“องอาจ” เรียกร้องวิปรัฐบาลทบทวนเรียกประชุมร่วมรัฐสภาสัปดาห์หน้า 5 วัน เปิดโอกาสให้ประชุมสภาฯ พิจารณาความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่าเร่งแก้ รธน. พร้อมไล่รัฐบาลเร่งแก้ของแพง จริงใจสางปัญหาชาวสวนยาง
วันนี้(8 ก.ย.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมรัฐสภา และสภาผู้แทนราษฎร ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาวาระสำคัญต่างๆ เช่น ญัตติแก้ปัญหาค่าครองชีพ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่า ฝ่ายรัฐบาลมีพฤติกรรมเสนอปิดอภิปรายเพื่อปิดปากฝ่ายค้าน ถือว่าใช้รัฐสภาเป็นเครื่องมือปิดปากฝ่ายค้าน ทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่ผู้แทนประชาชนได้ และเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างมากหากมีการเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านทำหน้าที่สมบูรณ์น่าจะเกิดประโยชน์ต่อสังคม และประเทศเทศชาติมากกว่า แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็น “พฤติกรรมเผด็จการรัฐสภา” จึงขอเรียกร้องรัฐบาลให้ยุติการกระทำที่มีพฤติกรรมปิดปาก ส.ส.ฝ่ายค้าน และขอให้เปิดใจรับฟังความเดือดร้อนประชาชนด้วย
ส่วนการนัดประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในสัปดาห์หน้า 5 วันนั้น ขอให้วิปรัฐบาลพิจารณากำหนดวันเวลาประชุมใหม่ เพราะควรเปิดโอกาสให้ ส.ส. ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธ และพฤหัสบดีตามปกติ เพราะประชาชนมีความเดือดร้อนหลายเรื่อง ควรเปิดโอกาสให้ ส.ส.ทำหน้าที่ในวันพุธ และวันพฤหัสบดี และควรคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนมากกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำคัญกว่าการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน
นอกจากนี้ รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพ เช่น การขึ้นราคาแก๊สแอลพีจี ค่าทางด่วน ค่าไฟ โดยเห็นได้จากสินค้าหลายตัวที่เกี่ยวข้องกับประชาชนขยับขึ้นราคาทำให้กระทบต่อประชาชน แต่เมื่อดูการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลยังเป็นไปในทิศทางที่ไม่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะช่วยค่าครองชีพประชาชนได้อย่างไร ทั้งที่รู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดผลกระทบต่อประชาชน แต่ขณะนี้ยังแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อ้างว่าของแพงเป็นไปตามกลไกตลาด หรือประชาชนรู้สึกไปเอง ถือเป็นการซ้ำเติมประชาชน
อีกทั้งหากลงพื้นที่ต่างๆ ก็มีสินค้าราคาแพงระบาดทั่วประเทศแล้ว แทนที่รัฐบาลจะหามาตรการแก้ไขปัญหาแต่ยังใช้วิธีเดิม เช่น จัดโครงการธงฟ้าราคาถูก ซึ่งข้อเท็จจริงประชาชนเขาซื้อสินค้าไม่ถึงชั่วโมงก็หมดแล้ว และขายบางพื้นที่เท่านั้น จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาที่ต้นเหตุให้เป็นระบบ รีบดำเนินการแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติในสภาพปัจจุบัน
นายองอาจ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวสวนยางพาราของรัฐบาลที่แก้ไขปัญหาด้วยความล่าช้า เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา ชาวสวนยางเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาโดยสันติ แต่ไม่มีใครสนใจแก้ไขปัญหา รัฐบาลทำเป็นทองไม่รู้ร้อน กระทั่งเกษตรกรชาวสวนยางทนต่อไปไม่ไหวจึงต้องชุมนุม แต่รัฐบาลไม่ดูดำดูดีกลับส่งคนไม่มีอำนาจไปพูดคุย เช่น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้เห็นถึงความไม่จริงใจจึงยกระดับขึ้นมา
ทั้งนี้ การสลายการชุมนุมนั้นเป็นอุทาหรณ์ของรัฐบาลว่าไม่ควรปล่อยให้การเรียกร้องเกิดขึ้นโดยรัฐบาลนิ่งเฉยไม่ทำอะไร เพราะหากเจรจาต่อรองตั้งแต่ต้นปัญหาก็จะไม่บานปลาย ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรอีกหลายกลุ่มที่เตรียมเคลื่อนไหวด้วย เช่น เกษตรกรปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพด
นายองอาจ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาราคายางพาราของรัฐบาล พบว่า 1.มีพฤติกรรมใส่ร้ายชาวสวนยาง 2.กล่าวหาว่ามีนักการเมืองในพื้นที่สนับสุนนเพื่อนำไปสู่การล้มรัฐบาล 3.ใช้วิธีการแบ่งแยกประชาชนในกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อบั่นทอนการชุมนุม 4.การใช้กลไกของรัฐบาลสร้างกระแสสังคมให้เกลียดชังผู้ชุมนุม และ 5.ใช้กำลังจัดการผู้ชุมนุมเกินกว่าเหตุ ซึ่งขณะนี้การชุมนุมยุติชั่วคราว แต่ยังมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลชดเชย 90 บาทต่อกิโลกรัม ระยะเวลา 7 วัน และต้องผลักดันให้ถึง 100 บาท ในระยะเวลา 3 เดือน หากรัฐบาลดำเนินการไม่ชอบมาพากลการชุมนุมก็จะเกิดขึ้นอีก ซึ่งนายกฯ ต้องเร่งแก้ปัญหาการชุมนุมของประชาชนเพราะเดือดร้อนจริงๆ และควรดำเนินการ มีท่าทีผ่อนปรนมากกว่าแข็งกร้าว ต้องเอาปัญหาประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ควรเอาความต้องการรัฐบาลเป็นตัวตั้ง และต้องจริงใจแก้ปัญหาอย่างจริง อย่าใช้เล่ห์เพทุบายต่อผู้ชุมนุม หากรัฐบาลจริงใจจะทำให้การพูดคุยหาทางออกได้ และขอให้นายกฯ สั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับแก้ปัญหาชาวสวนยางอย่างจริงใจ