"สนธิ" งัดข้อมูลโชว์ ชี้ชัดราคาสินค้าแพงขึ้นทุกตัวไม่ได้คิดไปเองแบบที่ปลัดพณ.พูด เผยค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนเพิ่มจากปี 54 ถึง 23% แต่ค่าแรงขึ้นแค่ 10% สะท้อนรัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารประเทศเพียงแค่ให้พวกตัวเองร่ำรวย ไม่ได้ทำตามที่หาเสียงไว้แม้แต่น้อย ชี้ประเทศเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจชอกช้ำมากและจะเลวร้ายลงไปอีก พร้อมชำแหละต้นเหตุปัญหาการศึกษาไทยอยู่ที่กระทรวงศึกษาฯ ย้ำถ้าเปลี่ยนประเทศได้ต้องทำกระทรวงศึกษาฯให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้
วันที่ 6 ก.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเอเอสทีวี กล่าวในรายการ "คนเคาะข่าว" ถึงกรณีที่ นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ บอกว่าของไม่ได้แพงขึ้นแต่เป็นความรู้สึก ว่า ต้องถือเป็นโชคดีที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์จะเกษียณอีก 20 กว่าวันแล้ว และที่ขึ้นมาเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ถือว่าเป็นเวรกรรมของชาติบ้านเมือง เรื่องของแพงหรือไม่แพงมันต้องดูแลทั้งกระบวนการ ไม่ใช่มาดูแลเฉพาะตอนจบ แล้วถ้าจะมาสรุปง่ายๆแบบเด็กประถม 1 ว่าต้นทุนเท่านี้ก็ต้องบวกไปเท่านี้ อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ก็ได้
ตนจะทำนายอนาคต นางวัชรี ล่วงหน้าเลยว่าวันหนึ่งข้างหน้าต้องตกเป็นจำเลยในเรื่องจำนำข้าวถึงแม้จะเกษียณไปแล้วก็ตาม เพราะก่อนนี้ออกตัวแรงมากในเรื่องข้าว ขอฟันธงแล้วกันว่า จำเลยที่ 1 จะชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 2 นายกิตติรัตน์ 3 นายบุญทรง และ 4 นางวัชรี ไม่เกิน 3 ปี โดนแน่นอนงานนี้
นายสนธิ กล่าวว่า ข้อมูลจากตลาดไท เห็นได้ชัดว่าราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นทุกตัว นอกจากนี้ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทยปี 2556 โดยใช้ปี 2554 เป็นฐานก็คือ 2 ปี จะเห็นได้ว่า ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนทฤษฎี 2 ของเจ้าสัวซีพีนั้น โดยพื้นฐานแล้วราคาของมันจะขึ้นก่อนที่เงินเดือนจะขึ้นด้วยซ้ำ และก็ในทางกลับกัน ตัวดีก็คือบริษัทใหญ่อย่างซีพี เป็นคนที่วางแผนขึ้นราคาก่อนล่วงหน้า ฉะนั้นคนที่ได้เปรียบก็คือบริษัทท่านเจ้าสัว แต่พวกคนค้าระดับเล็กระดับกลางเจ๊งฉิบหายวายป่วงหมด
ทีนี้มาดูค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนของคนกรุงเทพฯเทียบปี 54 กับปี 56 สมมุติมีพ่อแม่และลูก 2 คน ค่าใช้จ่ายก็มี 1. ค่าน้ำมันรถ ปี 2554 จ่ายเดือนละ 10,000 บาท ปี 2556 เพิ่มเป็น 11,000 บาท ค่าทางด่วนจาก 2,000 บาท เป็น 22,000 บาท ค่าเทอมลูกหารเฉลี่ยต่อเดือน 4,000 บาท เพิ่มเป็น 4,400 ค่าขนมลูกเดือนละ 2,000 บาท เพิ่มเป็น 3,000 บาท ค่าน้ำ 400 เพิ่มเป็น 500 ค่าไฟ 2,500 เป็น 3,000 ค่าแก๊ส 800 มาเป็น 1,000 ค่าอาหารและของใช้เบ็ดเตล็ดจากเดิมใช้ประมาณ 8,000 บาท ปี 56 ใช้ 12,000 ค่าโทรศัพท์ที่บ้าน มือถือ เคเบิล อินเตอร์เน็ต 4,500 กลายเป็น 5,000 เท่ากับว่า ปี 54 ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของพ่อแม่และลูก 2 คน เดือนละ 34,200 บาท ปี 56 เพิ่มเป็น 41,100 บาท เท่ากับเพิ่มขึ้น 23% นี่ยังไม่นับค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าประกันสุขภาพ ค่าประกันชีวิต ค่าใช้จ่าย ซื้อของ แต่งตัว เสื้อผ้า ค่าเลี้ยงดูบุพการี แต่เงินเดือนขึ้นแค่ 10 %
อันนี้ชัดเจน มันพิสูจน์ว่า 2 ปีกว่า ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามา พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้กลุ่มตัวเองร่ำรวย เพราะถ้าไม่พยายามทำให้กลุ่มตัวเองร่ำรวยค่าพลังงานจะไม่สูงขนาดนี้ จำได้ไหมที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หาเสียงว่าจะกระชากค่าครองชีพ น้ำมันลงลิตรละ 7 บาทกว่า ไม่มีลง มีแต่ขึ้น นี่คือการโกหกตอแหล จะเห็นได้ชัดว่าประเทศไทยในขณะนี้ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจที่มันชอกช้ำมาก และจะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ค่าแรง 300 บาท ก็ทำบริษัทเล็กๆ เจ๊งไปแล้ว 4 แสนราย คนตกงานแล้ว 2 ล้านคน ร้านค้าทั่วไปซบเซาอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลชุดนี้มันฆ่าคนชนชั้นกลาง ฆ่าการจับจ่ายใช้สอยด้วยนโยบายรถคันแรก
วันนี้มันใกล้เข้ามาทุกที เหมือนที่บอกว่าเมืองไทยต้องให้มันล่มสลายก่อน ตัวเราเองยังไม่รู้จะเอาตัวรอดได้แค่ไหน แม้กระทั่งเอเอสทีวีก็อยู่บนความไม่แน่นอนเหมือนกัน เหตุผลทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันนอกเหนือตัวเราที่จะไปทำอะไรได้ เพราะได้รัฐบาลที่บัดซบ ได้ระบบการเมืองที่เป็นเดรัจฉาน เพราะฉะนั้นคนไทยก็ต้องก้มหน้ารับกรรมไป แล้วยังเสือกมีคนไทยที่โง่ ฝ่ายหนึ่งก็หลง ทักษิณ ชินวัตร ฝ่ายหนึ่งก็หลง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนี้ดูให้ดีๆมีอยู่ 2 ฝ่ายเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องมือของแต่ละฝ่าย บุญจริงๆที่พันธมิตรฯถอนตัวออกมาได้ เพราะตนดูแล้วว่าไปไม่รอด หลบออกมาแล้วมาสร้างชุมชนของเราเองให้เข้มแข็ง จะมีมากมีน้อยไม่สำคัญ ขอให้คนพวกนี้หลุดพ้นจากวังวนอุบาทว์
นายสนธิ ยังกล่าวถึงการศึกษาของไทยที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสุดท้ายของอาเซียน ว่า ที่คุณภาพการศึกษามันต่ำเพราะว่า 1.คุณภาพเด็กที่จบมัธยมมันต่ำอยู่แล้ว ก็เลยทำให้ปริญญาตรี - โทต่ำ และพอการศึกษาของไทยก้าวเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ประเภทจ่ายครบจบแน่ เลยทำให้ทุกอย่างต่ำลงไปหมดเลย เพราะมันเน้นที่ปริมาณ น่าสนใจอย่างหนึ่ง สมัยก่อนที่การศึกษายังไม่ออกนอกระบบ ทำไมการศึกษาคุณภาพสูง แต่พอออกนอกระบบแล้ว อ้างว่าทำให้ผู้บริหารสถาบันการศึกษา มีความคล่องตัวในการบริหาร แต่พอคล่องตัวแล้วคุณภาพกลับต่ำกว่าอยู่ในระบบ บางทีอาจจะต้องกลับไปอยู่ในระบบเหมือนเดิม
ข้อที่ 2.ค่านิยมของการศึกษา สมัยหนึ่งคนมองว่าเรียนจบแค่ ม.8 (ม.6) ก็พอ แต่พอสมัยนี้คนที่เรียนปริญญาตรีแทบจะร้อยละ 80-90 จะบอกว่าอยากต่อโท โดยที่ไม่รู้ว่าต่อเพื่ออะไร รู้แต่ว่าจำเป็น เพื่อให้ได้รู้ว่าจบปริญญาโทแล้ว ฉะนั้นแล้วคุณค่าของคำว่าปริญญาโทในเชิงของคุณภาพแทบจะไม่มีการพูดถึง แต่จะพูดถึงในเชิงภาพพจน์ ในเชิงของศักดิ์ศรีมากกว่า และเมื่อพิจารณาปริญญาโททั่วประเทศไม่เว้นจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ จะเห็นว่าปริมาณเด็กที่เรียนปริญญาโทเยอะมาก ซึ่งแปลกมาก ค่าเรียน 40,000-50,000 บาท ต่อเทอม แล้วชั้นหนึ่งต้องมีไม่ต่ำกว่า 40 หรือ 50 คน บางแห่งปริญญาเอกชั้นหนึ่งเรียนถึง 40 คน ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ชัดว่าเมื่อค่านิยมมันผิด คุณภาพการศึกษาเลยถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เอาค่านิยมมาตั้งไว้ข้างหน้าก่อน
จากนั้น นายสนธิ ได้อ่านจดหมายจากอดีตคุณครูท่านหนึ่งที่ส่งจดหมายมาบรรยายถึงสาเหตุความตกต่ำของการศึกษาไทย สรุปได้ว่า "1. เด็กไทยมีวันหยุดเยอะมาก บวกกับการที่ครูต้องไปอบรม ดูงาน ลากิจ ลาป่วย ตกแล้วปีนึงเด็กไทยเหลือวันได้เรียนแค่ 145 วัน 2.ผู้ปกครองตามใจเด็ก ครูดุไม่ได้ ตีไม่ได้ ไม่ฝึกให้เด็กใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ แต่กลับให้เด็กเล่นเกม เพราะคิดว่าเล่นเกมอยู่ในบ้านดีกว่าออกไปนอกบ้าน 3. ตัวเด็กขาดความรับผิดชอบต่อตนเอง ไม่อยากไปโรงเรียน ติดเพื่อน ตามแบบอย่างเพื่อน ไม่ตั้งใจเรียน ขาดความกระตือรือร้น 4.ตัวครู ซึ่งอันนี้น่าสนใจมาก ครูต้องไปอบรม เด็กถูกละทิ้ง ครูให้เด็กเรียนกับครูตู้ ไม่กำกับดูแล ครูจะไปธุระส่วนตัวบ่อย ลากิจ ลาป่วย มีปัญหาหนี้สิน จึงไม่มีสมาธิที่จะเตรียมการสอนเพื่อเด็ก ครูตั้งหน้าตั้งตาทำแต่วิทยฐานะเพื่อเลื่อนตำแหน่ง เพื่อให้ได้เงินเดือนสูงๆ มีเงินประจำตำแหน่งคนละหลายๆ หมื่น 5. ครูไม่พอเพียง แล้วจะสอนให้เด็กพอเพียงได้อย่างไร ปัจจุบันเงินเดือนครูสูงมาก ครูที่อายุ 40 ปีขึ้นไป เงินเดือนจะสูง ครูส่วนมากร่ำรวย มีที่อยู่อาศัย 1 หลังไม่พอ ต้องมี 2 - 3 หลัง ตลอดอายุราชการผ่อนไม่รู้จักหมด ครูกู้เงินไปสร้างหลักทรัพย์ ซื้อที่ดินและรถหรูๆ เวลาไปประชุมใช้อวดกัน ส่วนครูบรรจุใหม่เงินเดือน 10,000-15,000 บาท จะถูกครูรุ่นพี่เอาเปรียบ ถ้ารักจะเรียนต่อต้องประหยัดอดมื้อกินมื้อ
6. งบประมาณ ผู้บริหารและครูจะรู้กัน โดยผู้บริหารต้องการเงินรายหัวเด็ก แต่เด็กได้ไม่ครบ โดยโยกย้ายซิกแซกไปให้ครูด้วย เช่น โรงเรียนมีนักเรียน 100 คน คนละ 1,500 บาท บางโรงเรียนบริหารแบบครูกินกับเด็ก เงิน 1,500 บาท เด็กได้กิน 1,000 บาท ครูได้กิน 500 บาทต่อวัน ครูกินอาหารกลางวันโดยใช้เงินของเด็ก หรือ 500 บาทนี้ไปจ้างแม่ครัวมาทำงานแทนครู บางโรงเรียนไปขอใบเสร็จมาจากร้าน ร้านขอร้อยละ 10-20 โรงเรียนก็ยอม โรงเรียนทำใบส่งขอใบเสร็จไปทำเรื่องมาเบิกเงินใช้ทั่วไป ถ้าใช้สอยในโรงเรียนถึงเด็กบ้างก็ยังดี แต่บางโรงเรียนผู้บริหารเอาเข้ากระเป๋าไปใช้อะไรไม่รู้ ที่ไหนก็มีทุจริต ครูไม่มีคุณธรรม แล้วจะสอนให้เด็กมีคุณธรรม ไม่รู้จักอายบ้างหรือ 7. ปัญหาจากเขตพื้นที่การศึกษา เศรษฐกิจ โครงการเพื่อขอจัดตั้งงบประมาณ นำเงินมาใช้ในการบริหารบุคลากรเป็นส่วนมาก และจะจัดอบรมบ่อยมากในวันธรรมดาเวลาราชการและเด็กจะได้ความรู้อะไรจากครู ครูจะเข้าอบรมเพื่อต้องให้เกียรติบัตร เป็นผลงานไว้เลื่อนวิทยฐานะ 8. ปัญหาจากผู้บริหารระดับสูงกว่าเขตที่กำหนดนโยบายให้โรงเรียนปฏิบัตินั้นเพ้อฝันมาก คาดหวังสูงจนเด็กไม่ได้อะไรจากครู ครูก็โทษเด็กว่าดื้อไม่ตั้งใจเรียน ครูและผู้บริหารก็โทษผู้ปกครอง สำนักงานเขตก็มองครูว่าสอนเด็กไม่ดี ต้องให้ครูไปอบรม ครูเขตก็มองผู้ออกข้อสอบไม่ดี เพราะเด็กแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน
ครูเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เยาวชนไทยเป็นคนที่ไม่ดี ไม่มีคุณธรรม ครูเป็นส่วนหนึ่งที่เหมือนโจรปล้นชาติ ปล้นเงินภาษี ยิ่งเทงบประมาณลงไปมากเท่าไหร่ ก็ทุจริตกันมากเท่านั้น"
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ปัญหาการศึกษาบ้านเราอยู่ที่กระทรวงศึกษาฯ ถึงบอกว่าถ้าเปลี่ยนประเทศ เราต้องทำกระทรวงศึกษาฯให้มันเล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ เพราะมันมีแต่ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ อยากได้อำนาจ วันนี้พิสูจน์ได้จากจดหมายฉบับนี้ ชัดเจนเลยว่าครูรวย ที่เป็นหนี้ที่แท้กู้ไปซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อที่ เพื่ออวดกัน มันถึงไม่น่าประหลาดใจที่คุณภาพการศึกษาไทยจะอยู่อันดับที่ 8
นายสนธิ ยังกล่าวว่า ช่วงหลังมหาวิทยาลัยเอกชนมันเกินไป โขก ขูดรีด เอาเปรียบ บนความไม่รู้ของพ่อแม่และเด็ก หลายต่อหลายวิชาไม่ควรจะเกิดมา อย่างเช่นภาควิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม ทุกคนหวังว่าจบแล้วจะต้องทำงานโรงแรม ได้แต่งตัวสวยๆ พูดภาษาอังกฤษ แต่จบไปทีไรไปเป็นคนเสิร์ฟในห้องอาหาร หรือว่าภาควิชา Business English คือใช้ภาษาอังกฤษในวงการธุรกิจ หรืออีกนัยหนึ่งคือเลขาฯ ซึ่งมันแค่จบระดับ ปวส.ก็พอ Business Computers คือการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำธุรกิจ เป็นเลขาฯนั่นเอง ของพวกนี้ไม่ควรจะเป็นหลักสูตรปริญญาตรีเลยแม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวนี้มาถึงขนาดธุรกิจการบินแล้ว เหมือนกับว่าถ้าเรียนจบแล้วจะต้องเข้าสายการบินได้อย่างแน่นอน และปรากฏว่าพอเข้าไม่ได้แล้วไปทำอะไรเป็น เพราะเรียนธุรกิจการบินแล้วจะไปบินที่ไหน ที่สำคัญที่สุดมันลามไปจนถึงมหาวิทยาลัยรัฐแล้วด้วย
พื้นฐานการศึกษาคน ปรัชญา สังคมศาสตร์ สำคัญมาก พอจบแล้วถ้าอยากจะไปเข้าสาขาวิชาชีพไหนควรจะมีสถาบันที่สอนแค่ปีเดียว เฉพาะวิชาชีพนั้น Foundation ต้องแข็ง ที่ทำให้นักเรียนเป็นมนุษย์ มีความคิดความอ่าน มีจริยธรรมศีลธรรม แต่ตอนนี้มันพังหมดแล้ว มันโดนทำลายหมดเลย
นายสนธิ ได้กล่าวถึงปัญหาราคายางพาราด้วยว่า การที่จะรับประกันราคายาง ไม่ว่าจะกี่บาทก็ตาม รัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน เพราะว่าล่าสุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โวยแล้วว่าการจำนำข้าวครั้งนี้รัฐบาลต้องเอาเงินมา จะให้ออกเงินล่วงหน้าก่อนไม่ได้ เพราะที่ ธ.ก.ส. ออกไปคราวที่แล้วไม่ยอมคืน แสดงว่ารัฐบาลถังแตกจริงๆ แล้วถ้าหาเงินจัดการให้ชาวสวนยางไม่ได้ตามที่รับปากเป็นเรื่องแน่ แล้วตนก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน เพราะวันนี้มันไม่มีจริงๆ นอกจากต้องไปกู้เพิ่มอีก แล้วจะกู้ได้ไหมในเมื่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมาก จีดีพีที่ตั้งไว้ 6 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดประเมินออกมาใหม่เหลือ 3.5 เปอร์เซ็นต์ และปีหน้าก็แนวโน้มจะต่ำกว่า 3.5 เปอร์เซ็นต์อีก เพราะฉะนั้นรัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์ทำชาติบ้านเมืองตกต่ำมาก
นายสนธิ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหายางในขณะนี้ไม่ยั่งยืน เป็นการแก้เพื่อให้ม็อบสลายตัวเท่านั้นเอง แล้วจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นมาอีกที ฉะนั้นตนมองว่าข้อดีของยางมันไม่เหมือนข้าว ข้าวทิ้งไว้ในโกดังไม่เกิน 6 เดือนก็เริ่มเน่าแล้ว แต่ยางซื้อเก็บไว้ปีสองปีไม่เน่า ตนเห็นว่ารัฐบาลควรตั้งกองทุนยางขนาดใหญ่ซื้อยางเพื่อเก็บสะสมไว้ แล้วค่อยๆระบายขายออกไปในเวลาที่ราคาขึ้น โอกาสรอดระยะยาวก็อาจจะมี
นอกจากนี้ไม่มีใครพูดถึงอุตสาหกรรมยาง เพิ่งจะมาพูดตอนหลังจากที่เกิดปัญหา ซึ่งตนพูดไปก็หาว่าเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่พรรคประชาธิปัตย์อยู่ภาคใต้มากี่สิบปีแล้ว ทำไมปล่อยให้คนใต้มีปัญญาแค่กรีดยาง ทำยางแผ่น เอายางมารมควันแล้วส่งออก จบแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นคนใต้นอกจากตำหนิรัฐบาลว่าไม่ยุติธรรม 2 มาตรฐาน ระหว่างข้าวกับยาง ก็ต้องมองเหมือนกันว่าปลูกยางมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นย่า 60 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เป็น ส.ส.ทางใต้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้พัฒนายางขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว ความผิดอยู่ที่ใคร นี่คือปัญหา ประเทศไทยตอนนี้เหมือนหมาขี้เรื้อน แตะไปตรงไหนมีเรื้อนทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ถึงบอกว่าคนไทยต้องทุ่มเทจิตใจ ปัญญาในการเปลี่ยนประเทศไทยให้ได้ แค่สลับขั้วมันก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม
นายสนธิ กล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์วันนี้เป็นพรรคที่น่าสงสารที่สุด กระอักกระอ่วนขยับไปไหนก็ไม่ได้ จะชกเต็มหมัดก็ไม่กล้า เพราะว่าตัวเองจะเอาแต่ได้อย่างเดียว ไม่ยอมเสีย ที่ตนเชิญชวนให้ลาออก ถ้าออกมาตอนนั้นป่านนี้จบไปแล้ว ยิ่งวันนี้มีม็อบยางด้วยยิ่งผสมผสานกัน วันนี้เปลี่ยนประเทศไทยได้แล้ว
พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันเปลี่ยนระบอบนี้ได้ เพราะว่าก็เหมือนกับพรรคเพื่อไทย เขามีผลประโยชน์อยู่ในระบบการเมืองแบบนี้ เมื่อคืน นายเชน เทือกสุบรรณ เอาเก้าอี้ทุ่มในสภา ตนขอถามว่าแล้วยังไง หรือนี่คือต้องการแสดงออกให้เห็นว่าทำให้สุดๆแล้วนะในสภา ถึงขนาดทุ่มเก้าอี้เลยนะ ได้เพียงแค่นี้จริงๆ แล้วใช้ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ออกหน้าคนเดียว แต่ผู้ใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ อย่าง นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายชวน หลีกภัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำไมต้องกลัวด้วย ทำไมต้องรอให้ตำรวจสลายม็อบยาง ทำไมไม่ลงไปเลย ในฐานะเป็นตัวแทนชาวบ้าน
คำต่อคำ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ศุกร์ที่ 6 ก.ย. 2556
รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2556 เวลา 20.00-22.30 น. ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และ น.ส.กมลพร วรกุล ร่วมดำเนินรายการ
จินดารัตน์ - สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการคุยทุกเรื่องกับสนธินะคะ วันนี้น้องเก๋ กมลพร มานั่งอยู่กับเรา และต้องทักทายเจ้าของรายการก่อนนะคะ สวัสดีค่ะคุณสนธิ
สนธิ - สวัสดีครับ
จินดารัตน์ - วันนี้มามาดหล่อนะคะ มาดหล่อเพราะว่าต้องเตรียมเนื้อหาเต็มที่ วันนี้เราจะจัดรายการจนถึงตี 2
กมลพร - บ้านเมืองจับไปตรงไหน ปัญหามันเยอะ
จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ คือมันหลากหลายปัญหาที่เราจะหยิบยกขึ้นมาพูด วันนี้แอนเชื่อว่าคุณผู้ชมจะต้องนั่งแล้วพยักหน้า อืม ใช่เลย ใช่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
กมลพร - ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรู้สึกว่าข้าวของเราราคาสูงขึ้น
จินดารัตน์ - ตกลงความรู้สึกใช่มั้ย
กมลพร - รู้สึก เหมือนวันนี้การ์ตูนบัญชา คามิน เขาบอกว่าอย่ารู้สึกไปเองนะ เดี๋ยวเดินตลาดจะได้รู้สึกไปเองบ้าง
จินดารัตน - เวลาโดนตบน่ะเหรอ
กมลพร - ใช่ / เรื่องของการศึกษาก็มีปัญหา จะเข้าสู่เออีซีแล้ว
จินดารัตน์ - เขาจัดอันดับแล้วนี่
กมลพร - จัดอันดับแล้ว เราก็มา ...
