ศาลอาญาจำคุกตลอดชีวิต “ร.ต.ท.” อดีตตำรวจสันติบาล คลั่งหวาดระแวงถูกตามทำร้าย ก่อเหตุยิงตำรวจตาย 2 ศพ ศาลชี้พยานหลักฐานแน่นหนา แม้คำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง คงลดโทษเหลือจำคุก 50 ปี ซึ่งเป็นโทษสูงสุดตามกฎหมาย
ที่ห้องพิจารณา 901 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (19 ส.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฆ่าผู้อื่น หมายเลขดำ อ.1263/2555 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.พิจารณา คงอินทร์ อดีตรอง สว.กก.6 งาน 5 บก.ส.1 เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 376 พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2554 เวลากลางวัน จำเลยได้มีปืนพกออโตเมติก (Beretta) ขนาด 9 มม. Luger (Parabellum) ทะเบียน กท 5142791 พร้อมกระสุนปืนจำนวนหลายนัด ติดตัวไปที่ซอยตรงข้ามกองบังคับการตำรวจสันติบาล ถ.เศรษฐศิริ เขตดุสิต และยิง ด.ต.วิรัช ไชยรัตน์ และยิง ส.ต.ท.พรเทพ ดำนิล จนถึงแก่ความตายและยิงปืนโดยใช่เหตุ เหตุเกิดที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม.
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เวลา 18.00 น.วันที่ 18 ส.ค. 2554 เกิดเหตุคนร้ายใช้ปืนยิงผู้ใต้บังคับบัญชาเสียชีวิต 2 ราย และใช้ก้อนหินทุบกระจกรถกระบะจนเสียหาย ก่อนรื้อค้นทรัพย์สินแล้วหลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมทั้งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดโดยนำหลักฐานทั้งหมดส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ มีปัญหาตอนวินิจฉัยว่าจำเลยใช่ปืนยิงโดยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งตรวจสอบที่เกิดเหตุเบิกความว่า ได้รับแจ้งเกิดเหตุฆ่าผู้อื่นจึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบศพ ด.ต.วิรัชเสียชีวิตบริเวณตู้โทรศัพท์สาธารณะ ส่วน ส.ต.ท.พรเทพถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา พบปลอกกระสุนขนาด 9 มม.จำนวน 8-9 ปลอก และหัวกระสุน 2 อัน ซึ่งภายหลังนำไปตรวจเปรียบเทียบกับหัวกระสุนที่อยู่ในตัวผู้ตาย ปรากฏว่าเป็นกระสุนปืนที่ยิงมาจากปืนของจำเลย และจากการสอบสวนทราบว่าจำเลยก่อเหตุโดยใช้ปืนยิงผู้ตายทั้ง 2 และทิ้งปืนใกล้ศพ ด.ต.วิรัช จากนั้นใช้ก้อนหินทุบกระจกรถกระบะรื้อค้นทรัพย์สินแล้วหลบหนีไป พยานและชาวบ้านได้ช่วยกันจับตัวจำเลยไว้ได้
โดยการสอบสวนจำเลยรับสารภาพ และจากการสังเกตไม่ปรากฏว่าจำเลยมีท่าทีตื่นเต้นหรือขัดขืน ขณะที่รายงานการตรวจศพพบว่า ผู้ตายที่ 1 ถูกยิงจากด้านหลังมาหน้า เสียชีวิตตรงที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ตายที่ 2 ถูกกระสุนยิงจากด้านหลังทะลุท้องซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และมีเลือดออกในช่องท้องเสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ พยานซึ่งเห็นผู้ตายกับจำเลยก่อนเกิดเหตุ เบิกความสอดคล้องกันว่าก่อนเกิดเหตุได้เห็นจำเลยเดินคุยอยู่กับผู้ตายขณะพยานกำลังกลับเข้าบ้านพัก หลังจากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 8-9 นัด เห็นจำเลยใช้ก้อนหินทุบกระจกรถแล้วเปิดประตูค้นสิ่งของ จึงเข้าไปสอบถามจำเลยว่าทำอะไร จำเลยมองหน้าแล้ววิ่งหนีไป ต่อมามีคนมาบอกว่าจำเลยเป็นคนยิง จากทางนำสืบเห็นว่าเมื่อจำเลยถูกจับกุมหลังเกิดเหตุแล้วก็ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งมีทนายความและนักจิตวิทยาร่วมอยู่ด้วย และพยานโจทก์ที่มาเบิกความล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะให้การปรักปรำจำเลยและจำเลยให้การับสารภาพด้วยความสมัครใจ
