xs
xsm
sm
md
lg

"สนธิ" ลั่นยุติบทบาทไม่ได้ถอยแต่คือยุทธวิธี - "จำลอง" มั่นใจเกิดประโยชน์ต่อชาติแน่นอน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"สนธิ" ลั่นแกนนำฯยุติบทบาทไม่ใช่เป็นการถอยแต่คือยุทธวิธีเพื่อก่อเกิดพลังใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเก่า ยันจุดยืนจะเหมือนเดิมตลอดไป พร้อมกลับมาอีกเมื่อชาติต้องการ พร้อมฝากถึงพี่น้องพันธมิตรฯใช้ปัญญาพิจารณาในการร่วมชุมนุม หากกลุ่มไหนทำเพื่อปฏิรูปจริงให้ไปร่วมเต็มที่ ด้าน "พล.ต.จำลอง" เผยการตัดสินใจครั้งนี้ทำอย่างรอบคอบ มั่นใจเป็นสิ่งถูกต้องและจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติ


 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"

วันนี้ (23 ส.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวเปิดใจภายหลังจากที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกแถลงการณ์ยุติบทบาท ว่า ถ้าพันธมิตรฯ จะออก หรือแกนนำจะสู้อีกครั้งหนึ่ง การต่อสู้นั้นต้องคุ้ม คือต้องเปลี่ยนแปลงบ้าน เปลี่ยนแปลงเมืองได้ แต่ถ้าสู้เพียงเพื่อล้มระบอบทักษิณ เราไม่สู้ เพราะว่าระบอบทักษิณ และระบอบพรรคการเมือง จะชื่ออะไรก็ตามมันคือปัญหาใหญ่ของประเทศชาติที่ประกอบกันเป็นสภาผู้แทนราษฎร

การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยนั้น อำนาจมีอยู่ 3 อำนาจ นิติบัญญัติ บริหาร และก็ตุลาการ ต้องแยกออกจากกัน แต่สิ่งที่เจอทุกวันมาเป็นเวลาสิบๆปี ก็คือนิติบัญญัติกับบริหารเป็นเนื้อเดียวกัน เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าระบอบการเมืองของเมืองไทยนั้นเป็นระบอบเดรัจฉาน เป็นระบอบที่ไม่ได้ใช้เหตุไม่ใช้ผล แต่เป็นระบอบที่ใช้หลักคณิตศาสตร์ เหตุการณ์ในสภา 3-4 วันที่ผ่านมา ก็ย่อมเป็นบทพิสูจน์ได้ว่าการเมืองในที่สุดแล้วคือ การใช้เครื่องคิดเลขมากดตัวเลขว่าใครเสียงข้างมากกว่าก็ชนะไป และเมื่อชนะแล้วจะทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นพันธมิตรฯเห็นว่าตรงนี้คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงถึงแม้จะล้มระบอบทักษิณได้ ระบอบใหม่ขึ้นมาก็ใช้วิธีการเช่นนี้เช่นกัน

นายสนธิ กล่าวต่อว่า การตาย การพิการ ของพันธมิตรฯ ต้องไม่เสียเปล่า ต้องไม่เป็นเครื่องมือของใครอีกต่อไป และนี่คือหลักการที่ตนยืนมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถ้าจะทำโดยเอาชาติเป็นตัวตั้ง ประชาธิปัตย์ต้องออกมาจาก ส.ส.แล้วมาสู้ร่วมกัน แต่ถ้ายังจะสู้ในสภาตนไม่เอาด้วย และมาชูว่าสู้เพื่อล้มระบอบทักษิณแต่ไม่ยอมชูว่าสู้เพื่อปฏิรูปทางการเมือง

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในโลกนี้ ไม่ได้เปลี่ยนในสภาแต่เปลี่ยนบนถนนทั้งสิ้น ประชาชนเป็นผู้เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ใช่นักการเมือง และยืนยันตรงนี้ว่าชาติบ้านเมืองทุกวันนี้พินาศฉิบหายเพราะนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตาม

ตนไม่มีน้ำตา และต้องขอให้พี่น้องเข้มแข็ง ถ้าเป็นพันธมิตรฯ ต้องเข้มแข็ง ต้องเข้าใจการตัดสินใจครั้งนี้ว่าทำไมเราต้องยุติบทบาททางการเมือง นั่นเพราะเราได้หงายไพ่ของเราไปแล้ว ให้เขาเสียสละหน่อยได้ไหมออกมาร่วมกับเรา เมื่อไม่เอาตนก็ไม่เล่นด้วย

นายสนธิ ยังกล่าวอีกว่า การที่แกนนำพันธมิตรฯยุติบทบาทนั้น ไม่ใช่เป็นการถอย แต่เป็นการรุกอย่างหนึ่ง นี่คือยุทธวิธี พี่น้องอย่าเสียกำลังใจ พันธมิตรฯที่แท้จริงเอาชาติเป็นตัวตั้ง ไม่เอาพรรคการเมือง พร้อมที่จะปฏิรูปประเทศไทย เมื่อเอาหลักการเป็นตัวตั้ง มีแกนนำ หรือ ไม่มีแกนนำก็ไม่มีความหมาย พวกเราจะไม่เปลี่ยน ยังมั่นคงและซื่อตรงอยู่เหมือนเดิม เมื่อใดก็ตามชาติบ้านเมืองต้องการ เมื่อใดก็ตามถ้าประชาชนลุกขึ้นมาทั่วประเทศ หรือเมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยประชาชน เราจะกลับมา

นายสนธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้อย่าไปพึ่งพรรคการเมือง เพราะจะไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้ เพราะมีผลประโยชน์ของพรรคการเมืองที่จำเป็นจะต้องอยู่ในสภา และรักษาสภาเดรัจฉานอันนี้ไว้

พี่น้องอย่าเสียใจ มั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองศรัทธา ตอนนี้พี่น้องมีอิสรเสรีภาพไม่ต้องฟังแกนนำ แต่ใช้ปัญญาคิดว่า จะไปร่วมกลุ่มไหนดี กลุ่มไหนที่สู้เพื่อปฏิรูปประเทศไทยจริงๆ ไปร่วมเลย แล้วเอเอสทีวี เว็บไซต์ผู้จัดการ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ วิทยุผู้จัดการ พร้อมที่จะรับใช้ในหลักการที่เรายึดมั่น หลายคนร้องไห้หน้าทีวี ไม่ต้องไปเสียน้ำตา เข้มแข็งเอาไว้เหมือนอย่างที่นายพิภพพูด นี่คือการเกิดใหม่ของพวกเรา และเราจะแข็งแกร่งกว่าเก่าอย่างแน่นอนที่สุด

ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ซึ่งเราเห็นพ้องต้องกันโดยไม่มีการโน้มน้าว นัดแนะ หรือมีการคะยั้นคะยอแต่อย่างใด เรามั่นใจว่าจากการที่เราได้ประชุมอย่างรอบคอบ จะทำให้การตัดสินใจครั้งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติอย่างแน่นอน

สิ่งที่พันธมิตรฯทำมา เป็นสิ่งที่เราจะภาคภูมิใจไปตลอด เพราะได้ทำมาเป็นผลสำเร็จทุกครั้ง และการตัดสินใจครั้งนี้ได้ทำอย่างรอบคอบแล้ว และไม่ต้องตกใจเราไม่ไปไหน จะอยู่ข้างพี่น้องตลอดเวลา และพร้อมที่จะเสียสละเสมอ ขอขอบคุณพันธมิตรฯ ทุกคน รวมทั้งพี่น้องประชาชนที่ติดตามพวกเรามาโดยตลอด ที่ได้ให้การช่วยเหลือสนับสนุนตลอดมา