จินดารัตน์ - หน้าชื่นตาบานนะ อันดับ 8 รองจากเวียดนาม และกัมพูชาด้วยซ้ำ
กมลพร - แล้วแทนที่รัฐมนตรีฯ ศึกษาจะไปมองว่าปัญหาของการศึกษาคืออะไร กลับไปมองว่ามาตรฐานของการสอบของเขาอาจจะไม่ใช่มาตรฐานของเราก็ได้
จินดารัตน์ - มันเป็นแบบอินเตอร์
กมลพร - ถูก
จินดารัตน์ - ก็ไหนว่าจะเข้าเออีซี เดี๋ยวต้องให้คุณสนธิเล่าเรื่องนี้ / เรื่องม็อบสวนยาง วันนี้ก็อิรุงตุงนัง มีโฟนอิน คุณเอียด ตอนนี้ก็สลายการชุมนุมไปแล้ว
กมลพร - มีความพยายามลักไก่ของฝ่ายรัฐบาลว่า ตกลงกันแล้วราคาเท่านี้ โอเคเรียบร้อยเดี๋ยวเปิดถนน ชาวบ้านเขาก็ไม่ยอม นับจากนี้ไปเขาจะยกระดับในการปิดประเทศ ขอแต่ก็ฝ่ายค้านแหละค่ะ เดี๋ยวจะเอาเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมพรรคก่อน
จินดารัตน์ - ก็ฝ่ายค้านทำแล้วนะ ทุ่มเก้าอี้ในสภาฯ จะได้ซื้อตัวใหม่ตัวละ 8 ล้าน เหมือนที่นุกเขาบอกเมื่อเช้า ก็หลากหลายปัญหาเรื่องของต่างประเทศ เรื่องของซีเรียก็น่าสนใจ เรื่องม็อบสวนยางแล้ว เรื่องชีวิตเกษตรกร เรื่องนักเรียนไปแล้ว มีเรื่องอะไรอีกเก๋
กมลพร - เรื่องของคดีความก็น่าใจนะคะ บางทีคนเรามีเงินเยอะๆ มันสามารถทำให้คดีบางอย่างมันกระเด็นหายไปได้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไม่ต้องถึงปลายน้ำก็ได้
จินดารัตน์ - คือวันนี้นะคะ คุณผู้ชมคิดอะไรไม่ออก คิดถึงต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำเอาไว้ก่อน จะได้คิดออกว่า ต่อไปเราจะพูดอะไรต่อได้ งั้นก็เริ่มกันเลยดีกว่า เดี๋ยว ต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในเครือบริษัทเอเอสทีวีผู้จัดการด้วย นี่คือหนังสือที่ได้รับรางวัลกวีซีไรท์ประจำปีนี้นะคะ หัวใจห้องที่ 5 ของคุณอังคาร จันทาทิพย์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของนิตยสาร Mars พอดูเขาบอกทำงาน Mars เหรอ นักเขียนหัวใจห้องที่ 5 มันมีโป๊ไหม รับประกันได้ หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการเดินทาง ความหวัง ชีวิตยังมีหวังในขณะเดินทางเขาก็มองอะไรที่อยู่รอบตัว มันมีความหวัง และความหมายอยู่ในแต่ละสิ่งอันที่เขามองเห็น น่าสนใจก็ไปหาซื้อกันได้ ขอแสดงความยินดีกับพี่อังคารด้วย
กมลพร - มีหนังสือมาเล่มเดียวใช่ไหมคะ
จินดารัตน์ - มีมาเล่มเดียว แหม...แหลเพื่อพี่ นะคะ ตอนนี้ยอดขายกระฉูด ขายดิบขายดี ได้ข่าวว่า เร็วๆนี้จะออกรถลัมโบร์กีนีเหรอ
กมลพร - พอร์ช ค่ะ ลัมโบร์กีนี นั่นไว้ให้อีกคนหนึ่งค่ะ
จินดารัตน์ - มีการโทรมาขายๆ ให้มันหมดๆ ไปซะ ได้ข่าวว่าพิมพ์เพิ่มนะคะ
กมลพร - ตอนนี้ขายดีมากนะคะ แล้วก็คนซื้อหาคาดว่า คนที่ซื้อไปเยอะที่สุดน่าคนที่อยู่บนหน้าปก
จินดารัตน์ - ซื้อไปแจกเหรอ
กมลพร - เวลาเขาดูเขานึกว่าหนังสือชีวประวัติเขา จริงๆ
จินดารัตน์ - มองอะไรโลกสวยงาม ก็เห็นมีข่าวด้วย คือพี่ปรีชา คำอิน เขาบอกว่าจะไปโชว์ตัวที่ยุโรปอีกแล้ว แรดไทยนะ
กมลพร - โกอินเตอร์
จินดารัตน์ - เรามาเริ่มต้นด้วยเรื่องเครียด เครียดกันมาหลาย 10 กว่าวันแล้วนะคะคุณณสนธิ ตกลกว่าวันนี้ดูเหมือนว่า เขาว่ากันว่าม็อบสวนยางบางจุดโดนหลอก บางจุดเขาก็ยืนยันในราคาเดิมว่ารัฐจะต้องช่วย 100 บาท แต่บางจุดเขาบอกสลายตัวแล้วพอใจที่ 90 บาท มันจะไปยังไงดีค่ะ
สนธิ - มันเป็นเกมของรัฐบาล แล้วจริงๆ ผมคิดว่าม็อบสวนยางตกหลมพรางเขา แต่ก็อีกไปโกหกกันเนี่ย โกหกกันก็ได้ครั้งเดียวเท่านั้นเอง แล้วถ้าเกิดเขาไม่ยอมเขาบอกว่าถ้าไม่ใช่ 95 เขาไม่เอา หรือเขาบอกว่า 90 ก็ 90 สมมุตินะ คำถามที่คนไม่เคยถามเลยว่า รัฐบาลเอาตังค์จากไหนมา เพราะว่าล่าสุด ถ้าเราอ่านข่าวให้เป็น เราวิเคราะห์ให้เป็น เราจะเห็นว่าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โวยแล้วนะ บอก การจำนำข้าวครั้งนี้รัฐบาลต้องเอาเงินมานะ จะให้ ธ.ก.ส.ออกเงินล่วงหน้าให้ก่อนไม่ได้ เพราะ ธ.ก.ส.ออกไปแล้วคราวที่แล้ว ไม่ยอมคืน เก็บเงินคืนไม่ได้ แสดงว่ารัฐบาลถังแตกจริงๆ ไม่ได้ถังแตกเล่นๆ ถังแตกจริงๆ แล้วถ้าสมมุติว่าไปรับประกันด้วยราคา 90 บาท หรือจะกี่บาทก็ตาม ผมยังเชื่อว่า ถ้าหากม็อบสวนยางยอมในราคาที่รัฐบาลต้องการ ซึ่งผมคิดว่าเขาโดนหลอก และม็อบสวนยางน่าจะรู้แล้วว่าโดนหลอก โดนตีกิน ไอ้การตีกินนี่ทุกคนมันตีกินหมดเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ชอบตีกิน รัฐบาลก็ตีกิน ถ้าหาเงินจัดการให้เขาไม่ได้ภายใน 10 วัน หรือภายในเดือนนี้ เป็นเรื่องแน่ เป็นเรื่องจริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้รัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน มันไม่มีจริงๆ นะ วันนี้มันเกลี้ยงเลยนะไม่มี นอกจากรัฐบาลต้องไปกู้เพิ่มอีก รัฐบาลกู้ได้หรือเปล่า มันจะกู้ได้ไหม และประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่มันตก ตกมาก จีดีพีที่ตั้งไว้ 6 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 5 เปอร์เซ็นต์ ไล่ไปไล่มา ล่าสุดประเมินออกมาใหม่เหลือ 3.5 และปีหน้าก็แนวโน้มจะต่ำกว่า 3.5 อีก เพราะฉะนั้นรัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์มา ชาติบ้านเมืองตกต่ำมาก รวมทั้งข้าวของแพงขึ้น ซึ่งประเดี๋ยวเราจะคุยกันนะครับ
คำถามมีอยู่ว่า การแก้ไขปัญหายางในขณะนี้ มันเป็นการแก้แบบยั่งยืนหรือเปล่าก็ไม่ใช่ เป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอดเฉยๆ ต้องการแก้เพื่อไม่ต้องการให้เขามีม็อบ แค่นั้นเอง มันไม่ยั่งยืนและมันจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นมาอีกที สมมุติว่าแก้แล้ว เสร็จเรียบร้อยแล้วราคายางในโลกมันตกอีก รัฐบาลรับประกันตีซะ 90 บาท และถ้ายางทั้งประเทศเอามาขายรัฐบาลหมดเลย อย่าลืมนะ ยางที่ส่งออกเราส่งออกประมาณเกือบ 4 แสนตัน คิดเป็นเงินประมาณ 4 แสนล้านบาท 4 แสนล้านบาทรัฐบาลมีเงินพอหรือที่จะไปประกันในราคาประเภทนั้น ไม่พอ
เพราะฉะนั้นแล้วผมกลับมองว่า ข้อดีของยางมันไม่เหมือนข้าว ข้าวถ้าแอนกับเก๋ซื้อมาแล้ว และเอาไปทิ้งไว้ในโกดัง ไม่เกิน 6 เดือน ข้าวเริ่มเน่าแล้วถูกไม่ถูก ขายไม่ออกก็เน่าเสีย แต่ยางซื้อเก็บทิ้งไว้ปีสองปี ไม่เน่า และจังหวะราคายางมันมีขึ้นมีลง เศรษฐกิจจีนมันตก ปริมาณการผลิตรถยนต์เขาน้อยลง ความต้องการทางยางก็เลยน้อยลง เมื่อความต้องการทางยางน้อยลง ราคายางมันตก แต่ถ้าเศรษฐกิจเขาขึ้นมาอีก ตอนนี้เศรษฐกิจจีนปีนี้เขากะว่าจีดีพีเขาแค่ 7.7 ถ้าเขาขึ้นเป็น 8.7 หรือ 9 หรือ 10 ยางราคาขึ้นมันก็จะมี ฉะนั้นถ้ารัฐบาลตั้งกองทุนยางเป็นกองทุนใหญ่เลย ที่จะซื้อยางเพื่อเก็บสะสม แล้วค่อยๆระบายขายออกไป โอกาสรอดระยะยาวก็อาจจะมี
