สะเก็ดไฟ
เคยมีคำทำนายทายทักว่า จะมีผู้นำเป็นกาลกิณีจนเกิดอาเพศขึ้นในแผ่นดิน ในขณะเดียวกันก็เคยมีความพยายามที่จะยกย่อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า เปรียบเสมือน “นารีขี่ม้าขาว”
แต่บทพิสูจน์สองปีจากการบริหารงานของยิ่งลักษณ์ ประชาชนน่าจะได้คำตอบกับตัวเองแล้วว่า ยิ่งลักษณ์ เป็น “นารีขี่ม้าขาว” หรือเป็น “นารีกินเมือง”
เรื่องน้ำท่วมใหญ่ปี 54 คงไม่ต้องพูดถึง เพราะคนไทยน้ำตาตกลอยคอกลางน้ำกันถ้วนหน้า ซึ่งเชื่อว่าความทุกข์ยากแสนสาหัสในช่วงเวลานั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทยทุกคน
สำหรับคนเชื่อโหราศาสตร์อย่างยิ่งลักษณ์ ยิ่งต้องคิดหนัก เพราะอยู่ดีๆ ระหว่างการออกทัวร์นกแก้วที่สุรินทร์ อุตส่าห์จัดฉากยิ่งใหญ่ให้นางพญาเหยียบเมืองด้วยพิธีทำบุญตักบาตรบนหลังช้าง ที่บริเวณอนุเสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ก็เกิดเหตุการณ์ช้างกระทืบคนตายห่างจากจุดที่ยิ่งลักษณ์จะขึ้นทำบุญตักบาตรบนหลังช้างเพียง 20 เมตรเท่านั้น
และดูเหมือนว่ายิ่งลักษณ์จะต้องชะตากับภัยพิบัติเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเธอเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เกิดเหตุลมกระโชกแรงจนทำให้พานทองที่ศาลพระภูมิบริเวณสนามหญ้าด้านประตู 1 ทำเนียบรัฐบาล ตกลงมาแตกเป็นสองเสี่ยง
และจู่ๆ ก็มีดอกเห็ดขี้ควายบานสะพรั่งที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าอันเป็นสถานที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี
ไม่เพียงแต่ทำเนียบจะเกิดเรื่องแปลกๆ เท่านั้น แม้แต่ “สภายุคปูแดง” ก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไล่เรียงได้ดังนี้ 10 พ.ค. 56 กิ่งต้นประดู่อายุหลายสิบปีหักโค่นทับรถตู้ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา 2 คันแต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
22 พ.ค. 56 ตัวเงินคัวทองขนาดใหญ่บุกฝ้าเพดานอาคารรัฐสภาในวันที่มีการนำร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับสุดซอยของจับกัง 1 เข้าสู่สภา เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาถึง 2 วันในการไล่ล่า “เหี้ย” ให้ออกไปจากสภา
7 มิ.ย. 56 ยังเกิดเหตุกาณณ์งูเหลือมขนาดความยาว 3 เมตร เลื้อยขึ้นไปบนต้นหมากหลังศาลพระสยามเทวาธิราชที่สภาด้วย
5 ส.ค. 56 ลมพัดกระโชกแรง ฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ทำให้ต้นมะม่วงขนาดใหญ่อายุกว่า 30 ปี หักโค่นล้มทับต้นชมพู่มะเหมี่ยวด้านหลังอาคารรัฐสภา 1
นอกจากนี้ ต้นงิ้วอายุกว่า 100 ปี ขนาด 3 คนโอบ ซึ่งอดีตเป็นสถานที่ตั้งศาลพระภูมิเก่าบริเวณอาคารรัฐสภา 2 ก็มีกิ่งหักหล่นลงมาจำนวนมาก ในขณะที่รัฐบาลมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เนื่องจากจะมีการพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมในวันที่ 7 ส.ค. 56
ล่าสุด 23 ส.ค. 56 ปลาคาร์ปในบ่อหน้าอาคารรัฐสภาเกิดการติดเชื้อปรสิต ล้มตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งมาจนถึงวันนี้ปลาคาร์ปก็ยังคงทยอยตายโดยที่สภาไม่ได้มีการแก้ปัญหาแต่อย่างใด
ทั้งที่อ้างว่าให้กรมประมงมาแก้ปัญหาแล้ว แต่สิ่งที่เห็นคือเจ้าหน้าที่ต้องคอยช้อนปลาคาร์ฟซึ่งปกติจะมีอายุยืนยาวเป็น 100 ปี ลอยตายเกลื่อนอย่างน่าอนาจ
ในขณะที่น้ำในบ่อก็ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว เรียกว่าเน่าไม่แพ้ “สภาขี้ข้า” ที่กำลังรับใช้นายใหญ่อย่างไม่ลืมหูลืมตาในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.