คำต่อคำ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2556

ปานเทพ - สวัสดีครับท่านผู้ชม ขอต้อนรับเข้าสู่รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ซึ่งเป็นรายการพิเศษในค่ำคืนนี้ และเป็นเหตุการณ์สำคัญจริงๆ นะครับ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก่อนที่เราจะไปทักทายผู้ที่เป็นเจ้าของรายการ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ก่อนนะครับ ว่า ท่านผู้ชมสามารถสื่อสารกับเราได้ทางเอสเอ็มเอส ด้วยการพิมพ์ N1 ตามด้วยข้อความ ส่งมาที่ 4850770 หรือเฟซบุ๊ก กดไลค์ที่ คุยทุกเรื่องกับสนธิ แล้วฝากคำถามได้เลยนะครับ และแสดงความเห็นทางโทรศัพท์ก็ได้นะครับ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-629-4433 เราจะมีเจ้าหน้าที่คอยรับสายจากท่านเพื่อมาเป็นคำถามในวาระสำคัญครั้งนี้นะครับ และขอต้อนรับเจ้าของรายการ พร้อมกับแขกรับเชิญ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ครับ สวัสดีครับ

สนธิ/จำลอง - สวัสดีครับ

ปานเทพ - แหม มากันสองคนนี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นที่ติดตามและฮือฮามากว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าคนสองคนมาเจอกัน ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

สนธิ - ก็คิดถึง ใช่มั้ยครับพี่ลอง

จำลอง - โทรมาสอบถามกันจ้าละหวั่นเลย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ว่าอะไรมันเกิดขึ้น

สนธิ - จริงๆ วันนี้เป็นวันที่จะเรียกว่าสำคัญ ก็ต้องสำคัญมากๆ เพราะว่าวันนี้เป็นจุดเปลี่ยนอย่างที่คุณปานเทพพูด แต่ผมคิดว่ามันเปลี่ยนไปในทางที่ดี หลายครั้งถ้าเราพูดจบในรายการนี้แล้ว อาจจะต้องให้คนหลายคนใช้เวลาสักพักหนึ่ง ประมวลเหตุการณ์ดูและฟังสิ่งที่เราพูด และคิดใช้สติคิดนิดนึง และผมมั่นใจว่าจะเกิดปัญญา แล้วจะเข้าใจสิ่งที่พวกเราทำ และเมื่อเวลาผ่านไปแล้วจะเห็นด้วย หลายคนที่ไม่เห็นด้วยวันนี้ อาจจะต้องเห็นด้วยในวันหน้า แต่ว่าพวกเราวันนี้มาเพียงแค่นี้แหละครับ

ปานเทพ - ไม่ใช่ 3 คนนะครับ วันนี้มามากกว่า 3 คน มากกว่าที่เป็นข่าวอีกนะครับ เพราะว่าวันนี้มาครบ 8 คน

สนธิ - ทั้งแกนนำรุ่น 1 รุ่น 2

ปานเทพ - แกนนำรุ่นที่ 1 รุ่นที่ 2 นะครับ ขอต้อนรับ คุณพิภพ ธงไชย อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แล้วก็คุณศรัณยู วงษ์กระจ่าง คุณศิริชัย ไม้งาม และคุณมาลีรัตน์ แก้วก่า มาครบทีม 8 คน ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน เพราะว่าขนาดแถลงข่าวทั่วๆ ไป ก็ยากที่จะครบทั้ง 8 คนนะครับ วันนี้ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญใช่ไหมครับ คุณสนธิ

สนธิ - ใช่ครับ มีการออกแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายที่ผมอยากให้คุณปานเทพเป็นคนอ่านดีกว่านะครับ พออ่านจบแล้วพวกเราแต่ละคนก็จะลุกขึ้นมาเพื่อพูดย้ำและออกความคิดเห็นกัน เชิญครับ

ปานเทพ - ก็ขออนุญาตว่า แถลงการณ์ฉบับนี้มาจากมติของแกนนำทุกคนนะครับ เป็นเอกฉันท์ในการตัดสินใจครั้งนี้ แล้วก็เป็นเรื่องที่เราตัดสินใจอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่มีข้อขัดแย้งกันเลย ไม่มีข้อถกเถียง เป็นเอกภาพ เป็นหนึ่งเดียว เรียนให้ทราบว่าแถลงการณ์ฉบับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นแถลงการณ์ที่อาจจะเรียกได้ว่ายาวที่สุด เขียนยากที่สุด มีการปรับปรุงแก้ไขมากที่สุด และชื่อแถลงการณ์ก็สำคัญมากเช่นเดียวกันนะครับ ถ้าพร้อมแล้วเราจะไปกันนะครับ


แถลงการณ์ฉบับที่ 5/2556
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เรื่อง

แถลงการณ์ฉบับสุดท้าย


ตามที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2556 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยังไม่นำมวลชนเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้ สืบเนื่องจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชน ได้ถูกกลั่นแกล้งโดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ และเพิ่มผู้ต้องหาจำนวนถึง 96 คน อย่างอยุติธรรมในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการสร้างพันธนาการให้กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ศาลอาญาก็ได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ.973/2556 ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2556 ว่า

“ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล”

และศาลอาญาได้แถลงย้ำคำสั่งดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ย่อมแสดงให้เห็นว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชนอีกจำนวนมากได้ถูกลิดรอนสิทธิจากคำสั่งดังกล่าวอย่างชัดเจน

หากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมโดยทำตามเงื่อนไขภายใต้คำสั่งศาลอย่างครบถ้วนก็จะเป็นเรื่องยากที่จะกำหนดยุทธวิธีในการชุมนุมให้ได้รับชัยชนะได้ ในทางตรงกันข้ามหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะฝ่าฝืนคำสั่งศาลในช่วงเวลานี้เพื่อให้ได้รับชัยชนะทางยุทธวิธีในการชุมนุม ก็จำเป็นที่การเสียสละนั้นจะต้องได้รับผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้อย่างแท้จริงเท่านั้น และการเสียสละของแกนนำก็ไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นมาตรการส่งเสริมการขายภาพลักษณ์หรือสร้างคะแนนนิยมให้กับพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรที่จะพ่ายแพ้ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้กับฝ่ายรัฐบาลในทุกกรณี

เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นว่าหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการชุมนุมคัดค้านปัญหาของประเทศรายประเด็นให้ได้ผลสำเร็จ ก็อาจคัดค้านได้อีกเพียงเรื่องเดียว ภายหลังจากนั้นเมื่อศาลมีคำสั่งให้ถอนการประกันตัว ก็จะมีปัญหาชาติในเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญตามมาอีกไม่สิ้นสุด ดังนั้นการเสียสละของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยการชุมนุมในปัญหารายประเด็นจึงย่อมไม่คุ้มค่ากับผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับในขณะนี้

ในทำนองเดียวกันหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยเคลื่อนไหวให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระหว่างการชุมนุมก็อาจถูกถอนประกันตัวจนไม่สามารถนำชุมนุมให้ได้รับชัยชนะได้ แม้ต่อให้การชุมนุมขับไล่รัฐบาลไปได้สำเร็จ ก็อาจจบลงด้วยการยุบสภาที่พรรคเพื่อไทยก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก หรือแม้หากมีการสลับขั้วทางการเมือง หรือ การรัฐประหาร โดยปราศจากเป้าหมายในการปฏิรูปประเทศไทย หลังจากนั้นปัญหาวิกฤติของชาติก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นการทุจริตคอร์รัปชัน การแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง และหากมีการเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณก็จะได้รับชัยชนะกลับมาเป็นรัฐบาลยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลโดยปราศจากความมุ่งมั่นของผู้ที่หวังจะเข้าสู่อำนาจในอนาคตที่จะปฏิรูปประเทศไทย ปราศจากการเสียสละอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนแล้ว ย่อมไม่คุ้มค่าต่อประเทศชาติที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะนำการชุมนุม

ดังนั้นท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความสลับซับซ้อนพัฒนาไปมากขึ้น ที่ไม่สามารถยุติปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการคัดค้านปัญหารายประเด็น และการแก้ไขปัญหาระบอบทักษิณก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น ปัญหาของประเทศชาติจึงถูกยกระดับไปเป็นระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งที่ทำให้การเมืองล้มเหลว ดังนั้น แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเห็นว่าหากมีความจำเป็นก็พร้อมจะเสียสละนำการชุมนุมแต่การชุมนุมนั้นจะต้องได้รับผลคุ้มค่าต่อประเทศชาติเท่านั้น จึงกำหนดความคุ้มค่าของการชุมนุมที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอยู่ที่ “การชุมนุมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน และปฏิรูปประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเท่านั้น”

อย่างไรก็ตามนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลในระบอบทักษิณก็มุ่งเน้นที่จะแก้ไขกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้กับตัวเองและพวกพ้อง แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภาอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองส่วนใหญ่ฝ่ายรัฐบาล โดยมีเป้าหมายในการที่จะครอบงำในการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมิให้สามารถตรวจสอบตัวเองได้เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2544 - พ.ศ. 2548 อันเป็นต้นเหตุของวิกฤตชาติมาจนถึงวันนี้ เราขอประณามนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่กระทำตัวเป็นทาสในระบอบทักษิณไม่มีสำนึกประโยชน์ของชาติ และสร้างวิกฤตให้แก่ประเทศชาติไม่มีวันจบสิ้น

ดังนั้นนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในนามตัวแทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้แสวงหาแนวร่วมเพื่อแก้ไขวิกฤตชาติให้ได้อย่างคุ้มค่าต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยได้เสนอทางออกให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์เสียสละลาออกมาเพื่อหยุดความชอบธรรมในจำนวนคณิตศาสตร์ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบอบเผด็จการรัฐสภา และสร้างกระแสเดิมพันหมดหน้าตักนำมวลมหาประชาชนทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อหยุดระบบการเมืองที่ล้มเหลว เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง และการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 65 ล้านคน
โดยไม่เข้าร่วมกับการเมืองในระบบนี้อีกไม่ว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ก็ตามจนกว่าจะได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมายการปฏิรูปประเทศไทย หากเป็นเช่นนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็พร้อมเสียสละ และจะร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองครั้งนี้ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าความเสี่ยงเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับ เพราะหากการชุมนุมของมวลมหาประชาชนเกิดขึ้นเมื่อใดโอกาสที่จะมีการปฏิรูปการเมืองครั้งนี้สำเร็จก็ย่อมมีสูง ซึ่งผลที่ได้คือมีโอกาสหยุดปัญหารายประเด็นในปัจจุบันได้ และมีโอกาสหยุดการเมืองระบอบทักษิณในภาวะวิกฤตเช่นนี้ได้ด้วย

ทั้งนี้ในยามที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ยังไม่ตื่นรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ยังหลงอยู่ในวังวนของสงครามขั้วอำนาจของพรรคการเมืองต่างๆ ลำพังการนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยย่อมไม่มีพลังพอที่จะนำการชุมนุมเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยได้ในเวลานี้ คงเหลือแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่มีศักยภาพพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นมวลชนที่มีฐานคะแนนถึง 12 ล้านเสียง นักปราศรัย นักกฎหมาย ฐานะการเงิน สถานีโทรทัศน์ ฯลฯ อีกทั้งผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์มิได้มีพันธนาการด้วยคำสั่งศาลเหมือนกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์จึงย่อมอยู่ในฐานะที่จะนำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้หากยอมเสียสละเพื่อเอาชาติเป็นตัวตั้ง

แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธไม่เสียสละลาออกจากระบบการเมืองล้มเหลวเพื่อออกมาร่วมสู้กับประชาชน ก็แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังคงหวังเพียงแค่ทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายรัฐบาล หรือ หวังสลับขั้วทางการเมืองในวันข้างหน้า หรือหวังโค่นล้มรัฐบาลโดยสนับสนุนมวลชนกลุ่มอื่นให้เสียสละแทนตัวเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพรรคการเมืองทุกพรรคในสภาผู้แทนราษฎรกำลังสมรู้ร่วมคิดรู้เห็นเป็นใจกันเพื่อรักษาระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งแบบนี้เอาไว้เพียงเพื่อรออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองในปัจจุบันหรือในวันข้างหน้าเท่านั้น
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เชื่อได้ว่ามีการปฏิรูปประเทศไทยภายใต้ทิศทางการนำของพรรคประชาธิปัตย์ เราได้วิเคราะห์เห็นแล้วว่าแนวทางดังกล่าวที่พรรคการเมืองทุกพรรคกำลังเดินหน้าอยู่นั้นจะนำไปสู่ความชอบธรรมของระบอบทักษิณที่จะได้รับชัยชนะในระบบรัฐสภามากขึ้น และจะกระชับอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนยากที่จะเยียวยาได้

การที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเสียสละในการนำชุมนุมย่อมไม่คุ้มค่าต่อประเทศหากมุ่งแต่เพียงคัดค้านปัญหารายประเด็น หรือโค่นล้มระบอบทักษิณโดยปราศจากการปฏิรูปประเทศ ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เสียสละที่จะนำการชุมนุมเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศอันเป็นประเด็นซึ่งคุ้มค่าที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะร่วมมือด้วย ดังนั้นจึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีฐานะการนำมวลชนได้จริงในสถานการณ์และเงื่อนไขในปัจจุบันนี้

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบัน มีกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งที่มีความห่วงใยบ้านเมืองซึ่งสนใจแต่เฉพาะการชุมนุมคัดค้านปัญหาบ้านเมืองรายประเด็น หรือบางกลุ่มอาจสนใจที่จะเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณแต่เพียงอย่างเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนอยู่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตามที่กล่าวมาข้างต้น ในขณะแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็มิอาจสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนอื่นใดโดยปราศจากความรับผิดชอบในความคาดหวังต่อทั้งชัยชนะต่อประเทศชาติและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมชุมนุมได้ ดังนั้นการดำรงอยู่ของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็อาจเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มอื่นที่อาจไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้

ดังนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งรุ่น 1 และ รุ่น 2 จึงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ยุติบทบาทจากฐานะแกนนำ เพื่อเปิดโอกาสให้ แกนนำ นักปราศรัย ศิลปิน พิธีกร ประชาชน ฯลฯ ได้ตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับกลุ่มใดก็ได้อย่างอิสระเสรี และเปิดโอกาสให้เกิดขบวนการใหม่ในสังคมไทย โดยไม่ต้องรอแถลงการณ์หรือมติใดๆ จากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีก

การยุติบทบาทครั้งนี้ถือเป็นยุทธวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือผู้ที่มีโอกาสจะมีอำนาจในอนาคต รวมถึง ทหารภายใต้จอมทัพไทยและศาลที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในบ้านเมือง รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองและเลือกเดินทางของตัวเอง มากกว่าที่จะคาดหวังหรือรอมติการนำมวลชนโดยแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้เป็นตัวแปรหรือเป็นเครื่องมือที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริงของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะเป็นอดีตรัฐบาลที่สร้างเงื่อนไขให้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนเป็นเหตุอันสำคัญยิ่งที่ทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่สามารถนำมวลชนได้เหมือนเช่นเดิม และในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านในปัจจุบันไม่เสียสละลาออกมานำการต่อสู้แบบหมดหน้าตักร่วมกับประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองทั้งๆ ที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศไปแล้วว่าพร้อมที่จะเสียสละเข้าร่วมการในการปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงยังคงเป็นปัญหาส่วนหนึ่งของประเทศและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศไทยด้วย พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องรับผิดชอบในผลที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อบ้านเมืองต่อไปด้วยเช่นกัน

เราขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าแม้แกนนำจะได้ยุติบทบาทไปแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังคงอยู่เช่นเดิม อุดมการณ์ความเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังอยู่ในสายเลือดและจิตใจของทุกคนเหมือนเดิม และเรายังคงมีภาระหน้าที่ในการต่อสู้คดีความ เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่สูญเสีย บาดเจ็บ และเสียชีวิต ตลอดจนแสวงหาความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดีในระหว่างการชุมนุมต่อไป โดยในระหว่างนี้เราได้ขอให้สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี เว็บไซต์แมเนเจอร์ สื่อสิ่งพิมพ์และวิทยุในเครือ เอเอสทีวี-ผู้จัดการ ยังคงเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมเพื่อนำไปสู่การให้ปัญญากับประชาชนและการปฏิรูปประเทศ โดยแกนนำที่ยุติบทบาทไปก็จะยังคงทำหน้าที่ให้ปัญญากับประชาชนตามหน้าที่และบทบาทของแต่ละคนเพื่อเป้าหมายในการนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริงเท่านั้น

จนกว่าสถานการณ์จะถึงพร้อมที่ประชาชนทุกกลุ่มได้ตื่นรู้และตั้งสติได้ว่าต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่ หรือเมื่อสถานการณ์ที่ผู้มีอำนาจหรือผู้ที่มีโอกาสจะเข้าสู่อำนาจในกาลข้างหน้า เสียสละอำนาจและผลประโยชน์ในปัจจุบันหรือในอนาคตเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย 65 ล้านคน เมื่อถึงเวลาดังกล่าวแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่แม้จะยุติบทบาทไปแล้ว ก็พร้อมจะกลับมารวมตัวกันใหม่เพื่อทบทวนบทบาทของตัวเองในการเคลื่อนไหวมวลชนอีกครั้งหากในเวลานั้นพี่น้องประชาชนยังคงต้องการพวกเรา


แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 พร้อมผู้ประสานงาน และมีการแต่งตั้งแกนนำรุ่นที่ 2 ต่อมาวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551 อีกทั้งยังมีการแต่งตั้งแกนนำรุ่นที่ 2 เพิ่มเติมในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 และวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เราขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ไว้วางใจพวกเราตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา และขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ได้เข้าร่วมชุมนุมแบบต่อเนื่องปักหลักพักค้าง 3 ช่วงเวลา เป็นจำนวนเวลาถึง 384 วัน 384 คืน จนได้รับผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการชุมนุมทุกครั้ง จึงนับเป็นการชุมนุมโดยสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธของภาคประชาชนครั้งประวัติศาสตร์ที่ยาวนานที่สุดในโลก

เราขอยืนยันว่าจะยังคงแน่วแน่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของวีรชนและพี่น้องประชาชนที่เสียสละไม่เคยเปลี่ยน และขอให้มั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นยุทธวิธีที่จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน

ด้วยจิตคารวะ

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ณ ห้องส่งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี

ปานเทพ - ในขั้นตอนต่อไป เราได้ตัดสินใจที่จะมีการให้ของขวัญท่านผู้ชม เป็นการรำลึกในสิ่งที่เราได้ทำมา ก่อนที่เราจะพูดต่อไป ด้วยเพลงๆ นี้นะครับ "แสงดาวแห่งศรัทธา" ครับ

(เพลง : แสงดาวแห่งศรัทธา)

ปานเทพ - ท่านผู้ชมครับ ตามขั้นตอนของพวกเรานะครับ เราจะแบ่งขั้นตอนเป็น 2 ช่วง ช่วงนี้เราจะให้แกนนำทีละท่านได้พูดความรู้สึกในใจของตัวเองบนไมโครโฟนด้วยการยืนนะครับ แล้วเราก็จะเริ่มจากรุ่นที่ 2 ไล่ไปหารุ่นที่ 1 หลังจากนั้น ในช่วงที่ 2 เราก็จะมีการถาม-ตอบ จากแกนนำรุ่น 1 เฉพาะนะครับ ในช่วงเวลานี้ขออนุญาตเริ่มต้นจากแกนนำรุ่นที่ 2 ผู้หญิงคนเดียวในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอต้อนรับคุณมาลีรัตน์ แก้วก่า เรียนเชิญครับ

มาลีรัตน์ - สวัสดีค่ะ ต้องบอกว่า พี่น้องเอ๊ยยย เป็นครั้งสุดท้ายในหน้าที่ของแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ค่ะ ดิฉันอยากจะบอกว่าวันนี้ ตอนแรกไม่ได้รับทราบมาก่อนว่าจะต้องเดี่ยวไมโครโฟน แต่เมื่อทราบแล้ว อยากจะบอกว่า เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา ที่เราฟังไป คือแรงใจที่จะเป็นกำลังก้าวต่อไปในวันข้างหน้า การยุติบทบาทแกนนำรุ่น 2 ดิฉันอยากจะบอกว่า ในช่วงระยะเวลาที่ได้ต่อสู้ร่วมกับพี่น้องมา ทุกบทบาท ทุกย่างก้าว ทุกการกระทำ ทุกคำพูด พวกเรามีความจริงใจต่อกัน พวกเราไม่เคยย่อท้อต่อความยากลำบาก พวกเราไม่เคยแม้แต่จะหยุดคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา พร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า แม้ชีวิตคนร่วงหล่นไปคนแล้วคนเล่า สิ่งหนึ่งที่ดิฉันเองในฐานะแกนนำรุ่น 2 ที่ได้รับมอบหมายจากแกนนำรุ่น 1 หลังจากวันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 ตระหนักก็คือ สิ่งที่แกนนำทุกคนคิดอยู่เสมอก็คือ ความรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชนที่มาชุมนุมในแต่ละครั้ง

เพราะฉะนั้นปีที่ผ่านมาเราคุยกันหลายหน 54 55 และ 56 คุยว่าเราจะเดินอย่างไร จึงจะทำให้พี่น้องประชาชนได้รับชัยชนะ โดยที่ไม่ต้องบาดเจ็บล้มตายกัน หลายครั้งที่มีการเคลื่อนไหวของหลายกลุ่ม หลายองค์กร เราได้แต่มอง เราได้แต่ส่งกำลังใจสนับสนุน เราได้แต่ไม่กล้าที่จะ ไม่ใช่ไม่กล้าว่า เรากลัวนะคะ ไม่กล้าที่จะบอกว่า อย่าเพิ่งเดินเลย เนื่องจากอะไร เกรงว่าจะไปทำลายการเคลื่อนไหวต่อสู้ของแต่ละคน ที่ตัดสินแต่ละยุค แต่ละองค์กร เพราะฉะนั้นวันนี้เราเคยคุยกันว่าเราจะยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯมาก่อน แต่ไม่ใช่แค่แกนนำพันธมิตรฯ ในครั้งนั้นเราคุยกันว่าหาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านสภาฯ แล้วเอื้อโอกาสให้คนทำผิดลอยนวล เราจะพากันชุมนุมครั้งใหญ่แล้วประกาศสลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สุดท้ายเราก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดีที่จะทำแบบนั้น แต่เรามีทิศทางที่วันนี้การที่แต่ละคนตัดสินใจ ดิฉันบอกได้เลยว่า ไม่มีใครโน้มน้าวจูงใจใคร ทุกคน ณ วันที่ตัดสินใจ ไม่ได้ร้องไห้แบบนี้นะคะ แต่เราตัดสินใจด้วยรอยยิ้ม ด้วยความมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำ เป็นสิ่งที่ชอบแล้วกับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้