อันที่ 2 ไม่มีใครพูดถึงอุตสาหกรรมยาง เพิ่งจะมาพูดตอนนี้ น่าทำ พอมีปัญหาเรื่องยางขึ้นมาตัวรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นพรรคเพื่อไทยก็อยากจะโชว์วิสัยทัศน์ทันทีเลย นั่งสัมมนาบอกว่า วิทยาศาสตร์ช่วยยางได้ คำถามคือคุณเสือกมาพูดอะไรตอนนี้ ทำไมคุณไม่มาพูดตั้งแต่ตอนต้น ตั้งแต่ก่อนมีเรื่อง ไม่มีใครคิดที่จะทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมา แต่ในที่สุดก็กลับมาสู่จุดเดิมอีก ซึ่งผมไม่อยากพูดเดี๋ยวจะหาว่าเจ้าคิดเจ้าแค้น พรรคประชาธิปัตย์อยู่ภาคใต้มากี่สิบปีแล้ว ทำไมปล่อยให้คนใต้มีปัญญาแค่กรีดยาง ทำยางแผ่นเอายางมารมควันแล้วส่งออกจบแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นคนใต้วันนี้ นอกจากดูแล้วรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมันไม่ให้ความยุติธรรม 2 มาตรฐาน ระหว่างเรื่องข้าวคนอีสาน กับยางคนใต้ คนใต้ต้องยุติธรรมกับตัวเองเหมือนกันต้องคิดเป็น ว่าปลูกมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นย่า รุ่นพ่อ รุ่นแม่มาถึงรุ่นฉัน และรุ่น 60 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เป็น ส.ส.ทางใต้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้พัฒนายางขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว ความผิดอยู่ที่ใคร นี่ไงคือปัญหา ซึ่งผมคิดว่า เมื่อกี้ตอนที่เก๋กับแอนพูดเรื่องปัญหาประเทศไทย ผมเกือบจะแทรกเข้าไปแล้วบอกประเทศไทยมันเป็นหมาขี้เรื้อน เก๋ เข้าใจไหมหมาขี้เรื้อน ขี้เรื้อนนี่แตะไปตรงไหนมันมีเรื้อนทั้งหมด
จินดารัตน์ - หาพื้นที่ว่างไม่ได้
สนธิ - หาพื้นที่ว่างไม่ได้ จับเรื่องอะไรก็ฉิบหายหมด ไม่มีเหลือ เพราะฉะนั้นด้วยเหตุนี้ผมถึงบอกว่า คนไทยต้องทุ่มเทจิตใจ ปัญญาในการเปลี่ยนประเทศไทยให้ได้ ต้องการเปลี่ยนประเทศไทยให้ได้
จินดารัตน์ - ถ้าไม่เปลี่ยนแค่สลับขั้วมันก็ยังเป็น
สนธิ - แค่สลับขั้วมันก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม และพรรคประชาธิปัตย์วันนี้เป็นพรรคที่น่าสงสารที่สุด กระอักกระอ่วนขยับไปไหนก็ไม่ได้ จะชกเต็มหมัดก็ไม่กล้าชก เพราะว่าตัวเองจะเอาแต่ได้อย่างเดียว ตัวเองไม่ยอมเสียเลยนะ เหมือนอย่างที่ผมเชิญชวนให้ลาออกตอนนั้น ถ้าออกมาตอนนั้นป่าวนี้จบไปแล้ว วันนี้ยิ่งมีม็อบยางอย่างนี้ด้วยนะ ยิ่งผสมผสานกัน วันนี้เปลี่ยนประเทศไทยได้แล้ว ยังใช้วิธีตีกิน ยังใช้วิธีเอาแต่ได้ ตัวเองจะเล่นในสภาฯ และยุให้มวลชนออกข้างนอก คู่กันไป
จินดารัตน์ - คุณอภิสิทธิ์ประกาศแล้วนี่คะ ว่าวันไหนที่มีการสลายม็อบสวนยาง ผมจะไปยืนอยู่เคียงข้างประชาชน
สนธิ - พวกเขาพูดมาตั้งนานแล้วไง ถ้าวันไหนมีคนตาย สุเทพก็พูด
กมลพร - เหมือนคุณทักษิณ เสียงปืนแตก
สนธิ - เหมือนกัน นักการเมือง พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันเปลี่ยนระบอบนี้ เพราะว่าเขากับพรรคเพื่อไทยเหมือนกัน ต่างกันเขาเพียงแต่บอกว่า เขาหน้าไม่ด้านเหมือนพรรคเพื่อไทย กลับไปสู่จุดเดิมที่ผมบอก พรรคเพื่อไทยมันคือการปล้นกลางแดด ไอ้เสือเอาวาคาดผ้าประเจียดสักยันต์ ถืออีดาบแล้วตะโกน ไอ้เสือเอาวา แต่พรรคประชาธิปัตย์ใส่เสื้อนอกแล้วปล้น พูดดีๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วเขามีผลประโยชน์อยู่ในระบบการเมืองแบบนี้ เขาถึงอีหลักอีเหลื่อไง เขาถึงไปไหนไม่ได้ จะออกมาไม่ได้ เป็น ส.ส. เหมือนเมื่อคืนนายเชน เทือกสุบรรณ เอาเก้าอี้ทุ่ม แล้วผมก็ถามต่อแล้วยังไง
กมลพร - แล้วคุณอภิสิทธิ์ก็ออกมาขอโทษ เพราะคุณเชนอึดอัดใจ
สนธิ - แล้วยังไง คือต้องการแสดงออกให้เห็นว่านี่ผมทำให้สุดๆ แล้วนะในสภาฯ ผมถึงขนาดทุ่มเก้าอี้เลยนะ แล้วยังไง
จินดารัตน์ - แอนก็เปิดเพลงลิเกต่อเลยค่ะ เตร๊งเตรงเตร่งเตร๊ง เตรงเตร่งเตร๊งเตรงเตร่ง
สนธิ - ได้เพียงแค่นี้จริงๆ เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าไม่เข้าใจคนพวกนี้ แต่พูดอีกทีในทางมุมกลับ ผมเข้าใจเขาดีนะ แต่ว่าประชาชนทั่วไปไม่เข้าใจ สาวกพรรคประชาธิปัตย์ช่วงหลังนี่เงียบ ตั้งแต่เจอม็อบยาง ตั้งแต่เห็นพรรคประชาธิปัตย์มีปฏิกิริยาต่อม็อบ แล้วเขาก็ใช้คุณนิพิฏฐ์ นิพิฏฐ์โอเค ใช้ได้ ใช้นิพิฏฐ์ลุยอยู่คนเดียว แล้วไอ้ผู้ใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ บัญญัติ บรรทัดฐาน ชวน หลีกภัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำไมคุณต้องกลัวด้วย ทำไมคุณจะต้องรอให้มีตำรวจสลายม็อบยางทำไมคุณไม่ลงไปเลย ถ้าคุณจะไม่ออกจากสภาฯ คุณลงไปร่วมเขาด้วย ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย
กมลพร - อย่างน้อย ส.ส.ในพื้นที่ไปยืนอยู่กับคนในพื้นที่ก็ได้
สนธิ - เป็นตัวแทนเขา อย่างน้อยนครศรีธรรมราช ประจวบฯ ชุมพร ตรัง คุณลงไปสิ บอกพ่อแม่พี่น้อง ผมได้รับเลือกตั้งจากพ่อแม่พี่น้อง วันนี้พ่อแม่พี่น้องลำบากผมต้องมาร่วมด้วย ทำไมไอ้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยมันถึงไปขึ้นเวทีเสื้อแดง ทำไมคุณไม่กล้าบ้าง เปลืองตัว รอตีกิน ผมรูปหล่อ ผมเล่นการเมืองในระบบ ทุกอย่างต้องจบลงในสภาฯ แล้วไอ้ที่คุณไปเดินผ่างาช้างออกจากปากหมาแถวๆ เวทีต่างๆ แถวกรุงเทพฯ ผ่าความจริงอะไรของคุณน่ะ คุณทำทำไมล่ะ ถ้าคุณทำอย่างนี้ได้ ทำไมคุณไม่ลงไปช่วยพ่อแม่พี่น้องทางใต้ล่ะ ใช่มั้ย คุณเนี่ย 2 มาตรฐาน
กมลพร - ลงไปเล่นตรงนั้นมันเจ็บจริงไงคะ
สนธิ - ลงไปเล่น อาจจะเจ็บจริง
กมลพร - ใช่ อยู่ในเวทีในเมืองมันไม่เจ็บ
สนธิ - ไม่เจ็บ เท่ด้วย
จินดารัตน์ - พี่น้องกลับบ้านนะคะ เดี๋ยวผมเดินเข้าสภา
กมลพร - เดี๋ยวเรามาคอยดู 2 มาตรฐานของรัฐบาลชุดนี้บ้างก็แล้วกัน เพราะว่าปกติแล้วถ้าเป็นชาวนา เขามักจะกลับมติได้เสมอ
จินดารัตน์ - ก่อนจะถึงตรงนั้น นิดหนึ่งนะ คืออย่างน้อยนายกฯ ก็มีบทบาทนะคะ ออกมา ดิฉันจะเรียกต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มาแก้ปัญหานี้ค่ะ แกก็อธิบายเลยว่าต้นน้ำคืออะไร กลางน้ำคืออะไร และปลายน้ำคืออะไร มันเป็นคำยอดฮิตค่ะคุณสนธิ เขาเลยถามว่านายกฯ ปูรู้เรื่งจริงหรือเปล่า หรือท่องบทมาพูดกันแน่ แต่เราคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้วนะคะ
สนธิ - แกจะมีชุดภาษาของแก ซึ่งผมคิดว่าจะเป็นเรื่องราวที่เขาพูดกันจนแก่จนเฒ่า เด็กรุ่นหลังก็คงจะเรียนรู้ ชุดภาษาชุดแรกก็คือ Thank you three times นอกนั้นก็เป็นพวกที่เรารู้อยู่ ประเทศซิดนีย์เอย จังหวัดหาดใหญ่เอย ล่าสุดนี่ก็ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ
จินดารัตน์ - จากบูรณาการ
สนธิ - คือคำว่าบูรณาการนี่เขาชอบมากนะ ซึ่งเขาเองคงไม่รู้ว่า มันแปลว่าอะไรบูรณาการ
กมลพร - มันอาจจะคล้ายๆ กันเอามารวมๆ กันอะไรอย่างนี้
จินดารัตน์ - ถือว่าแก้เครียดแล้วกัน อย่าจริงจังนะคะคุณผู้ชมมันคงไม่เกิดอะไรขึ้น
กมลพร - ก็รอๆ ดูแล้วกันนะคะ ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับม็อบสวนยางนิดนึงก็คือ พรรคประชาธิปัตย์เขากำลังออกมายื่นข้อเสนอกับรัฐบาลแล้วว่า เดี๋ยว 7-8 จันทร์อังคารเขาจะลงไปรับฟังความคิดเห็นของม็อบสวนยางก่อน
จินดารัตน์ - เพิ่งไปหรอ
กมลพร - ไปฟังความคิดเห็นด้วยนะ รับฟังปัญหา 7-8 วันที่ 10 เอากลับเข้าสู่ที่ประชุม และวันที่ 10 รัฐบาลยังไม่ทำอะไรนะ เราจะยกระดับตัวเราเอง