ส่วนขณะเกิดเหตุจำเลยกระทำผิดไปโดยไม่รู้ผิดชอบหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงจากการนำสืบก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุและภายหลังการจับกุมจำเลยรู้ผิดชอบชั่วดีตลอด ประกอบกับในชั้นสอบสวนจำเลยไม่ได้อ้างหมอที่รักษาและไม่ได้ยื่นใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าจิตฟั่นเฟือนขณะที่แพทย์สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ซึ่งได้ตรวจจำเลยระบุว่าช่วงที่ได้พูดคุยกับจำเลยเป็นเวลา 30 นาที เห็นว่าจำเลยมีอาการหวาดระแวง หูแว่ว ไม่มีสมาธิ เป็นลักษณะโรคจิตชนิดเฉียบพลัน หากอาการดังกล่าวมีมากขึ้นจะทำให้เกิดผลในทางลบถึงขั้นทำร้ายตัวเอง แต่จากการพูดคุยยังพบว่าจำเลยสามารถโต้ตอบและสามารถต่อสู้คดีได้
ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าได้ไปแจ้งความที่ สภ.สระบุรี ระบุว่า มีผู้ที่แต่งกายเป็นตำรวจคอยติดตาม โดยคิดว่าตนเองจะถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิต ก็พบว่าแจ้งหลังจากเกิดเหตุ 2 เดือนแล้ว ทางนำสืบจำเลยไม่สามารถหักล้างคำเบิกความโจทก์ได้ และเมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งหมดพบว่าหลังเกิดเหตุจำเลยได้นำปืนและกระเป๋าเงินของผู้ตายไปอำพรางคดีเพื่อให้แสดงว่าผู้ตายยิงกันเอง และที่จำเลยกระทำไปเนื่องจากสติฟั่นเฟือน และเนื่องจากที่จำเลยนำเงิน 250,000 บาท มาชดใช้ให้มารดาผู้ตายทั้งสองก็ไม่อาจนำมาพิจารณาลงโทษสถานเบาได้ เนื่องจากในชั้นศาลพิจารณาจำเลยได้ทำการต่อสู้คดีมาโดยตลอดโดยไม่รู้สึกสำนึกผิด และจำเลยยังได้อาศัยความเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสร้างเรื่องตกแต่งเรื่อง ประกอบกับคดีนี้เป็นคดีที่มีพฤติการณ์ร้ายแรงต่อบ้านเมือง
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมตามมาตรา 288, 371, 376 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ จึงให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุก 3 เดือน ฐานพกพาอาวุธซึ่งไม่ได้รับอนุญาตไปในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต และให้จำคุกฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งเป็นโทษสถานหนัก 2 กระทงตลอดชีวิต ซึ่งคำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้างลดโทษให้หนึ่งในสามจำคุก 2 เดือน ฐานพกพาอาวุธฯ และฐานฆ่าผู้อื่นฯ 2 กระทง กระทงละ 33 ปี 4 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยสูงสุดตามกฎหมายเป็นเวลา 50 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.ท.พิจารณาได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี โดยก่อนอ่านคำพิพากษาผู้พิพากษาได้ขอให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ตรวจค้นร่างกาย เพราะเกรงว่าจะมีการพกพาอาวุธหรือสิ่งของอันตรายเข้ามาด้วย และภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา ร.ต.ท.พิจารณามีสีหน้าเรียบเฉย