กระชากค่าครองชีพครบวงจร แม้แต่คอสุรายังร้องจ๊าก ครม.ปรับเพิ่มภาษีเหล้า-เบียร์ คาดแอลกอฮอล์ขึ้นราคาเฉลี่ยร้อยละ 7-8 แต่บางรายการอาจปรับขึ้นร้อยละ 10-15 “กิตติรัตน์” ยันไม่ได้ถังแตกหวังเงินเข้ารัฐเพิ่ม อยากให้คนดื่มน้อยลง
วันนี้ (3 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สุรา พ.ศ. 2493 เป็นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับเดิมที่ใช้มานาน อีกทั้งสินค้าเกือบทุกรายการมีอัตราภาษีที่ชนเพดานแล้ว ทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตในครั้งนี้ เพื่อดูแลได้ครอบคลุมทั้งกลุ่มสินค้าที่มีราคาสูง กลุ่มสินค้าที่มีระดับแอลกอฮอล์สูง และกลุ่มสินค้าที่มีปริมาณมากแต่แอลกอฮอล์น้อย ในลักษณะที่เหมาะสมได้ตามพัฒนาการของสินค้าที่ถูกผลิตขึ้น รัฐบาลจึงเสนอแก้ไขกฎหมายฉบับนี้
ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญกำหนดว่า การดำเนินการที่เกี่ยวเนื่องกับภาษีและอยู่ในสมัยประชุมสภาฯให้สามารถดำเนินการได้ในรูปแบบของพระราชกำหนด เพราะเป็นเรื่องความลับในการดำเนินการ เนื่องจากเกรงปัญหากักตุน ทั้งนี้ร่าง พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวได้ผ่านการลงพระปรมาภิไธยแล้ว โดยขั้นตอนต่อไปคือการเสนอร่าง พ.ร.ก.นี้ต่อสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยระหว่างนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในเรื่องของกฎกระทรวงเพื่อกำหนดโครงสร้างภาษีสรรพสามิต
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า การที่ พ.ร.ก.ได้รับโปรดเกล้าฯ แล้วเท่ากับกฎหมายมีผลบังคับใช้ ดังนั้นการทำกฎกระทรวงเพื่อกำหนดโครงสร้างภาษีใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ขณะนี้อยู่ในชั้นดำเนินการ คงต้องรอให้มีผลทางกฎหมายถึงจะบอกได้มากกว่านี้ ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ประสงค์จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีเพื่อให้มีรายรับจากภาษีสุราเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะหากประชาชนจะบริโภคสุราน้อยลง จนรัฐจัดเก็บภาษีไม่ได้เพิ่มหรือเก็บภาษีน้อยลง รัฐบาลกลับจะรู้สึกยินดีกว่า
ด้าน นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า หลังจากนี้กระทรวงการคลังจะออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับอัตราภาษีใหม่ของภาษีสุรา เบียร์ ไวน์ และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ทันที เพื่อป้องกันการกักตุนสินค้าราคาใหม่ โดยอัตราภาษีใหม่ไม่ได้มีการปรับขึ้นชนเพดานตามที่กฎหมายใหม่กำหนด แต่จะยึดหลักทยอยปรับขึ้นในอนาคต โดยครั้งนี้มีการปรับเฉลี่ยร้อยละ 7-8 แต่บางรายการอาจปรับขึ้นร้อยละ 10-15 แต่ไม่ได้ส่งผลให้ราคาขายปลีกมีการปรับขึ้นมากนัก ยกตัวอย่างเบียร์มีการปรับขึ้นเพียง 2-3 บาทต่อกระป๋องเท่านั้น แต่บางรายการก็สูงกว่านี้
รายงานข่าวแจ้งว่า กรมสรรพสามิตได้ทำการศึกษาผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ โดยคาดว่าราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น 7-8% อาทิ เบียร์ช้าง ขนาด 330 มล.จากราคา 25 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 27.96 บาท ขนาด 640 มล.จากราคา 42 บาท เป็น 46.19 บาท เบียร์สิงห์ ขนาด 330 มล.จากราคา 31 บาท เหลือ 30 บาท ขนาด 630 มล.จากราคา 56 บาท เป็น 56.06 บาท เบียร์ไฮเนเก้น ขนาด 330 มล.จากราคา 40 บาท เป็น 42.07 บาท ขนาด 640 มล.จากราคา 60 บาท เป็น 70.21 บาท
สุราปรุงพิเศษ แม่โขง จากขวดละ 100 บาท เป็น 101 บาท รีเจนซี่ ขนาด 175 มล.จากราคา 145 บาท เป็น 155 บาท ขนาด 350 มล.จากราคา 245 บาท เป็น 255 บาท ขนาด 700 มล.จากราคา 500 บาท เป็น 525 บาท จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ก เลเบิล ขนาด 700 มล.จากราคา 1,199 บาท เป็น 1,230 บาท เรด เลเบิล ขนาด 700 มล.จากราคา 779 บาท เป็น 860 บาท ฮันเดรดไพเพอร์ส จากราคา 365 บาท เป็น 390 บาท สุราขาว 28 ดีกรี จากขวดละ 75 บาท เป็น 77.45 บาท สุราขาว 30 ดีกรี จากขวดละ 80 บาท เป็น 82.70 บาท สุราขาว 35 ดีกรี จากขวดละ 85 บาท เป็น 86.81 บาท และสุราขาว 40 ดีกรี จากขวดละ 90 บาท เป็น 90.92 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาเหตุที่ต้องปรับโครงสร้างภาษีสุราใหม่ในครั้งนี้ เนื่องจากได้จัดเก็บภาษีสุราเต็มเพดานที่กำหนด และไม่สามารถขยายการเก็บภาษีได้เพิ่มเติมอีก และยังมีการจำแนกประเภทของสุราให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดย พ.ร.ก.ฉบับใหม่นี้ได้แยกประเภทของสุราจาก 2 ประเภทเป็น 5 ประเภท คือ 1.เบียร์ 2.ไวน์ 3.สุราแช่อื่นๆ ที่ไม่ใช่สุราแช่พื้นเมือง 4.สุรากลั่น เช่น สุราขาว สุรา ผสม สุราปรุงพิเศษ และสุราพิเศษ และ 5.สุรากลั่นอื่นๆ ซึ่งอัตราภาษีใหม่ตามโครงสร้างภาษีใหม่ จะทำให้สุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นทุกยี่ห้อ โดยเฉพาะเบียร์คาดว่าจะปรับราคาขายปลีกขึ้นตั้งแต่ 3-7 บาทต่อขวด