จินดารัตน์ - ทุ่มโต๊ะแดง
สนธิ - ทำอะไร
กมลพร - ก็เขาบอกจะยกระดับตัวเขาเอง
สนธิ - คือถอดเสื้อนอก ไม่ใส่เสื้อนอกในสภาฯ
กมลพร - งงมาก
สนธิ - ยกไปอีกระดับนึง ถอดเนคไท ใส่เสื้อเชิ้ตเข้าสภาฯ ทีละสเต็ป เหมือนคุณสุเทพบอกใช่ไหมว่า จะต้องวาระ 30 หลักฐานรัฐธรรมนูญ เราก็ต่อให้ศาลไคฟง ศาลพระภูมิ
กมลพร - คงประมาณนั้นนะคะ แต่ว่าม็อบชาวนาอ่างทอง พระนครศรีอยุธยาเขาจะผนึกกำลังกัน 10 จังหวัดภาคกลาง ซึ่งก็คือฐานเสียงของเพื่อไทยชุดนึงด้วย โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คุณยุคลนะคะ งานนี้ได้เห็นกลับมติแน่ เพราะว่าก่อนหน้านี้จะมีมติเรื่องของการรับจำนำข้าว 15,000 บาทในรอบแรก และไปที่ 13,000 บาทรอบที่ 2 ชาวนาไม่พอใจบอก อย่างน้อยที่สุดต้องอยู่ที่ 14,000 บาท และเขาก็ไปบอกว่า รัฐบาลต้องทำนะ ถ้าไม่ทำทางเกษตรกรที่เป็นชาวนา กลุ่มชาวนาเขาจะขึ้นมาปิดถนนเหมือนกัน ในช่วง ครม.สัญจรของคุณปู ยิ่งลักษณ์
จินดารัตน์ - 13,000 ยังไม่มีจ่ายเลย จะไปหวังอะไรกับ 14,000 คราวนี้แหละทั่วทุกหัวระแหง เอาเหอะ แอนก็อยากให้มันเกิดอย่างนั้นจริงๆ นะคะคุณสนธิ เพราะวันนี้มัน
สนธิ - คือท่านผู้ชม และพันธมิตรฯ ที่ดูรายการอยู่ ถ้าจำผมเคยพูดมานานแล้ว ช่วงที่ผมพูดไปครั้งแรก คนก็ต่อว่าผม คุณสนธิทำไมถึงไปพูดอย่างนั้น ผมพูดบอกว่า เมืองไทยต้องรอให้มันล่มสลายเสียก่อน คนถึงจะรู้เช่นเห็นชาติ เพราะมันไม่รู้สึกกันเลย แอน มันไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทุกอย่างนั่งบ่นอยู่แต่ในบ้าน บ่นแต่โน้นบ่นแต่นี่ แต่มันไม่รู้จักรวมตัวมา เพื่อที่จะต่อสู้ หรือเพื่อจะเรียกร้องสิทธิ์อันชอบธรรมที่ควรจะมี ไม่มี เพราะฉะนั้นต้องให้มันล่มสลายไปไง ต้องให้มันล่มสลาย รัฐบาลเงินไม่มี ทำไมรัฐบาลเงินไม่มี ก็เพราะอีรัฐบาลบ้าเอาเงินไปปู้ยี้ปู้ยำ ผลาญในสิ่งที่ไม่ควรจะผลาญทุกๆ เรื่อง เสร็จเรียบร้อยก็คดโกงกันทรยศต่อชาติ ทรยศต่อบ้าน ทรยศต่อเมือง ผมจะบอกให้รู้ทำไมทุกวันนี้ของถึงแพง ที่มันแพงเพราะว่าคอร์รัปชันกันเยอะ ราคาของ ราคาสินค้า ราคาถนนทุกอย่างมันบวกๆ
เหมือนคนเขาถามเอ๊ะถ้าสมมุติสร้างสนามบินแห่งหนึ่ง ถ้ามันแพงเกินไป หรือซื้อเครื่องบินเหมือนการบินไทย ที่มันจะเจ๊งทุกวันนี้ เพราะของมันซื้อแพง เมื่อเทียบกันระหว่างการบินไทยกับสายการบินต่างชาติอย่าง สิงคโปร์แอร์ไลน์ คาเธ่ย์ แปซิฟิก เครื่องบินเขาก็ซื้อถูกกว่าเรา ถูกกว่า เครื่องตกแต่งภายในเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ หมอน ทุกอย่างซื้อถูกกว่า อาหารการกินที่เอาขึ้นเครื่องก็ซื้อถูกกว่า ด้วยเหตุนี้การบินไทยถึงขาดทุนไง การบินไทยถึงต้นทุนต่อหน่วยมันถึงสูง ตั๋วต้องขายแพงกว่าเขา สนามบินคนอื่นเขาสร้างสนามบิน ก. พื้นที่ 100 ตารางเมตร เขาใช้เงิน 1 บาท แต่เราทะลึ่งใช้เงิน 2 บาท พอเราใช้เงิน 2 บาท เวลาเราคิดค่าจอดเครื่องบิน ค่าเครื่องบินแลนดิ้งฟรีก็ต้องแพงกว่าเขา พอแพงกว่าเขาเครื่องบินหลายสายการบินมันก็ไม่ลงกรุงเทพฯ มันก็ไปลงที่อื่น เหมือนกันในกรุงเทพฯ ในประเทศไทยหมดทุกอย่าง ต้นทุนในการติดต่อราชการก็สูงขึ้นใช่ไหม เพราะทุกคนต้องจ่ายเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครไม่จ่าย ตำรวจนอกจากวิ่งไปหาทักษิณ เพื่อขอตำแหน่งแล้ว กลับมาพอได้ตำแหน่งแล้ว ก็เก็บเงินเก็บทองรีดไถชาวบ้านเขา พอรีดไถพ่อค้ารีดไถโน้นนี่นั่น ไอ้พ่อค้ามันโดนรีดไถมันก็บวกราคาเข้าไป คนที่ประมูลสินค้า หรือประมูลงานของราชการ พอมันประมูลแล้วมันโดนตัดไป 10 เปอร์เซ็นต์ 20 เปอร์เซ็นต์ มันก็บวกราคาเข้าไปเหมือนกันไง หรือว่ามันประมูลงานของหน่วยงานราชการ มันโดนตัดไป 30 เปอร์เซ็นต์ มันก็เอาของด้อยคุณภาพให้ พอมันเอาของด้อยคุณภาพให้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาไปใช้ก็ต้องซ่อมบ่อยขึ้น เหมือนกับถนน ถนนนี่ทำไมเขาถึงไม่ผสมยางพาราล่ะ รู้หรือเปล่าทำไม
กมลพร - มันจะไม่มีการซ่อม
สนธิ - เพราะมันนานๆ ซ่อมที ไอ้กรมทางหลวงก็ไม่ต้องการ
จินดารัตน์ - เพราะงบซ่อมมันมากกว่างบสร้าง
สนธิ - ถูก งบซ่อมมากกว่างบสร้าง และที่สำคัญมันก็จะมีเจ้าที่ผูกขาดการค้ายางมะตอยกับกรมทางหลวง ผูกขาดกินไม่รู้กี่สิบปีแล้ว เหมือนเจ้าที่ผูกขาดคลอรีน ขายให้การประปาฯ ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกนี้ที่ยังใช้คลอรีน และสารส้มทำน้ำให้สะอาด เพราะประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่น เขาใช้โอโซน เมืองไทยใช้สารส้ม และใช้คลอรีน ต่างประเทศเขามีท่อน้ำดิบ กับท่อน้ำซึ่งสะอาดแล้ว สมมุติน้ำที่ล้างรถ ใครเขาใช้น้ำประปาผสมคลอรีนล้างกัน มีเมืองไทยประเทศเดียวที่ใช้ แล้วทำไมไม่เปลี่ยนคลอรีนเป็นอย่างอื่น ก็เพราะมีเจ้าๆ หนึ่งซึ่งผูกขาดขายคลอรีน แล้วคลอรีนสมัยก่อนใครเป็นคนผูกขาดล่ะ เห็นหรือยัง ต้นทุนมันสูงขึ้นมาหมดทุกอย่าง คุณจำเรื่องน้ำตาลได้มั้ย โรงงานน้ำตาล จู่ๆ วันหนึ่งสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีฯ อุตสาหกรรม ขึ้นราคาน้ำตาลทันทีเลยกิโลฯ ละ 5 บาท อัตโนมัติทั่วประเทศไทยเลย โดยไม่มีเหตุไม่มีผล ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ฉะนั้นต้นทุนของเรา ต้นทุนอาหารที่เพิ่มขึ้น ของที่แพงขึ้น เป็นเพราะว่านักการเมืองและข้าราการคอร์รัปชัน ทำให้ต้นทุนประเทศมันสูง ทุกวงการ ทหาร เรือเหาะบ้า กับจีที 200
กมลพร - ไม้ตรวจป่าช้า
สนธิ - ไม้ชี้ป่าช้า ถามว่าคุณเสียเงินไปเป็นพันล้าน แล้วของใช้ไม่ได้ ต้นทุนอยู่ที่ใคร มันก็อยู่ที่งบประมาณอีกล่ะ จ่ายงบประมาณให้ 100 บาท เพื่อซื้อของที่มีคุณภาพในมูลค่า 100 บาท แต่เสือกได้ของที่มีคุณภาพแค่ 70 บาท แต่มันจำเป็นต้องใช้ของที่เต็ม 100 มันก็ต้องไปหาเพิ่มอีก 30 ทุกคนหมด การศึกษาก็เหมือนกัน ซึ่งเดี๋ยวเราจะพูดเรื่องการศึกษา
จินดารัตน์ - เรื่องของแพงคุณสนธิรู้สึกไปเองมากกว่า คุณสนธิรู้สึกไปเองแอนยืนยัน
กมลพร - งั้นก็รู้สึกเหมือนกันหมด
จินดารัตน์ - เดี๋ยวจะไปถามอีป้าช่วง 2 อีป้าที่ชอบบอกว่ารู้สึกไปเอง
กมลพร -ที่รู้สึกไปเอง
จินดารัตน์ - เรื่องนี้ต้องคุยกันยาว
สนธิ - เดี๋ยวจะให้ชาวบ้านเขาพูดเอง วันนี้เราไปเตรียมทำการบ้านมาให้ดูว่าชาวบ้านเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า เขาจะได้เล่าให้ฟังเลย
จินดารัตน์ - นักข่าวเขาก็ฝากมาบอกว่าเวลาโดนน้ำกรดก็ต้องบอกตัวเองว่ารู้สึกไปเอง ก็ไปถึงเรื่องที่รัฐบาลใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เตรียมนำงบส่วนหนึ่งให้คุณนายกฯ เดินทางไปสวิสกับอิตาลีแล้วนะคะ
สนธิ - ไปเจอพี่ชายที่อิตาลี
จินดารัตน์ - ไปเจอพี่ชายที่อิตาลี เพราะพี่ชายไปลั้นลาที่อยู่กอนโดล่า ล่องเรือที่เวนิส และน้องสาวก็เตรียมไปโชว์ตัว ไม่ใช่เดินทางไป เขาเรียกอะไรนะ
กมลพร - ไปราชการ เจรจาการค้า หาคนมาลงทุน
สนธิ - นึกว่าเดินทางไปโชว์นอ
