้ง-บรรหาร ศิลปอาชา” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะที่เป็นอดีตอธิบดีกรมปศุสัตว์เก่า แต่กลับอ้างตรรกะแบบน้ำขุ่นๆ โดยระบุว่า ราคาจะแพงอย่างนี้ไปอีก 2-3 สัปดาห์ จากนั้นพอเข้าช่วงเทศกาลกินเจ และปิดภาคเรียนที่ 1 ราคาจะค่อยๆ ลดลงมาเอง
ใครได้ยินคงตั้งคำถามอยู่เหมือนกัน ตำแหน่งรัฐมนตรีที่นั่งอยู่ กับอธิบดีที่เคยนั่ง ได้มาเพราะความสามารถหรือเพราะเป็น “เด็กนาย” กันแน่ เพราะหากไปดูตัวเลขคนกินเจในประเทศไทยอย่างไรก็ย่อมน้อยกว่าคนไม่กิน ที่น่าขันคือ เด็กปิดภาคเรียนแล้วต้องกินไข่น้อยลงหรือเพิ่มขึ้น ใช้หลักคำนวณอะไรมาวัด?
ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่นักการเมืองที่แถจนสีข้างถลอกเก่งอยู่อย่างเดียว ความคิดของข้าราชการที่ดูเหมือนจะเป็นที่หวังที่พึ่งในยุคนี้ก็แทบติดลบไม่ต่างกัน ยกตัวอย่างแค่ “วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์” อธิบดีกรมการค้าภายใน ที่ระบุว่าการปรับขึ้นราคาของไข่ไก่เกิดจากผลผลิตที่น้อยลง พ่อค้าแม่ค้าจึงไม่สามารถนำไปอ้างเพื่อปรับขึ้นราคาได้
เหตุผลฟังดูดีแม้จะเป็นจริง แต่ในทางปฏิบัติพวกบรรดาพวกร้านอาหารตามสั่งเขาปรับขึ้นราคากันหมดแล้ว ไม่เห็นรัฐบาลจะไปทำอะไรได้ มีแต่ประชาชนเท่านั้นที่ต้องจำใจควักเงินเพิ่มเพื่อประทังท้อง
และที่ดูจะหนักหนาสาหัสตอกย้ำ “ความไร้น้ำยา” ของรัฐบาลชุดนี้ได้ดี คงหนีไม่พ้นผลงานระดับ 5 ดาว ทุบประวัติศาสตร์การบริหารประเทศ ด้วยการขึ้นราคา 3อย่างในวันเดียว ได้แก่ ราคาแก๊ซหุงต้มแอลพีจี ค่าไฟฟ้า และค่าทางด่วน ทำเอาประชาชนทุกข์ระทมกันถ้วนหน้า
น่าจะเป็นรัฐบาลเดียวในโลกที่ทำได้!!
ทั้งที่รัฐบาลมีตัวเลือกที่แย่ที่สุดที่ยังทำได้อย่างน้อยๆ คือ ค่อยๆ ทยอยขึ้น ไม่ใช่ขึ้นพรวดกันในวันเดียวจนประชาชนตั้งหลักรับไม่ทัน มิหนำซ้ำยังมีหน้ามาอ้างว่า มีมาตรการชดเชยและเยียวยารองรับแล้ว แต่ไม่ได้ไถ่ถามประชาชนเลยว่า เขาต้องการการกินดีอยู่ดี ไม่ได้ต้องการให้ใครมาเยียวยา มันผิดความต้องการขั้นพื้นฐาน
แต่ก็ดูเหมือน “ปูกรรเชียง” จะไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับสถานการณ์ราคาประเทศ เพราะเจ้าตัวกำลังสนุกสนานอยู่กับการเตล็ดเต็ดเตร่ไปประเทศนู้นประเทศนี้อย่างครื้นเครง ด้วยข้ออ้างที่สุดแสนจะสวยหรูคือ ไปขายข้าว ขายยางพารา เปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับประเทศ ทั้งที่ในความเป็นจริงล้วนแฝงไปด้วยภารกิจส่วนตัว หนีประชุมสภา รวมถึงผลประโยชน์ทับซ้อน
หนักกว่านั้นการทัวร์ของ “ยิ่งลักษณ์” แทนที่จะทำให้ประเทศเจริญเติบโตหรือกินดีอยู่ดีขึ้น แต่ตรงกันข้ามด้วยหลักฐานคาตา เมื่อตัวเลขขาดทุนการค้าเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่า ไทยต้องขาดทุนการค้าไป 7 หมื่นกว่าล้านบาท ส่งผลให้ดุลบัญชีสะพัดติดลบ
ข้ออ้างเปิดตลาดจึงเป็นเรื่องโม้คำโต!!
โดยรวมแล้วสถานการณ์วันนี้ของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” แม้จะสามารถประคับประคองพวกม็อบการเมืองได้ด้วยองคาพยพที่มีอยู่ แต่เหมือนปัญหาเศรษฐกิจจะกลายเป็นของแสลงที่กำลังเล่นงานอย่างหนัก แถมทำได้เพียงแก้ไขเฉพาะหน้าเท่านั้นด้วยมุกเดิมๆ คือ อัดงบลงไปแก้ปัญหาเท่านั้น เพราะหากเหลือบมองบรรดาเสนาบดีมือไม้ก็เป็นพวกโตแต่ตัวแต่ไร้กึ๋น พ่วงด้วยควันหลงจากนโยบายประชานิยมที่บ้าคลั่งเพื่อเทกระหน่ำในช่วงแรกที่กำลังพ่นพิษ
ตามสภาพหากกระชากราคาให้พุ่งขึ้นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ งานนี้คงไม่ต้องรอม็อบการเมืองมาไล่ แต่จะตายลิ้นจุกปากด้วยความไร้น้ำยาของตัวเอง
เพราะต้องอย่าลืมว่า เรื่องปากท้องมันของจริงที่ไม่ว่าประชาชนกลุ่มไหนก็รู้สึกได้ และต่อให้แฟนคลับจะรักมากจนโงหัวไม่ขึ้นแค่ไหน แต่ถ้าอดตายก็ถีบส่งเหมือนกัน!!