เกาะกระแส
00 วันที่ 3 กย.ถือว่าเป็นวันดีเดย์สำหรับชาวสวนยางและชาวสวนปาล์มนัดหมายกันออกมาชุมนุมใหญ่กดดันให้รัฐบาลเจียดงบมาช่วยเหลือให้พวกเขา"พออยู่ได้" และเป็นการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด "ไม่ใช่ขอช้าง ให้แมว" ขอให้ประกันราคา แต่ดันไปช่วยเรื่องปุ๋ย บิดเบือนความต้องการ เหมือนกับโยนเศษเงินไปซื้อเหล้าแล้วไม่ต้องมาประท้วงให้รำคาญ ซึ่งเกษตรกรบางกลุ่มก็ยอมให้"ถูกหลอก" ที่บอกว่าถูกรัฐหลอกก็เพราะว่าในที่สุดกว่าจะลงทะเบียนกว่าจะตรวจสอบ กว่าจะโอนเงิน หรือเมื่อโอนเงินไปแล้วก็ได้ไม่ครบ อ้างโน่นอ้างนี่เหลือถึงมือจริงๆถึงหมื่นหรือเปล่าไม่รู้ และก็ไม่รู้ว่าชาติไหนกว่าจะได้
00 แต่ก็อย่างว่าแหละที่ยอมรับเงื่อนไงดังกล่าวสวนใหญ่หรือแทบทั้งหมดจะเป็นชาวสวนในภาคเหนือกับอีสาน ซึ่งก็ไม่ว่ากัน เพราะคนพวกนี้พื้นฐานเดิมก็ล้วนคนกันเองอยู่แล้ว เมื่อโดนรัฐบาลพรรคเพื่อไทยหลอกอีกสักทีจะเป็นไรไป เมื่อ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกให้ใจเย็นก็ใจเย็นทนไปก็แล้วกัน เพราะยังต้องพิสูจน์กันอีกหลายยก เสร็จจากเรื่องยางแล้วยังมีเรื่องข้าวโพด มันสำปะหลัง สินค้าเกษตรอีกหลายชนิดกำลังตามมาติดๆ ล้วนแล้วแต่มีแนวโน้มหนักหนาสาหัสทั้งสิ้น ว่าแต่ว่าขอให้ผ่านม็อบยางกับปาล์มไปให้ได้ก่อน เพราะงานนี้ท่าจะจบไม่สวยหลังมีผู้ชุมนุมเสียชีวิตและบาดเจ็บไปสองสามคนกลายเป็น "เชื้อไฟ"อย่างดี ใครก็เอาไม่อยู่
00 เชื้อไฟที่ว่านั่นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มาจาก รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่รับฟังรายงานแล้วรีบฟันธงฉับว่าการเสียชีวิตและบาดเจ็บของการ์ดผู้ชุมนุมนั้นมีสาเหตุมาจากการ "ยิงกันเอง" อาจจะจริงหรือไม่จริงม่รู้แต่การพูดแบบนี้ ในท่ามกลางอารมณ์คุกรุ่นดูแลวมันไม่ฉลาดเลย เหมือนกับการด่วนสรุป ต้องการกันไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งก็คือ "ตำรวจ"ไม่ให้เกี่ยวข้อง กลายเป็นว่าจะยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้นไปอีก เรื่องอารมณ์ความรู้สึกอย่าทำเป็นเล่นไป
00 เวลานี้สิ่งที่รัฐบาลอ้างแบบปัดสวะพ้นตัวนั่นคือทุกอย่างที่เป็นปัญหา ทั้งสินค้าราคาแพงก็โทษว่าเป็นกลไกตลาดโลก ส่งออกไม่ได้ก็เพราะกลไกตลาดโลก สินค้าการเกษตรทุกตัวราคาตกต่ำก็เพราะมาจากสาเหตุดังกล่าว แล้วอย่างนี้ถ้า "นายกฯโง่ๆและรัฐมนตรีโง่"เป็นเพราะกลไกตลาดโลกหรือเปล่า ถ้าจะอ้างมันก็อ้างได้ แต่เราจะมีรัฐบาลไว้ทำไม มีผู้นำไว้ทำไม เอาไว้สำหรับ "ร่อน"ไปต่างประเทศเพื่อทำลายสถิติแบบสะสมไมล์อย่างนั้นหรือ
00 จะว่าไปมันก็เหมือนเป็น"กรรมตามสนอง"ทักษิณ ชินวัตร กับครอบครัว ที่กำลังอยู่ในชวงพลิกผันจากเดิมที่เคยอิงแอบโฆษณาชวนเชื่อสร้างภาพลวงตาเป็น "นักกอบกู้เศรษฐกิจชั้นเซียน"มานาน ทำได้เพราะมักฉวยโอกาสในช่วงขาขึ้นจากวิกฤติปี 40 หลังจาก "บางคน"ร่ำรวยจากข้อมูลภายในจนพุงปลิ้นแล้ว ยังได้เป็นรัฐบาลในช่วงที่วงรอบเศรษฐกิจหมุนกลับมาในช่วงขาขึ้น แต่คราวนี้เมื่อมาเจอกับวิกฤติจากภายนอก"ต้องใช้กึ๋น"มันถึงได้เละ อย่างที่เห็น นี่เพียงแค่สองปีเท่านั้น ถ้าทนได้ครบสี่ปี มันจะขนาดไหน อีกมุมหนึ่งมันก็ดีเหมือนกันมันจะได้ "ตาสว่างทั้งแผ่นดิน"เสียที
00 ลองไปถามหรือพูดคุยกับชาวบ้านเริ่มมีการบ่นกันเสียงดังแทบจะเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่า "ของแพง" สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นประเภทหมูเห็ดเป็ดไก่ รวมทัั้งไข่ ราคาพุ่งทั้งสิ้น สินค้าทุกอย่างล้วนปรับไปรอราคาแก๊ซ ราคาค่าไฟกันแล้วทั้งสิ้น ราคาข้วราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ติดป้าย จาก จานละ 30 บาทขึ้นเป็น 35 บาท จาก 35 บาทก็ขึ้นเป็น 40-45 บาทกันแล้ว รวมน้ำแข็งเปล่าอีกแก้วละ 2 บาท บวกกับค่าผ่อนรถคันแรก ค่าน้ำมันรถคันแรก อ้อเกือบลืมค่าทางด่วนรถคันแรกอีกที่ปรับราคาใหม่มาตังแต่วันที่ 1 กย.เช่นเดียวกัน ถ้าไม่รวยแบบนายกฯปู และคนในครอบครัวทักษิณ ชินวัตร คงอยู่ลำบากจริงๆ เวรกรรม !!
00 จากม็อบยาง-ม็อบปาล์ม ถัดมาวันที่ 9 กย.ก็เป็นม็อบค่าครองชีพ ค่าก๊าซแพง ค่าไฟแพง มีการกำหนดดีเดย์ไล่ "เพ้ง" รมว.พลังงาน พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล พ้นจากเก้าอี้ โทษฐานป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ดันไม่ดูแลความเดือดร้อนชาวบ้าน กลับไปปกป้องเอกชน บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท.ให้ช่วยกัน "ขูดรีด" กระทืบชาวบ้าน ก็ได้แต่หวังว่าคนไทยจะตื่นรู้กันเสียที ร่วมกันกำจัด "เหลือบไร"ที่เกาะกินออกไปโดยเร็ว