จินดารัตน์ - อันนั้นนอเดียวในโลกจริงๆ ก็ก่อนที่จะไปเชิญอดีตผู้นำอังกฤษนะคะ นายกฯ อดีต
กมลพร - เชิญมาหลายคน
จินดารัตน์ - นายกฯ โทนี แบลร์ มาปาถกฐา ปรากฏว่าอยู่ดีๆ ก็เชิญเขามาตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่
กมลพร - หนักใหญ่ใจความหลายอย่างที่คุณโทนี แบลร์ ส่วนใหญ่มันก็จะกลับมาที่เรื่องของ ใหญ่ๆ เลยที่คุณยิ่งลักษณ์ชอบพูดเสมอคือ ประชาธิปไตยของเขาต้องมาจากการเลือกตั้ง ที่ตบถาดใหญ่คงจะเป็นกรณีที่คุณโทนี แบลร์ กล่าวว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบเสมอไป เสียงข้างมากไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องเสมอไป ถึงขนาดต้องมีการตัดบทจากผู้ดำเนินรายการ ผู้ดำเนินรายการตัดบทคำถามบางอย่างๆ น่าเกลียดมากเลยนะ
จินดารัตน์ - ตัดบทคำถามของคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ บอกว่ามันจะทำให้เกิดความขัดแย้ง ขอไม่ให้ตอบแล้วกัน มีอย่างนี้ด้วยนะ
กมลพร - มีๆ แค่จะถามว่าผู้มีอำนาจมากกว่านายกฯ สไกป์มา
จินดารัตน์ - แต่คนกลุ่มหนึ่งเขาไม่ได้ห่วงว่าโทนี แบลร์ จะพูดอะไร นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะปล่อยไก่อะไรนะ เขาห่วงแค่ว่าลีลา ท่าทางของนายกฯ จะเหมือนคราวโอบามาหรือเปล่า เขาห่วงมากค่ะ
กมลพร - นึกว่าห่วงอะไร
จินดารัตน์ - เขาห่วงมาก เพราะว่าไอ้เรื่องการพูดสติปัญญาระดับการท่องสคริปมันคงเหมือนเดิมอยู่แล้ว แต่เขาห่วงเรื่องท่าทีผู้นำ
กมลพร - ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่า
จินดารัตน์ - แล้วมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีนะ แสดงว่าคุณยิ่งลักษณ์อาจชอบของแปลกของดำ
กมลพร - ไม่ คุณโทนี แบลร์ ไม่เปิดโอกาสต่างหาก เพราะคุณโทนี แบลร์ อดีตนายกฯ อังกฤษ เขาขึ้นชื่อว่าเป็นสุนัขพุดเดิลของอเมริกา เรื่องอะไรจะไปข้ามหน้าข้ามตานาย
จินดารัตน์ - รู้ลึก ไปยืนข้างโพเดียมเขาหรือไง
สนธิ - ไม่ใช่หรอกทั้งหมด
กมลพร - อะไรคะ
สนธิ - เมียสั่งเด็ดขาด
จินดารัตน์ - ห้ามสบตา
สนธิ - ห้ามสบตา
กมลพร - โธ่ นึกว่าเป็นเรื่องของมหาอำนาจ
สนธิ - เมียสั่งว่า อย่าพลาดเหมือนโอบามานะ กลับมาเดี๋ยวหลังมือทันทีเลยนะ โทนี แบลร์ ก็เลยอยู่ในสภาพที่ไม่เปิดโอกาสให้เลยแม้แต่นิดเดียว
จินดารัตน์ - ไปอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของคนมีตังค์
สนธิ - เดี๋ยวก่อนๆ โทนี แบลร์ ยังไม่จบ ผมอยากจะต่อสักนิดหนึ่ง เวลาเราวิเคราะห์เรื่องการที่เขาเชิญโทนี แบลร์ มา เราต้องดูภาพรวมให้ดีๆ เป็นลักษณะของทีมงานของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก็รู้อยู่แล้ว ที่ปรึกษาเขา พวกนี้วางแผน คือต้องการเอาโคฟี อันนัน เอาโทนี แบลร์ เอาพวกนี้มาสร้างความชอบธรรมให้เขา ทีนี้จำได้มั้ยที่เราบอกว่าโทนี แบลร์ ได้เงิน 20 ล้านบาท ในการพูดแค่ครึ่งชั่วโมง แล้วรัฐบาลปฏิเสธว่าไม่ใช่ โทนี แบลร์ ก็ปฏิเสธ แต่น่าสนใจอย่างหนึ่ง หนังสือพิมพ์อังกฤษลง
กมลพร - เดลิเมล์
สนธิ - เดลิเมล์ลงชัดเจน ว่าโทนี แบลร์ ได้ 20 ล้านบาท และอีกอย่างหนึ่ง ถ้าโทนี แบลร์ ไม่ได้เงิน มันไม่มาหรอก เพราะว่าคนที่เป็นอดีตประธานาธิบดี อดีตนายกรัฐมนตรี ประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา และอังกฤษ เวลาเชิญไปพูดต้องมี เขาเรียกว่า Speaking Fee นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าที่พัก ต้องเป็นห้องสูทอย่างดี ค่าใช้จ่ายเฟิร์สคลาส มีทีมงานมาด้วย บิล คลินตัน ก็คิดเงิน ตอนที่จอร์จ บุช มา ตอนที่ทักษิณเชิญมา ก็มี Speaking Fee ไม่มีใครมาให้ฟรี ไม่มี
เพราะฉะนั้นที่บอกว่าไม่ได้เงินน่ะ เป็นการโกหกตอแหลที่สุด เพราะฉะนั้นรัฐบาลเริ่มด้วยการเชิญโทนี แบลร์ มา แล้วก็โกหกว่าไม่ต้องเสียเงิน เพราะกลัวว่าเสียเงินไปแล้วเดี๋ยวคนจะบอกทำไมต้องเสียเงินเอาฝรั่งมาพูด แต่ทีนี้พอฝรั่งมาปั๊บ โทนี แบลร์ ก็คงจะศึกษาดีพอสมควร มันคงจะพูดโน่นนี่นั่น ศึกษา แล้วอีกอย่างเขามีทีมของเขามาด้วย ผู้ชายคน ผู้หญิงคน จำได้มั้ย คุณผู้หญิงคนนั้นเขาก็คงจะไปคุยกับพวก คอป.มาแล้ว คุยกับ อ.คณิต ณ นคร ก็เลยได้ข้อมูลมาเยอะ โทนี แบลร์ ก็เลยคิดว่า เอ๊ะ แกจ่ายฉัน 20 ล้านบาท แล้วจะให้ฉันพูดไปตามสคริปต์ของแกนี่นะ คือผมคิดว่ารัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่เบื้องหลังยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังมองโทนี แบลร์ เป็นโทนีลักษณ์ ก็คือว่า เหมือนยิ่งลักษณ์ คือจ่ายเงินให้แล้ว สั่งให้พูดอะไรก็พูดอย่างนั้น แต่โทนี แบลร์ เขาไม่เอาชีวิตเขา ชื่อเสียงเขามาเสี่ยง แล้วอีกอย่างหนึ่ง จ่ายเงินมาแล้วนี่หว่า เข้ากระเป๋าเรียบร้อย
จินดารัตน์ - พูดอะไรก็ได้แล้วคราวนี้
สนธิ - กูจะพูดอะไรก็ได้ เรื่องของกู เข้าใจหรือยัง เพราะฉะนั้นแล้วโทนี แบลร์ ก็เลยระบาย ซึ่งผมก็ไปศึกษาสปีชเขานะ มันมีหลายประเด็นนะ อย่างเช่น มีอยู่ 2-3 อย่าง ที่โทนี แบลร์ พูด มีอยู่ 2-3 อย่างที่สำคัญสำหรับประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นคือประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น แต่เป็นวิถีแห่งความคิด ที่ว่าไม่ใช่แค่คนส่วนใหญ่ที่มีอำนาจ หรือผู้ชนะจะได้ทุกอย่าง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาทุกวันนี้ คือสภาตัวเลข กูบวกเลขแล้วกูชนะ แล้วกูทำอะไรก็ได้ ทำให้คนกลุ่มน้อยรู้สึกว่าถูกกีดกันประชาธิปไตยไม่ใช่การยึดครองโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องมีพื้นที่แบ่งปัน ที่ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้ มีพื้นที่ให้คนกลุ่มใหญ่ทำงานร่วมกับคนกลุ่มน้อย เพื่อแบ่งปันคุณค่า หรือค่านิยมบางอย่างร่วมกัน เพราะประชาธิปไตยเป็นเรื่องของแนวคิด ไม่ใช่เรื่องการเลือกตั้ง อันนี้สำคัญมากนะ ผมคิดว่ามันมีข้อความหลายข้อความ ซึ่งพอเขาพูดออกมาแล้ว มันเท่ากับตบหน้ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร และตบหน้าคนเชิญที่มาจากประเทศไทย ส่วนนายมาร์ตี อาห์ติซารี อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ เจ้าของโนเบิลไพรซ์ เมื่อปี 2551 เขาพูดว่า ต้องทำให้เห็นว่าการปรองดองไม่ใช่การลืมอดีต อันนี้สำคัญมากนะ
จินดารัตน์ - ต้องหาความจริงพิสูจน์
สนธิ - คุณพริซิลลา เฮย์เนอร์ ที่ปรึกษาศูนย์เสวนา เพื่อมนุษยธรรม เขาพูดออกมาบอกว่า ความปรองดองเพื่ออภัย ทำสิ่งที่ผิดให้ยกเลิกหมด ซึ่งไม่ใช่ เป็นเรื่องทำให้มีการนิรโทษกรรมกับผู้ที่ทำเรื่องเหี้ยมโหดในอดีต ไม่ใช่
