“กรุงเทพโพลล์” สำรวจนักเศรษฐกิจส่วนใหญ่ 57% เห็นว่าในช่วงปี 2557-2563 จีดีพีจะขยายตัวเฉลี่ยน้อยกว่า 4% หาก “รัฐบาลปู” เดินแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตาม พ.ร.บ.บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน และพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ส่วน 57.4 เห็นว่ามีโอกาสมากกว่า 50% ที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะเกินร้อยละ 50 ขณะที่ 63% ระบุหนี้ครัวเรือนน่าห่วง แนะเลิกโครงการประชานิยมหากต้องการให้งบประมาณรายจ่ายสมดุลอย่างยั่งยืนในช่วงปี 2560
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 31 แห่ง จำนวน 61 คน เรื่อง “จีดีพีกับหนี้สาธารณะ” เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 22-28 สิงหาคมที่ผ่านมา
ผลสำรวจพบว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ร้อยละ 65.5 เห็นว่า ในช่วงปี 2557-2563 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลมีแผนจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตาม พ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน และ พ.ร.บ.ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน เศรษฐกิจไทยมีโอกาสกว่า 50% ที่จะขยายตัวเฉลี่ยน้อยกว่าร้อยละ 5.63 ต่อปี (จีดีพี ณ ราคาประจำปี) ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวเฉลี่ยในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา
ส่วนมีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่จีดีพีจะขยายตัวน้อยกว่าร้อยละ 4 ต่อปี นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ร้อยละ 57.4 บอกว่ามีโอกาสมากกว่า 50% นั่นหมายความว่ามีโอกาสมากกว่าครึ่งเช่นกันที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะเกินร้อยละ 50 ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ร้อยละ 85.2 คิดว่ารัฐบาลยังคงต้องใช้งบประมาณแบบขาดดุลอยู่ในปี 2560 มีเพียงร้อยละ 11.5 ที่คิดว่ารัฐบาลน่าจะใช้งบประมาณแบบสมดุลได้ตามที่ได้วางแผนไว้ และนักเศรษฐศาสตร์มากถึงร้อยละ 90.2 เชื่อว่ามีโอกาสมากกว่า 50% ที่รัฐบาลในช่วงปี 2560-2563 จะใช้งบประมาณแบบขาดดุลเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า “ระหว่างหนี้สาธารณะ หนี้ภาคเอกชน และหนี้ครัวเรือน หนี้อะไรน่าเป็นห่วงที่สุด” ร้อยละ 63.9 บอกว่าหนี้ครัวเรือนน่าห่วงที่สุด รองลงมาร้อยละ 31.1 หนี้สาธารณะน่าห่วงที่สุด ขณะที่หนี้ภาคเอกชนไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนใดที่เห็นว่าน่าห่วง
สุดท้ายเมื่อถามว่า “หากรัฐบาลจะใช้นโยบายงบประมาณรายจ่ายสมดุลอย่างยั่งยืน” ในช่วงปี 2560 เป็นต้นไป รัฐบาลต้องดำเนินการอะไรบ้างในตอนนี้ อันดับ 1 เห็นว่าต้องหยุด เลิก โครงการประชานิยมต่างๆ ที่อยู่ในลักษณะชดเชยราคา การโอนความมั่งคั่ง เนื่องจากโครงการในลักษณะนี้เป็นโครงการที่ไม่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการผลิตให้สูงขึ้น อันดับ 2 เห็นว่าต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นเร่งด่วน มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับรัฐเมื่อโครงการแล้วเสร็จ หรือช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน