ส.ส.พัทลุง ประชาธิปัตย์ อ้างไม่ได้พูดจะลาออก บอกดัดแปลงความหมายไปเอง โบ้ยถ้าคับขันแต่ไม่ใช่วันนี้ ซัดรัฐละเลยค่าครองชีพปัญหาใหญ่ แต่ยันสถานการณ์ยังไม่รุนแรง ด้าน “กุลเดช” ระบุยังไม่มีใครคิด ชี้ถ้าทิ้งเก้าอี้จริงคงเหลือไว้ 50 ส.ส.เชื่อเสียงข้างมากไม่ใส่ใจ ลั่นไม่เห็นด้วยเล่นนอกสภา
วันนี้ (11 ก.ย.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีบางสื่อระบุว่า มี ส.ส.ของพรรคบางคนเตรียมจะลาออกว่า ตนไม่ได้พูดเช่นนั้น เป็นการดัดแปลงความหมายไปเอง ทุกวันนี้ยังยืนยันคำเดิมว่าสิ่งที่พูดยังพูดเหมือนเดิม คือ ตนได้รับเชิญไปออกในรายการสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง และได้พูดเปรียบเทียบสถานการณ์การเมือง เมื่อปี 2549 ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยบอยคอตไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งพรรค เพราะเป็นมติพรรคว่าครั้งหนึ่งเราเคยไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งมาแล้ว หากเทียบสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ถ้าสถานการณ์คับขันเหมือนในปี 2549 ก็อาจจะมี ส.ส.บางคนลาออก
“แต่ผมไม่ได้พูดว่าวันนี้จะมี ส.ส.ลาออก เพราะสถานการณ์การเมืองปัจจุบันยังไม่รุนแรงเหมือนปี 49 แม้โดยรวมจะถูกมองว่าถูกรุกจากหลายด้าน ซึ่งผมก็เข้าใจว่ารัฐบาลเองก็ตระหนักในเรื่องนี้ว่ามีกระแสต่อต้านในหลายเรื่องที่รัฐบาลไม่แก้ปัญหาให้ประชาชน ปัจจัยหลักหากรัฐบาลยังดื้อดึงที่จะออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมล้างผิดให้กับคนที่มีคดีหมิ่นสถาบัน ทุจริต คอร์รัปชัน และคดีอาญา ทั้งฆ่าทั้งเผา สิ่งเหล่านี้จะเกิดกระแสต่อต้านรุนแรงแน่นอน” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
ทั้งนี้ส่วนตัว นายนิพิฏฐ์ มองว่า การที่รัฐบาลละเลยปัญหาปากท้องค่าครองชีพ ทั้งที่เราขาดดุลการค้าต่อเนื่องมาตลอด แต่รัฐบาลยังเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของส.ว.เรื่องนี้จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต เพราะจะเป็นการทำลายหลักการถ่วงดุลทางการปกครอง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ประชาชนไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย
“สถานการณ์วันนี้จึงอยู่ที่การแก้รัฐธรรมนูญ แม้ฝ่ายค้านจะถูกรุกปิดปากไม่ให้ทำหน้าที่ แต่ยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่หลายคนคาดการณ์ไว้ว่าจะมี ส.ส.ลาออกไป ทั้งหมดจึงอยู่ที่รัฐบาลว่าจะเป็นคนปลดชนวนในสิ่งที่ได้จุดขึ้นเอง ทั้งหมดอยู่ที่รัฐบาลไม่ใช่เรา” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
ด้าน นายกุลเดช พัวพัฒนกุล ส.ส.อุทัยธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นมีเพื่อน ส.ส.คนใดเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ แต่หากจะมีคนลาออกจริง อย่างน้อยก็ต้องเหลือไว้ไม่น้อยกว่า 50 คน เพราะยังจำเป็นต้องอาศัยอำนาจ ส.ส.ในการยื่นตีความกฎหมายต่างๆ ที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งหากลาออกทั้งพรรคก็ไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ และมีการประเมินว่า การต่อสู้ทางการเมืองในยุคนี้ได้เปลี่ยนไปจากรูปแบบเดิมๆ คือ ฝ่ายเสียงข้างไม่ได้สนใจกับการลาออกของเรา เพราะเชื่อว่า ถ้าเราลาออกทั้งพรรค ทางฝ่ายรัฐบาลก็จะเสนอให้มีการเลือกตั้งซ่อมแทน ส.ส.ที่ลาออกไป สุดท้ายก็จะทำให้เสียงข้างมากยึดสภาได้เบ็ดเสร็จ แม้ทางพรรคจะมีการเลื่อนลำดับบัญชีรายชื่อขึ้นมาก็มีแค่ 40 คนในสภา อีกทั้งยังล้วนแต่ยังอ่อนประสบการณ์ทางการเมือง ก็จะเพลี่ยงพล้ำต่อเสียงข้างมากได้
“ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยที่จะให้ ส.ส.พรรคลาออกมาเล่นนอกสภา แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากประชาชนให้เราออกมาก็ตาม เพราะเมื่อลาออกแล้วก็จะไม่มีอำนาจที่จะยื่นตีความด้านกฎหมาย เมื่อถึงวันนั้นประชาชนก็จะย้อนถามว่าพรรคเราทำอะไรกันอยู่ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าเราจะสูญเสียอำนาจที่มีในสภาทันที” นายกุลเดช กล่าว