ฉะนั้นเขาพูดชัดเจน ความท้าทายที่ตามมาเรื่องการปรองดอง ไม่ใช่ลืม บังคับ หรือปกปิด เขาบอกว่าความคิดสร้างสรรค์เจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ ไม่สามารถนำมาจากประเทศอื่นได้ พวกนี้ไอ้พวกที่ปรองดอง และต้องการให้ยกเลิกนิรโทษกรรมทั้งลหาย พยายามยกแอฟริกาใต้ เนลสัน แมนเดลา ขึ้นมา พยายามใช้ตรงนี้ ซึ่งเขาบอกว่าไม่ใช่ สิ่งที่รัฐสภาชุดนี้จะทำ สิ่งที่เป็นกระบวนทัศน์ที่มาจากทักษิณ ที่ปรึกษาทักษิณจะมาทำ แล้วก็ไปเที่ยวจ้างโทนี แบลร์ จ่ายเงินมาพูด เพื่อสร้างความชอบธรรม กลับโดนเขาเอาไม้หน้าสามตีหัวหมดทุกคน เขาทำการบ้านมาดี เขาบอกชัดเจน สรุปง่ายๆการปรองดองนั้นก่อนจะเกิดการปรองดองต้องเอาความจริงเข้ามาเจอ ขุดความจริงขึ้นมาก่อน ใครยิง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ใครยิงทหารตาย ตอนนี้คุณขุดเฉพาะใครยิงเสื้อแดงตาย แต่คุณไม่เคยขุดว่าใครยิงทหารตาย คุณไม่เคยขุดว่าใครยิง พล.อ.ร่มเกล้าตาย คุณทำของคุณด้านเดียว เพราะฉะนั้นแล้วถ้าความจริงปรากฏแล้ว เมื่อปรากฏแล้วก็ตัดสินใจว่า จะใช้หลักนิติรัฐจัดการกับความจริงตรงนี้อย่างไร เมื่อจัดการไปแล้วตรงนั้นล่ะถึงจะเริ่มกระบวนการปรองดอง แต่ไม่ใช่ว่าปรองดองแล้วเหมือนกับนักการเมืองเมืองไทย พวกเดรัจฉานทั้งหลายที่ชอบพูดบอกว่า มันน่าจะลืมกันได้แล้วของแบบนี้ มาเริ่มกันใหม่ ต้องลืมกัน ให้อภัยกัน
จินดารัตน์ - จะผูกใจเจ็บกันไปถึงไหน
กมลพร - ทำไมเลือกคุณบรรหารมาเป็นประธาน
จินดารัตน์ - ความจำสั้น อัลไซเมอร์ เดาว่าอดีตผู้นำเหล่านี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่รัฐบาลนี้จะเชิญมา
สนธิ - แน่นอน ไม่กล้าแล้ว
จินดารัตน์ - แต่จริงๆเขาบอกว่า นายกรัฐมนตรีเข้าใจถูกต้องแล้ว เพราะนายกฯเห็นในใบรายงานของกระทรวงต่างประเทศว่า speaking fee
สนธิ - เข้าใจว่าฟรีใช่ไหม
กมลพร - มันไม่ได้แปลว่าค่าธรรมเนียมเหรอพี่
จินดารัตน์ - เหมือน Thank you 3 Times
กมลพร - มาเรื่องคดีความกันบ้างดีกว่า ถ้าเกิดว่าย้อนกลับไปวันที่ 3 กันยายน ของปีที่แล้วจะเห็นคดีใหญ่คดีหนึ่งทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งนักข่าว ตำรวจ ทั้งคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ต้องออกมาขอความยุติธรรม ขอความเป็นธรรมให้กับ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ซึ่งตอนนั้นทำหน้าที่สายตรวจสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ในเช้ามืดของวันนั้น ลูกชายของบ้านอยู่วิทยา คุณวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ น้องบอส ไม่น้องแล้วนะ อายุตั้ง 20 กว่าแล้ว ไม่น้องแล้ว ขับรถด้วยความมึนเมาเหมือนไปเที่ยว คงจะเมาจัดชน ด.ต.วิเชียร แล้วลากศพไปไกลตั้ง 200 เมตร วันนั้นคุณคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ต้องเอาให้ได้ อย่างไก็ตามผมจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกน้องผม ฉุนเฉียว ผมไม่พอใจ เอาตัวปลอมมา ส่วนคนที่ขับรถชนตำรวจตัวจริงยังลอยนวล ผมทราบดีว่า สวป.คนดังกล่าวทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยให้กับบ้านของลูกชายอดีตเจ้าสัวกระทิงแดง แต่ทำงานแบบนี้ใช้ไม่ได้ ฉุนเลยนะ ฉุนขาด
สนธิ - ณ วันนี้ยังฉุนอยู่หรือเปล่า
กมลพร - ไม่พูดเลยค่ะ ทำไมวันนั้นโมโหมากแต่วันนี้ไม่พูดอะไร เนื่องจากว่า พอเขามีคดีจนมาถึงวันนี้ 1 ปี ปรากฏว่าบอสไม่มารายงานตัว
จินดารัตน์ - คือขอผลัดไปเรื่อยๆ
สนธิ - ผลัดไปเรื่อยๆ เพื่อให้บางประเด็น บางข้อหาหมดอายุความ อายุความมัน 1 ปีไง
จินดารัตน์ - ก็คือข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็คือขาดอายุความไปเมื่อวันที่ 3 ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเหลืออีกแค่ 2 ข้อ ข้อหานะคะก็คือ ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ทรัพย์สินทางราชการเสียหาย และไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควร อันนี้เขาบอกว่า แหมมันแปลกๆ นะคะคุณสนธิ หรือมันอาจจะไม่แปลก เพราะมันมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้ง ต้องถามอัยการว่า แปลกหรือเปล่า แต่คุณสนธิเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีความ หลายปีที่ผ่านมาเจอมาเยอะ
สนธิ - คือข้อหาแรกมันหมดไป มันจะทำให้ข้อหา 2 มันน้อยลง
กมลพร - ยังไง
สนธิ - ขับรถเร็วกว่ากำหนด ถ้าไม่หมดขับรถเร็วกว่ากำหนด และทำให้เกิดความประมาท การขับรถประมาทไม่ได้แปลว่า เร็วกว่ากำหนด เข้าใจยัง
จินดารัตน์ - เข้าใจแล้ว
สนธิ - โอเคทะลุยังตอนนี้ แปลว่าถ้าข้อหาแรกยังอยู่ มันจะทำให้ข้อหา 2 หนัก แต่ข้อหาแรกหมดอายุความไปแล้ว เขาก็ไปฟ้องข้อหาแรกก็เหลือเฉพาะขับรถโดยประมาท
กมลพร - ก็เบาไปเยอะ
สนธิ - ทำให้ผู้คนถึงแก่ความตาย ประมาทนี่ถ้าไม่มีความเร็วก็ไม่เกี่ยวข้องก็คือ ไม่ได้มองซ้ายมองขวา ถือว่าประมาท เนื่องจากจำเลยขับรถประมาท ด้วยเหตุที่ขับรถเร็วกว่ากำหนดไว้ จึงทำให้ผู้ต้องหาเสียชีวิต ดังนั้นจึงเป็นความประมาทที่ไม่สามารถที่จะให้อภัยได้ เพราะว่าไม่ได้ประมาท โดยธรรมชาติ แต่ประมาทเพราะขับรถเร็วด้วย เข้าใจหรือยัง
จินดารัตน์ - อุ๊ยตายแล้ว
กมลพร - งั้นแปลว่า เราเห็นกระบวนการช่วยเหลือเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตำรวจทำสำนวนส่งฟ้อง ก็ทำสำนวนส่งฟ้องแค่ 2 ข้อหานะ คือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกชน อันนี้ยังคงอยู่ และไม่เห็นสั่งฟ้องใน 2 ข้อหาแรกคือ ขับเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต กับขับรถในขณะมึนเมาในขณะที่มึนเมาทั้งที่ตรวจเจอสารเสพติด กลายเป็นว่า พอมาถึงชั้นในอัยการไม่รู้ว่า เรียกเงินหรือยัง ตกลงกันไม่ได้ตอนนั้นนะคะ อันนี้สงสัยอย่างนั้นได้เพราะ อัยการเอาข้อหาความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดใส่เข้าไปในการสั่งฟ้องอีก 1 ข้อหา เพราะมีความ คือไอ้ตรงจราจรที่มันตรวจเจอความเร็ว มีความเร็วสูงถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
จินดารัตน์ - ใช่ และที่สำคัญก็คือ เขาถามว่า และไอ้ที่ตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย 64 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ที่มากกว่ากฎหมายกำหนดแล้ว ยังพบสารอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบในยาเสพติด และยานอนหลับอีก 3 ชนิด เป็นอย่างน้อยคือ โคเคน คาเฟอีน และอัลปราโซแลม ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Benzodiazepin ตำรวจเองก็ไม่ปักใจเชื่อว่า อาจจะไม่ได้เมาตอนขับรถมา อาจจะเมาหลังที่ชนแล้วเครียด ซึ่งผู้ต้องหาให้การอย่างนั้น แต่ข้อหานี้ก็หายไปเลยนะ มันไม่มีอยู่ในข้อกล่าวหาของตำรวจ ต้นน้ำหายไปเลยค่ะ ถูกละลายหายไปกับต้นน้ำเลย
สนธิ - และกลางน้ำล่ะ
จินดารัตน์ - ยิ่งแล้วใหญ่เลยค่ะ
สนธิ - จะให้ผมพูดอะไรล่ะ มันก็เป็นของมันอย่างนี้ เข้าใจหรือยัง
กมลพร - แต่เพิ่งเข้าใจเลยนะคะว่าทำไมถึงให้ข้อหานี้มันหลุดไป
สนธิ - ตระกูลอยู่วิทยาคงเสียเงินไปเยอะงานนี้ เสียเงินเป็นตัวเลข 7 หลัก เผลอๆ 8 หลักด้วยซ้ำ เพื่อให้หลายข้อหาหายไป เพราะคุณอ่านนี่ ขับรถเร็วถึง 170 กิโลฯ จับความเร็วได้ 170 กิโลฯ ทองหล่อแถวๆ สุขุมวิทในซอยคุณขับรถ 170 กิโลฯ ขนาดไหน แล้วยังมีสารเสพติด ที่ค้นพบทั้งยาเสพติด โคเคน ขับรถเร็วเพราะสารเสพติด ประมาททำให้คนตาย โอ้โห นี่มันแฟ็กเตอร์กี่ตัวในคดี ฉะนั้นแล้วจำเลยไม่สมควรที่จะได้รับการรอลงอาญา เข้าใจหรือยัง พิจารณาจากคำสั่งฟ้อง แต่ถ้าตัดไอ้เรื่องขับรถเร็วผิดปกติไป 170 ตัดเรื่องสารเสพติดไป ก็เหลือแค่ประมาท กับเสียทรัพย์สิน เนื่องจากจำเลยประมาทไม่ระมัดระวัง เพราะคำฟ้องมีแค่นี้ ศาลก็ต้องพิจารณาไปตามคำฟ้อง พิจารณาเกินฟ้องไม่ได้ เขาก็คงจะตั้งทนายมาเต็มที่ อัยการก็คงไม่ซักอะไรมากมายนัก เพราะอะไรมาอุดปากไว้ไม่รู้ พูดมากไม่ได้ ส่วนผู้เสียหายก็คงจะได้รับเงินก้อนใหญ่ไปแล้ว ก็คงจะให้การกับศาล เรียกพ่อแม่ของลูกของผู้เสียหาย ภรรยาผู้เสียหายมาให้การ ทนายของฝ่ายลูกชายของคุณเฉลิม อยู่วิทยา ก็คงจะซักว่า จำเลยได้ทำอะไรช่วยเหลือครอบครัวบ้างหรือเปล่า ช่วยค่ะ มางานศพ ช่วยบริจาคเงินก้อนนี้มาให้ ดูแลครอบครัว พินิจพิเคราะห์แล้ว พิเคราะห์แล้วฟังได้ว่าจำเลยขับรถเข้ามาแล้วก็ประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้รถนั้นไปเกี่ยวเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงแก่ความตาย โดยไม่ได้เจตนา
ฉะนั้นแล้วทำทรัพย์สินของรัฐเสียหายไปชนตู้โน้นตู้นี่ เมื่อพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้ทำการดูแลชดใช้ และจำเลยไม่เคยทำความผิดอะไรมาก่อน ไม่เคยต้องคดีอะไร จึงมีความเห็นว่าให้จำคุกจำเลยไว้ 1 ปี หรือ 2ปี แต่เนื่องจากไม่เคยกระทำความผิดก็ให้รอลงอาญา 3 ปี และอัยการก็ไม่อุทธรณ์
กมลพร - ชีวิตคนมันมีค่าแค่นี้เองเหรอ
จินดารัตน์ - ยังไม่ชินอีกเหรอ เริ่มชินแล้วนะ
กมลพร - เป็นเศรษฐีระดับโลกมันก็ดีตรงนี้นะ
จินดารัตน์ - อันดับต้นๆ ของเมืองไทย แล้วลำดับที่ประมาณเท่าไรของโลกนะ แต่เขาออกหมายจับนะคะ คุณสนธิ
สนธิ - หมูมาก พอคุณออกหมายจับเสร็จเรียบร้อย คดีหมดอายุความ คุณก็มายื่นหมายจับ คุณก็ยื่นศาล คืออัยการต้องทำขึงขังไว้ก่อน ผมจะออกหมายจับและผมจะค้านการประกันตัว คนนี้ก็บินกลับมาแล้วก็มายื่นประกันเลย ที่ศาล ตรงไปที่ศาลยื่นประกัน ยื่นให้การว่า 1..2..3..4.. อยู่ต่างประเทศ มีใบแพทย์มาเสร็จเรียบร้อยหมด รักษาตัวยังไม่หาย แล้วก็ขอความเมตตาศาล เนื่องจากว่าไม่ได้มีเจตนาหลบหนี พอทราบข่าวกลับมา ศาลพิเคราะห์แล้วก็มีเหตุผลของจำเลย ก็ให้ประกันตัวได้ต่อไป
กมลพร - ข้อดีของการมีคดีเยอะก็อย่างนี้เนอะ มองกระบวนการเห็นหมดเลย
สนธิ - มองทะลุหมด
กมลพร - มองทะลุหมด
สนธิ - จริงๆ อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้อีกนะ แต่ไม่อยากพูด
จินดารัตน์ - เดี๋ยวนี้ถึงขั้นมองตาอัยการแล้วรู้ใจ
สนธิ - รู้ใจว่าถ้าคดีกูมึงอุทธรณ์แน่ มึงเอากูตายแน่
จินดารัตน์ - มาเรื่องสุขภาพร่างกายบ้าง จะได้กลับไปดูแลร่างกายให้แข็งแรง
กมลพร - ค่ะ มีคนถามมาเยอะพี่แอน เพราะว่ามันจะมีช่วงหนึ่ง ซึ่งข้าวมันต้องดูแลรักษาอยู่ในโกดังนาน ช่วงจำนำข้าว คนก็ถามว่าตอนที่ สคบ.ตรวจสอบข้าว ทำไมไม่เห็นมีชื่อของเราบ้างเลย ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเอาข้าวไปตรวจ จำได้มั้ยคะ ทำไมไม่มีข้าวเอเอสทีวี ไม่มีใครมาตรวจเหรอว่ามีสารปนเปื้อนมั้ย
จินดารัตน์ - ฉะนั้นเพื่อความสบายใจ เราได้ส่งข้าว ตัวอย่างข้าวที่จำหน่ายในเอเอสทีวีช็อป ซึ่งเป็นของเอเอสทีวีโปรดักต์ ไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการกลางประเทศไทยจำกัด ซึ่งเป็นบริษัท เป็นห้องแล็ป อันนี้ก็คือประเภทตัวอย่างข้าวกล้องหอมนิล ออกมาปรากฏว่า นี่ ผลการทดสอบ สารตกค้างทั้งหลาย ไม่มีสารตกค้างใดๆ เลย มีอะไรบ้างนะน้องเก๋
กมลพร - ในการตรวจสอบคราวนี้ เราไม่ได้รอให้ใครมาตรวจสอบเลยนะคะ เราเอาของเราเข้าไป เพื่อที่จะดูเลยว่ามีสารอะไรบ้าง มีข้าวกล้องหอมมะลิ ตรารอยัลเชฟ ตรวจแล้วไม่พบสารพิษใดๆ เลย มีข้าวกล้องหอมนิล ตราคุณแผ่นดิน ตรวจแล้วไม่พบสารพิษใดๆ เลย มีข้าวกล้องสามสี ตราแก้วไพร ตรวจแล้วไม่พบสารพิษใดๆ เลย และข้าวหางงอก ตราจานดาวเทียม ตรวจแล้วไม่พบสารพิษใดๆ เลย
จินดารัตน์ - ก็อยากให้ผู้บริโภคของเราได้สบายใจ เพราะมีคนถามเยอะว่า แล้วข้าวเอเอสทีวีล่ะคะ ไม่มีตรจสอบแล้วจะรู้ได้ยังไง อ.ปานเทพ ก็เลยได้รับคำสั่งตรงจากเถ้าแก่ ตรวจสอบเลย ส่งห้องแล็ปเลย จะได้รู้ว่า คนกินจะได้สบายใจ เรามีความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภคนะคะ
เพราะฉะนั้นสบายใจได้ว่ายี่ห้อข้าวทั้งหลายที่ขายในเอเอสทีวีช็อป ปลอดภัย เพราะห้องปฏิบัติการเขาส่งผลมาให้เรียบร้อยแบบนี้ / มันยังมีอีกเรื่องหนึ่งน้องเก๋ เรื่อง ...
กมลพร - สารพิษ
จินดารัตน์ - สารพิษปนเปื้อน มันไม่เฉพาะในข้าว ใช่มั้ยคะคุณสนธิ มันมีในผัก ผักที่เราเดินตามท้องตลาด ซึ่งยิ่งแอนมีลูก แอนจะขวนขวายหาเลย หายี่ห้อไหนที่เป็นออร์แกนิก หายี่ห้อไหนที่ขายในห้าง ปรากฏว่ามันทำให้เราฝันสลาย เพราะว่ามูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเขาไปตรวจ สุ่มตรวจในห้างเลยค่ะคุณสนธิ
กมลพร - มีหลายยี่ห้อด้วยนะ ที่เก๋รู้สึกว่ายี่ห้อนี้ต้องปลอดภัยแน่ๆ ไร้สาร
จินดารัตน์ - ปรากฏว่า ...
กมลพร - โอ้โห ... เป็นรายงานค่ะ อยู่ในนิตยสารฉลาดซื้อ ฉบับที่ 136 ถึงผักยอดฮิตในครัวเรือนไทย 7 ชนิด ได้แก่ กะหล่ำปลี คะน้า ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน และพริกจินดา จากห้างดังหลายห้าง ทั้งชนิดที่เรียกว่า House Brand และได้รับตรา Q เจอสารเคมีอันตรายหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คาร์โบฟูราน และเมโทมิล ซึ่งแม้จะไม่เกินมาตรฐานของประเทศไทย แต่ในนิตยสารบอกว่ามันเกินมาตรฐานยุโรป เช่น ถั่วฝักยาวด็อกเตอร์ ผักชีที่เป็นแบรนด์ห้างพารากอน ผักชีไร่ฐิติวันต์ คะน้าโฮมเฟรชมาร์ท ถั่วฝักยาวเทสโก้ เลยอยากจะเรียกร้องให้มีการปรับมาตรฐานการตกค้างของสารเคมีเกษตรให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับยุโรป
จินดารัตน์ - เขาก็เลยไปค้นหาวิธีว่า เราจะล้างผักแบบไหนให้สะอาด มีอยู่ 3 วิธีที่คนเขานิยมใช้กันอยู่ วิธีแรกก็คือการใช้อุลตราโซนิค เขามีเครื่องขายนะ ประกาศขายกัน อุลตราโซนิค มันเป็นวิธีการล้างผักด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งจะทำให้เกิดปฏิกิริยากับสารพิษที่ตกค้าง ทำให้เปลี่ยนสภาพทางเคมี ส่วนวิธีการที่ 2 คือการใช้โอโซน ก็อาจจะได้ยินที่เขาบอก ไปฉาบโอโซน ใช้โอโซน คือการใช้ออกซิเจน 3 อะตอม ผ่านน้ำ เพื่อเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารพิษ ทำให้สารพิษนั้นเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมี
สนธิ - คืออันที่ 1 อุลตราโซนิค อันที่ 2 ใช้โอโซน อันที่ 3 ใช้น้ำด่าง
จินดารัตน์ - น้ำด่างเบอร์ 3 นี่ล่ะค่ะ จากเครื่องทำน้ำด่าง
สนธิ - ของเรา
จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ เขาบอกว่า น้ำด่างจะทำให้หยุดสภาพพิษความเป็นกรดของเคมี
สนธิ - แต่ต้องเบอร์ 3 นะ
คลิก! อ่านต่อ