จะเปรียบไปแล้วบ่อปลาคาร์ปก็เหมือนสภาที่ต้องการการชำระล้างให้ความสกปรกออกไปโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ปลาคาร์ปจะตายจนหมดบ่อ เฉกเช่นเดียวกับสภาไทยถ้าไม่มีการสะสางครั้งใหญ่เหมือนการแยกปลาป่วยออกจากปลาดีก็จะทำให้สภาเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ
เพราะทุกวันนี้ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ก็ไม่ปฏิเสธการเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” ที่มีการประจานกันกลางสภาอยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่ายอมรับโดยดุษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร.ต.อ.เฉลิม ที่เป็นคนเอ่ยปากบอกเองอย่างภาคภูมิใจในความเป็น “ขี้ข้า” ก่อนจะได้ยกระดับไปเป็น “จับกัง 1” ในภายหลัง
บ่อปลาคาร์ปอาจเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของอาคารรัฐสภามานานแล้ว จึงควรมีการจัดงบประมาณดูแลรักษาไม่ใช่ปล่อยให้ปลาตายลอยอืด น้ำเหม็นอยู่หน้าสภา
แต่กลับจัดงบประมาณ 15 ล้าน ซึ้อนาฬิกาเรือนละ 75,000 บาท มาติดทั่วไปหมด เฉพาะแค่ตรงห้องโถงอาคารรัฐสภา 1 ติดนาฬิกาแพงมหาโหดดังกล่าวถึง 6 เรือน ไม่ต่างจากบริเวณสโมสรรัฐสภาที่ติดนาฬิกาทั้งด้านนอกและด้านในรวมถึง 5 เรือนด้วยกัน
เรียกว่าเดินไปที่ไหนในสภาสิ่งที่จะได้เจออย่างแน่นอน คือ เจ้านาฬิกา 75,000 บาท ให้ช้ำใจคนเสียภาษี เพราะแม้แต่หน้าลิฟท์ก็ยังมีนาฬิกาติดบอกเวลาให้ ส.ส.ที่ไม่เคยตรงเวลาได้มองดู เพื่อให้บางคนได้งาบงบหลวง
ตลกร้ายไปกว่านั้น เจ้านาฬิกาสุดอื้อฉาวนี้ยังเคยตายประจานคนซื้อมาแล้ว จนมีมือดีแจกใบปลิวข้อความว่า “นาฬิกาตายยังแก้ได้ ปลาคาร์ปตาย มันแก้ไม่ได้ ปลาตายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 23 ส.ค.ยังไม่คิดแก้ไข ปล่อยมาถึงวันจันทร์ที่ 26 ส.ค. 56 จะให้ตายหมดบ่อ คิดทำอะไรกันอยู่”
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนได้ถึงการบริหารงานของรัฐบาล และการทำงานของรัฐสภาว่า มุ่งแต่จะผลาญงบประมาณ ไม่ดูดำดูดีประชาชน เอาแต่มุ่งออกกฎหมายเพื่อพี่ชายและพรรคพวก แก้รัฐธรรมนูญเพื่อกินรวบประเทศไทย
ปล่อยให้คนไทยหิวโหย ทรุดโทรม ไม่แตกต่างจากปลาคาร์ปในบ่อหน้าอาคารรัฐสภา
ที่น่าอนาจใจมากไปกว่านั้นคือ มาจนถึงวันนี้ ปลาคาร์ปยังคงต้องอยู่ในบ่อน้ำเน่าโดยไม่มีการแก้ไข ไอ้ที่อ่อนแอก็ตายไป ส่วนที่แข็งแรงยืนหยัดอยู่ได้ก็เหลือน้อยเต็มที
ไม่ต่างจากประชาชนที่กำลังเดือดร้อนกันถ้วนหน้าโดยเฉพาะคนจนจากการกระชากค่าครองชีพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่จะเริ่มในวันที่ 1 กันยายน 2556 นี้ ทั้งการขึ้นค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้า ค่าทางด่วนในขณะที่ข้าวของราคาแพง รายได้ประชาชนหดหาย เศรษฐกิจถดถอย
ประชาชนรอคอยการช่วยเหลือจากรัฐบาลไม่ต่างจากปลาคาร์ปที่หายใจพะงาบๆ รอความตายอยู่ในบ่อหน้าอาคารรัฐสภา