เพราะฉะนั้นวันนี้ดิฉันบอกได้เลยทุกคนที่รอคุณลุงจำลอง และคุณสนธิอยู่ ต้องบอกว่าช็อก หลายส่วนที่คอยแกนนำเท่านั้น วันนี้ช็อก แต่สำหรับคนที่ตัดสินใจอะไรไปก่อนหน้านี้ อาจจะไม่ช็อก เท่ากับคนที่รอแกนนำ ดิฉันยืนยันอย่างนี้ เพราะว่าดิฉันได้รับโทรศัพท์ วันนี้จะมีอะไร ดิฉันบอกไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ฟัง 2 ทุ่ม แล้วจะรู้ เพราะฉะนั้นแถลงการณ์ที่ อ.ปานเทพ อ่าน เฉลยทุกปัญหา เฉลยถึงสิ่งที่เราจะเดินต่อไปในอนาคต ว่าจะทำอะไร ถามว่าคำสั่งศาล สำหรับตัวดิฉันเอง ดิฉันเป็นคนที่ไม่เคยทำผิดแม้แต่กฎจราจรเล็กๆ น้อยๆ คนขับๆ ดิฉันยังดุ หากทำผิดกฎจราจร ไม่เคยฝ่าฝืน และเป็นคนที่ทำตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ทั้งๆ ที่บางครั้งรู้ว่ากฎหมายนี้มันไม่ถูก เพราะเราเองเคยอยู่ในรัฐสภามาก่อน เป็นผู้ที่ออกกฎหมายมาก่อนด้วย เพราะฉะนั้นอยากจะเรียนท่านอย่างนี้ค่ะ ณ วันนี้เราทำแบบนี้ ถามว่าเจ็บปวดมั้ย เจ็บปวด ถามว่าอยากยุติบทบาทมั้ย อยากมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ ไม่ใช่เพิ่งวันนี้ แต่ไม่ใช่อยากเพราะว่า อยากยุติบทบาทที่แบกปัญหา คนมักจะถามว่า ทำไมแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ทำแบบนั้น ทำไมแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ทำแบบนี้ ทำไมเรื่องนี้ไม่เดินอย่างนั้น ทำไมเรื่องนี้ไม่เดินอย่างนี้ วันนี้คำตอบมีแล้วค่ะ ทุกคนเป็นอิสระที่จะเดินหน้าไปได้ด้วยตนเอง นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันเองรู้สึกด้วยตัวเองด้วย จะไม่มีการผูกติด ยึดติดใดๆ ทั้งสิ้นแต่อย่างหนึ่งบอกท่านว่า ช็อกได้ ไม่คาดฝันได้ แต่อย่าท้อ อย่าหมดกำลังใจ วันนี้พัก ฟังเสร็จแล้วเอาไปตรองพัก ต้องอ้างถึงแม่น้องปาล์ม มักจะมีคำถามเสมอว่า เอ๊ะพี่ติ๊ก ทำไมคุณลุงตัดสินใจอย่างนี้ ทำไมคุณลุงไม่ทำอย่างนั้น ทำไมพวกพี่ไม่ทำแบบนี้นะคะ แล้ววันนึงก่อนหน้านี้ 2 วัน แม่น้องปาล์มโทรมาบอกว่า พี่ติ๊ก แม่น้องปาล์มรู้แล้วว่า สิ่งที่คุณสนธิ ลุงจำลองพูดมันคือความจริงทุกถ้อยคำ ผ่านกาลเวลาแล้ว กว่าแม่ปาล์มจะรู้ว่า เป็นแบบนี้ วันนี้ก็เช่นกันนะคะ แบบที่คุณสนธิได้พูดไปว่า ให้ไปตรองให้ไปคิด

ดิฉันเองอยากจะบอกว่า ยังจะอยู่เคียงข้างพี่น้องอยู่เสมอ ไม่ว่าโอกาสใด วันใด เวลาใด แล้วแต่โอกาสวาระที่เราจะได้พบกันนะคะ อาจจะเป็นเพียงการไปให้กำลังใจ สำหรับคำสั่งศาลอันนี้บอกได้เลยว่า ดิฉันเคารพคำสั่งศาล แต่ถ้าจำเป็นถึงที่สุดนะคะ พร้อมทุกเวที แต่ต้องคุ้มค่าพอที่จะสละตัวเองเข้าไปอยู่ในกรง เดี๊ยนเคยพูดเล่นๆ บอกว่า วันไหนที่ถูกตัดสินด้วยความอยุติธรรม ดิฉันจะประกอบวีรกรรมอะไรที่ศาลนะคะ ก็มีการพูดกันหัวเราะกัน ว่าจะเป็นอย่างไร พี่สนธิบอก อ๋าก็หัวเราะ ยิ้มสิ ดิฉันไม่พูดว่าดิฉันจะทำอะไร ประกอบวีรกรรมอะไรที่ศาล แต่พอตัดสินใจแบบนี้ รู้ว่าวันเวลาที่รอเราอยู่ ยังมี ยังมีวันเวลารออยู่ ฉะนั้นต้องบอกว่าเป็นการพูดที่มาจากใจ และสดๆ เพราะฉะนั้นอยากจะจบด้วยกลอนบทนี้

"เป็นธรรมดาการต่อสู้ที่รับรุก บางครั้งบุก บางครั้งถอยตามโอกาส บางครั้งเดิน บางครั้งหยุดตามสามารถ ขึ้นกับสถานการณ์ชี้ขาดการเปลี่ยนแปลง ได้เวลายุติบทบาท ยุติตน ได้เวลาปรับบทบาททุกแห่งหน กลยุทธ์แจ้ง พันธมิตรฯ แกนนำถึงจุดยุติบทบาท ยุติแสดง เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่"

การปฏิวัติ ดิฉันขอใช้คำว่า ใครจะปฏิรูป ดิฉันขอใช้คำว่า เพื่อการปฏิวัติประเทศไทยก้าวข้างหน้าต่อไปค่ะ พี่น้อง ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนค่ะ

ปานเทพ - ลำดับถัดไปครับก็คงจะเป็นผู้ที่เสียสละอีกท่านหนึ่ง เป็นศิลปินที่มาเป็นแกนนำ และต้องเสียสละอย่างมากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ขออนุญาตเริ่มต้นต่อลำดับถัดไปที่คุณศรัณยู วงษ์กระจ่าง นะครับ เชิญพี่ตั้วครับ

ศรัณยู - ในบรรดาแกนนำทั้งหมด ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 คงจะมีผมเป็นแกนนำที่ใช้เวทีพูดจาปราศรัยน้อยที่สุด สั้นที่สุด ส่วนใหญ่ก็จะขึ้นด้วย ขอเวลาแป๊บเดียวนะครับ สั้นๆ เพราะนั่นก็คงจะบ่งบอกถึงตัวตนของผมอย่างชัดเจนว่าผมเป็นแกนนำได้อย่างไร คือผมก็จะมีสถานะหน้าที่แบบหนึ่งเมื่ออยู่ในที่ชุมนุม ย้อนไปเมื่อพฤศจิกาฯ ปี 51 ก็คงจะเห็นว่า ในขณะที่เราชุมนุมกันอย่างยาวนาน สิ่งที่ผมทำได้ก็คือร้องเพลง เขียนเพลงบนเวที แล้วก็คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่ประสานกับพ่อแม่พี่น้องได้ นั่นก็เป็นที่มาของการได้รับความไว้วางใจให้เป็นแกนนำ แต่วันนี้ภาคบังคับที่จะต้องมาพูดในเวลา 10 นาที ซึ่งไม่รู้จะพูดถึงหรือเปล่านะครับ

การพูดในวาระนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่ง่ายครับ ยากพอๆ กับครั้งแรกที่ต้องขึ้นเวทีแล้วพูด ดังนั้นเรื่องที่น่าจะสื่อสารอธิบายความได้ง่ายที่สุดก็คือ เรื่องของตัวผมเอง ตั้งแต่ครั้งที่เหยียบย่างเข้ามาเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ย้อนความไปตั้งแต่ปี 48 49 8 ปีกว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ บ้านเมืองมีหลายอย่างเกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกับตัวผม ผมได้มาสัมผัสกับสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัส ได้มาเรียนรู้ รู้จักผู้คนมาเข้าใจสถานการณ์หลายๆ สถานการณ์ที่ต่างไปจากการแสดง ต่างไปจากอาชีพที่เคยทำอยู่ ได้เข้าใจถึงภาวะการตัดสินใจที่สำคัญต่อชาติบ้านเมือง ต่อชีวิตผู้คนก็ไม่น้อย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากสำหรับผมในฐานะมนุษย์หนึ่งคน

มันให้ผมมากทีเดียวนะครับ ในตลอดเวลาที่ก้าวเข้ามาตรงนี้ แม้ว่าจะต้องสูญเสียหลายๆ อย่าง หลายๆ คนก็พูดอยู่ว่า ถ้าผมไม่มาตรงนี้และผมทำงานทำการของผมต่อไป ผมคงจะมีอนาคต ณ วันนั้นนะครับ ซึ่งหมายถึงปัจจุบันในวันนี้คงจะต่างไปจากที่เป็นอยู่ตรงนี้ คงจะมีความสุขกับรูปแบบการใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง อย่างมากมายทีเดียว แต่ผมคิดว่าถ้าผมกลับไปตรงนั้น และผมเลือกอีกอย่างที่ไม่ใช่อย่างนี้ ผมก็คงจะพลาดโอกาสที่จะได้พบกับความสุขและความเป็นจริงของชีวิตอย่างที่ได้พบอยู่ทุกวันนี้ ผมได้พบกับพี่น้องประชาชนมากมายที่ผมไม่เคยรู้จัก ที่หยิบยื่นมิตรไมตรีที่ให้โอกาสให้กำลังใจไม่น้อยในหลายครั้งที่ผมพบกับปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ นั่นเป็นสิ่งที่มีค่ามาก มีค่ายิ่ง มันเป็นกำลังใจที่ทำให้ยังคงยืนหยัดอยู่ตรงนี้ แม้ว่าบทบาทของผมจะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมตัดสินใจเวลามีการประชุมแกนนำ ร่วมแสดงความคิดเห็น แต่มันก็ทำให้มีกำลังใจจากพี่น้องที่กรุณามอบให้ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมานั้นมันทำให้ผมมั่นคงอยู่ตรงนี้ได้

ในวันนี้ที่เป็นวันแถลงการณ์วันสุดท้ายผมเชื่อว่าเนื้อหาที่ อ.ปานเทพ ได้อ่านให้ฟัง ชัดเจนในทุกๆด้านครบถ้วน คงไม่ต้องขยายความอะไรมากไม่กว่านั้นอีกแล้ว นั่นคือความจริงที่เป็นอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสามารถพูดใช้เวลากับตรงนี้ได้ ถึงแม้ว่าผมจะยุติบทบาทแกนนำ และแกนนำท่านใดก็ตามทุกท่านที่ยุติบาทแกนนำ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจจะยุติได้นั่นก็คือ ความเป็นคนที่รักชาติบ้านเมือง ความเป็นคนที่รักแผ่นดิน นั่นคือหัวใจของการเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมเชื่อว่าจะยังคงอยู่อีกตราบนานเท่านานและตลอดไป แม้ว่ายังมีการยุติบทบาทหรือบทบาทของแต่ละคนจะเปลี่ยนไปในสถานะใดก็ตาม และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมยืนยันได้อย่างมั่นใจได้ว่าตัวผมก็คงจะเป็นอย่างนั้น

แม้ว่าชีวิตการทำงานทุกวันนี้จะต้องมีอุปสรรคมากมายในส่วนของวิชาชีพที่ผมต้องทำ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ย่นย่อให้รู้สึกเสียดายในวันเวลาที่ผ่านมา ผมมีถนนหลายสายที่ผมเดินผ่าน และผมมีเรื่องราวที่จดจำได้ ผมมีช่วงเวลา วันสำคัญหลายๆวันในรอบปีที่ทำให้ผมนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่าง ผมมีบทเพลงหลายเพลงที่ร้องแล้วรู้สึกดี รู้สึกนึกถึง นั่นคือสิ่งที่ค่าที่สุดของผม ผมไม่มั่นใจตอนแรกว่า 10 นาทีตรงนี้ผมควรจะพูดเรื่องอะไร ผมปล่อยให้ผมรู้สึก แล้วผมก็พูดในสิ่งที่ผมรู้สึก ผมเห็นพี่ติ๊กออกมาคนแรก ร้องไห้ตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว มันก็คงจะเป็นความรู้สึกร่วมของคนที่อยู่ตรงนี้

ในเวลาชีพของผม ผมอยู่ในถนนสายบันเทิง ผมได้รางวัลไม่กี่ชิ้น รางวัลที่ได้ก็เป็นโล่เป็นอะไรที่มอบตามที่ต่างๆ โอกาสที่จะขึ้นมาพูดบนโพเดียม ที่จะจดคำพูดสวยหรูมาพูด ก็ไม่มี วันนี้ก็เช่นกันครับ เมื่อวานนี้ผมมารับรางวัลอะไร ไม่ใช่รางวัลที่ผมเตรียมคำพูดอะไรมากมายมาพูด แต่รางวัลที่มีค่าที่สุดวันหนึ่งครับ อยากขอบคุณแกนนำทุกท่านที่กรุณาไว้ใจให้ผมเป็นแกนนำรุ่นที่ 2 ทำให้ได้มาพบกับช่วงเวลานี้นะครับ ขอบพระคุณแกนนำทุกคนนะครับ ก็ไม่มั่นใจว่าได้ทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน แต่เหนือสิ่งอื่นใด ขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนครับ ที่ยังคงให้กำลังใจกันอยู่ ป่านนี้บางคนเสียใจต่อการตัดสินใจของแกนนำในวันนี้ แต่ก็อาจจะมีบางคนดีใจที่มันไปๆ กันเสียที ผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งไหนจะมากกว่ากัน แต่มั่นใจเถอะครับว่า เรายังคงอยู่ ตรงนี้ พร้อมเผชิญหน้ากับทุกๆ สถานการณ์ ผมเป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น แกนนำทุกคนเป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น วันเวลาที่ผ่านเลยไป และก้าวต่อๆ ไปจากนี้ มีแต่จะแหลมคมมากขึ้น มั่นคงมากขึ้น แข็งแกร่งมากขึ้น และนี่คือสัญญาว่า จะไม่เปลี่ยน สัญญาว่ามั่นคง สัญญาว่าจะซื่อตรง พวกเราทุกคนจะอยู่ตรงนี้ครับ ขอบคุณทุกความผูกพันตลอด 8 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา กำลังส่งไปถึงครอบครัวผมด้วยซ้ำ ขอบพระคุณครับ แล้วเราจะมีวันที่ดีกว่านี้ในอนาคตอันใกล้นี้ครับ ขอบพระคุณทุกท่านครับ

ปานเทพ - พี่ตั้ว-ศรัญยู วงศ์กระจ่างครับ ศิลปินที่เสียสละอย่างที่ไม่มีคำถาม หรือสงสัยใดๆ นะครับ ลำดับถัดไปที่ยืดหยัดมากับเราอย่างต่อเนื่องนะครับ นับตั้งแต่เป็นแกนนำรุ่นที่ 2 ถือว่าเป็นผู้ที่ยืดหยัดอย่างกล้าหาญ โดยไม่หวั่นเกรงสถานการณ์ใดๆ และต้องถือว่าเป็นบุคคลที่เรารู้สึกภาคภูมิใจอีกท่านหนึ่ง ที่มาเป็นแกนนำรุ่นที่ 2 ร่วมกับเรานะครับ ขอท่านผู้ชมได้พบกับคุณศิริชัย ไม้งามครับ

ศิริชัย - สวัสดีครับ พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เคารพทุกท่านครับ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่เป็นวันที่อยู่ในความทรงจำของผมบนเส้นทางการต่อสู้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง ผมเรียนนะครับว่า ผมเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจเป็นคนเดียวครับ ที่อยู่ในการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เพราะว่าท่านอื่นในแกนนำนั้น ส่วญใหญ่ประกอบอาชีพที่ไม่เกี่ยวข้องกับราชการ บนเส้นทางในการทำงานที่ผมเองได้ร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ผมมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งครับว่า ครั้งหนึ่งเราได้มีโอกาสทำหน้าที่ในฐานะประชาชน คนไทยผู้รักชาติร่วมกับพี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหมดครับ ความภาคภูมิใจนั้นผมเองได้มีโอกาสที่แกนนำพันธมิตรฯ ได้มอบความไว้วางใจไว้เนื้อเชื่อใจผมได้เป็นแกนนำรุ่นที่ 2 ผมเรียนครับว่า นี่คือความภาคภูมิใจ เป็นรางวัลเกียรติยศที่สำคัญมาก ที่ทำให้ผมมีความสำนึกและตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ในเหตุการณ์ต่างๆผมเองได้รับมอบหมาย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมเรียนครับว่าผมพร้อมกับพี่น้องพันธมิตรฯ เราพยายามที่จะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย ซึ่งตลอดเวลาผมมีความสบายใจอย่างยิ่ง ทั้งๆที่ผมเองก็เคยนำพี่น้องพันธมิตรฯ พี่น้องรัฐวิสาหกิจในการต่อสู้เรื่องการคัดค้านการขายการไฟฟ้าฝ่ายผลิต นั่นคือผมเป็นประธานสหภาพ แต่เมื่อผมมานำพันธมิตรฯนั้นเป็นพี่น้องประชาชนที่ไม่ใช่มวลชนที่รู้จักผมมาก่อน แต่พี่น้องให้ความร่วมมือให้ความไว้เนื้อเชื่อใจในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ เป็นเหตุการณ์ที่จะฝังใจผม และนี่คือสิ่งที่ผมเองคิดว่า เราเองได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องครับ

ตลอดเวลา ผมเรียนกับทุกท่านครับ บางครั้งเมื่อทบทวนผมเองก็รู้ว่าบางครั้งเสียความรู้สึกกับสังคมที่มองพวกเรา พยายามเอาพี่น้องพันธมิตรฯ ไปเปรียบกับกลุ่มเคลื่อนไหวกลุ่มอื่น ว่าพวกนี้ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย แต่เรียนครับว่าการต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ซึ่งอยู่ในใจ และเราเองก็หวังว่า การทำหน้าที่ของเรานั้น มันเป็นการทำหน้าที่ที่มีคุณค่า แต่ ณ วันนี้สังคมอาจจะยังมองไม่เห็น ผมเรียนกับทุกท่านครับว่า ภารกิจในฐานะที่เป็นพันธมิตรฯ นั้น เราเป็นประชาชนไม่ใช่คนที่จะต้องมาแบกรับปัญหาของบ้านเมืองแต่ฝ่ายเดียว ไม่ผูกขาดความรักชาติฝ่ายเดียวครับ ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ที่จะต้องตระหนักในเรื่องนี้ ต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน การถูกดำเนินคดี ผมเรียนครับว่า ขณะนี้ผมก็ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 4 เดือน และถูกปรับไป 6,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี ไม่เกี่ยวกับคดีพันธมิตรฯ แต่เมื่อถูกดำเนินคดีกับพันธมิตรฯ อีกหลายคดีครับ แต่เรียนครับว่า ไม่ทำให้การต่อสู้ของผมนั้น ลดน้อยถอยลงครับ แต่นั่นคือความแข็งแกร่ง การเสริมสร้างหัวใจในความเป็นคนไทยที่รักชาติ รักบ้านรักเมืองครับ

สุดท้ายนะครับ ผมเองต้องขอขอบคุณ แกนนำพันธมิตรฯ ทุกท่านครับ ที่เราได้ร่วมต่อสู้กันอย่างมีความสุขในช่วงหนึ่งของชีวิตที่ได้ทำหน้าที่ และที่ลืมไม่ได้คือ พี่น้องพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ และทั่วโลกว่า ผมนั้นมีความภาคภูมิใจ และนี่คือสิ่งที่จะอยู่ในความทรงจำของผมไปตลอดชีวิตครับ ขอบคุณครับ

ปานเทพ - สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน ผมปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เป็นโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง แล้วก็มาเป็นแกนนำรุ่นที่ 2 ในปี พ.ศ.2555 ในเวลา 10 นาทีต่อไปนี้ ที่ผมจะพูด มาจากใจนะครับที่ผมคิดว่าพี่น้องประชาชนได้ฟังอ่านแถลงการณ์คงเข้าใจในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจเพราะว่าเราน้อยใจ ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจเพราะเราปิ้งปลาประชดแมว และไม่ใช่เป็นการตัดสินใจเพราะว่าเรารู้สึกต้องการทิ้งมวลชน แต่อยากจะเรียนให้ทราบว่า การตัดสินใจครั้งนี้พวกเราคิดอย่างเป็นเอกภาพ ว่าต้องมีการเสียสละเกิดขึ้น และการเสียสละที่เกิดขึ้น เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดการเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ได้

ขอย้ำนะครับว่า สิ่งที่เราคิดครั้งนี้ ไม่ได้ด้วยอารมณ์ และเราเอาชาติเป็นตัวตั้ง ที่ว่าเราเอาชาติเป็นตัวตั้งนั้นก็เพราะเหตุว่า เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่าในช่วงเวลาที่เราเปรียบเสมือนลูกธนูดอกสุดท้าย ที่แม้จะมีคำสั่งศาล เราก็ไม่ได้หวาดหวั่นนะครับ เราพร้อมจะนำการชุมนุม เมื่อมีการชุมนุมที่คุ้มค่า การชุมนุมที่คุ้มค่า เมื่อพบกับปัญหารายประเด็น เราก็พบว่าปัญหารายประเด็นไม่มีที่สิ้นสุด ทำได้อีกแค่ครั้งเดียว ถ้าเราพูดถึงปัญหาโค่นล้มระบอบทักษิณ เราก็จะพบว่ารัฐบาลมีเครื่องมือ คือยุบสภา และถ้าใช้กลไกพิเศษ ถ้าไม่ได้เกิดจากการตื่นรู้ของประชาชน สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ถ้าไม่เกิดสงครามประชาชน ก็จะเกิดการเลือกตั้งใหม่ที่ระบอบทักษิณก็อาจจะกลับเข้ามาอีก ถ้าไร้การปฏิรูปประเทศ

เมื่อเราเห็นว่าการต่อสู้ที่คุ้มค่า 2 ประการนี้ ไม่ใช่เป้าหมายในฐานะลูกธนูดอกสุดท้าย จึงเหลือเพียงประการเดียวครับ คือต้องเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองอย่างแท้จริงเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองอย่างแท้จริงเท่านั้นจะเกิดขึ้นได้ 2 เงื่อนไขครับ เงื่อนไขที่ 1 คือประชาชนตื่นรู้อย่างมากๆ และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายความว่า ประเทศต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง มีต้นทุนที่ต้องจ่ายอย่างแพงมหาศาล แต่ถ้าจะไม่ใช่วิธีนี้ต้องมาจากพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงของตัวเอง รู้จักคำว่า เสียสละเท่านั้นครับ ถ้าไม่รัฐบาลเสียสละอำนาจ และผลประโยชน์ของตัวเองด้วยการปฏิรูปด้วยการจริงใจ ไม่ใช่ปฏิรูปปาหี่ ไม่ใช่ปฏิรูปไปและแก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตนต่อไป เราก็ไม่เห็นว่าเป็นความจริงใจจากฝ่ายที่มีอำนาจรัฐ และมีฐานเสียง ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราหวังพึ่งฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ ที่จะเป็นพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเห็นไปยังที่ฝ่ายค้านที่มีศักยภาพ ทั้งจำนวนสมาชิกที่ลงคะแนนให้ 12 ล้านคะแนน นักการเมืองที่ปราศรัยชั้นเยี่ยม นักกฎหมาย การเงิน ทีวีอีกจำนวนมาก ผมก็ย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์มีศักยภาพ คุณสนธิจึงได้ยื่นข้อเสนอด้วยความเห็นชอบจากแกนนำทุกคนนะครับว่า เป็นข้อเสนอที่เอาชาติเป็นตัวตั้งว่า ถ้าประชาธิปัตย์เสียสละ และลาออกจากสภาฯ แล้วมาสู้บนท้องถนน และไม่กลับเข้าสู่สภาฯ อีก จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง สภาฯ จะประชุมไม่ได้ครับ รัฐบาลก็ประชุมไม่ได้ ประเทศต้องมีการเปลี่ยนแปลง

และไม่ใช่เพื่อล้มขั้วอำนาจครับ เพื่อการปฏิรูปให้คนไทย 65 ล้านคน ท่านผู้ชมเห็นไหมครับว่า วันนี้ที่การต่อสู้เรื่อง ปตท.ที่ถนนวิภาวดีรังสิต การต่อสู้เช่นนั้นแหละครับ เป็นการต่อสู้เพื่อคนไทย 65 ล้านคน ไม่มีสีครับ นั่นแหละครับ เป็นสิ่งที่เราเห็นว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่า ในหนึ่งหัวข้อที่เราเห็นว่า มีความสำคัญ เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณสนธิบอกพร้อมร่วมถ้าประชาธิปัตย์เดินหน้ามาสู่การปฏิรูปประเทศ แกนนำทุกท่านเห็นด้วย

ดังนั้นเมื่อประชาธิปัตย์ปฏิเสธ เราในฐานะแกนนำมวลชน จึงไม่สามารถใช้ลูกธนูดอกสุดท้ายอย่างไร้ความคุ้มค่าได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นได้ เราก็ต้องกลับมาทบทวนตัวเราเองว่า เราควรจะทำอะไร ในขณะที่ประชาชนจำนวนไม่น้อย ห่วงชาติบ้านเมืองเหมือนกัน สู้ปัญหารายประเด็น บางคนก็สู้ปัญหาโค่นระบอบทักษิณ ไม่เห็นด้วยกับทิศทางของพันธมิตรฯ แต่เขาก็ห่วงใยชาติบ้านเมือง ถ้าเรายังคงดำรงสถานภาพต่อไป ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลไกที่ทำให้ความคิดที่ไม่เหมือนกันนั้น ลดพลังอำนาจของประชาชนด้วยกันเอง เราไม่มีทางเลือกครับท่านผู้ชม เราไม่มีทางเลือกครับพี่น้องประชาชนที่เคารพ เรามีทางเลือกทางเดียวเท่านั้น ก็คือการทำให้เกิดการเรียนรู้ประชาชน และทางเลือกของประชาชนอย่างมีอิสรภาพและเสรี

หลังจากยุติบทบาทแล้ว จะไม่มีมติแกนนำพันธมิตรฯใดๆอีก ผู้ที่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง ศาล ในพระปรมาภิไธย กองทัพภายใต้จอมทัพไทย พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ประชาชนที่อยู่เฉยๆ ประชาชนที่กำลังชุมนุมตามกลุ่มต่างๆ ต้องตระหนักและคิดว่าเขาจะยังต้องสู้เพื่ออะไรต่อไปในอนาคต เราให้เขาให้ตัดสินใจและประชาชนตัดสินใจ ถ้าวันหนึ่งประชาชนเห็นพ้องต้องกันกับทิศทางที่เราเสนอต่อไป เราจะกลับมาครับ ในวันที่ประเทศพร้อมการปฏิรูปประเทศ วันใดที่นักการเมืองพร้อมเสียสละเพื่อชาติ และเอาชาติเป็นตัวตั้ง เราจะกลับมาทบทวนบทบาทของเราเอง แต่ถ้าไม่ เราจะเดินสายและทำหน้าที่ของพวกเราเองต่อไป พวกเราจะไม่หยุดนะครับในปัจเจกบุคคล แต่ละบทบาทของแต่ละคน เรายังมีภาระที่คั่งค้างอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อการปฏิรูปในเรื่องของพลังงานการปฏิรูปสุขภาพ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ยังเป็นภารกิจที่เราในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ไม่ต้องเป็นแกนนำก็ยังห่วงใยชาติ และบ้านเมือง และเดินหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้ง ขอย้ำว่า การยุติบทบาทครั้งนี้เป็นยุทธวิธี ไม่ใช่การทำด้วยอารมณ์ และไม่ใช่การทิ้งมวลชน เราจะยังรักกันต่อไป ยึดมั่นในอุดมการณ์เหมือนเดิม เหมือนดังพี่น้องประชาชนของเราต่อไป และอยากจะเรียนให้ทราบว่าตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ผมอยากจะกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนทุกท่านนะครับ ที่ได้เสียสละเพื่อบ้านเมืองด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ไว้วางใจให้กับพวกเรานำประชาชนในการต่อสู้ จนเราได้รับชัยชนะทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นปี 2549 ปี 2551 ปี 2554 แม้แต่ปี 2555 จนกระทั่งไม่มีการออกกฎหมาย พ.ร.บ.ปรองดอง ถ้าท่านผู้ชมร่วมสู้กับเรา ย่อมจำเหตุการณ์เหล่านี้ได้ 384 วัน 384 คืน ดังนั้นถ้าท่านเชื่อมั่นว่าการตัดสินใจในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเราทำได้อย่างแม่นยำถูกต้อง ก็ขอให้เชื่อมั่นว่า การตัดสินใจครั้งนี้เราทำบนความรอบคอบและไตร่ตรองอย่างดีแล้วว่า เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ การเสียสละด้วยการยุติจากแกนนำนั้น มีต้นทุนครับ ต้นทุนในความรู้สึก และหัวใจของพวกเรา ว่าเราต้องเสียสละในยามที่คนอื่นเขาไม่เสียสละ และรอวันเวลาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราพูดออกไปนั้นเป็นสิ่งที่เป็นความจริง

ขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเราจะยังไม่เปลี่ยน และยังมั่นคงและจะเดินสู้ต่อไปกับพี่น้องประชาชนต่อไป ในฐานะประชาชนคนที่รักชาติเหมือนกับทุกท่าน ขอบพระคุณครับ

พิภพ - พี่น้องครับ ถ้าอยู่ในการชุมนุม ก็ต้องบอกว่า พี่น้องเอ้ยยย พี่น้องเอ้ยยย อยู่หน้าจอเอเอสทีวี ก็เอ้ยยย สักครั้งได้มั้ยครับพี่น้อง พี่น้องครับ เหตุผลในแถลงการณ์ สมบูรณ์ ครบถ้วน มาถึงตรงนี้คงหายช็อกกันไปบ้างแล้ว และคงจะต้องใช้สติในการพิจารณาเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ผมจะมาพูดด้วยความรู้สึก เพราะว่ารายละเอียด เนื้อหา เหตุผล มีหมดแล้ว ความรู้สึกแรก ผมคิดว่าสิ่งที่มหัศจรรย์ในชีวิตผมมีไม่กี่เรื่อง ผมคิดว่าการชุมนุมของประชาชนในตอน 14 ตุลาฯ 2516 เป็นความมหัศจรรย์ที่ผมประจักษ์ ว่าขบวนการประชาชนนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน และหลังจากนั้น พฤษภาฯ 35 ผมก็ได้ประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง ว่าขบวนการประชาชนนั้น สามารถส่งต่อ สืบเนื่องพลังที่จะจัดการความไม่ถูกต้องของสังคมได้ และผมคิดว่า การก่อตัวของระบอบทักษิณ และตัวทักษิณ ชินวัตร เป็นปรากฏการณ์ก่อตัวที่เลวร้ายที่สุดของสังคมไทย มากกว่าการก่อตัวการรัฐประหารของทหารในอดีตทั้งหมด และจะเกาะกินประเทศไทยไปอีกระยะหนึ่ง

ความมหัศจรรย์ที่ผมได้ประสบพบเห็นหลังจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และหลังจากคดีซุกหุ้น ที่คุณทักษิณได้ใช้เล่ห์กลต่างๆ จนสามารถหลุดจากคดีได้ ความมหัศจรรย์นั้นก็คือ การก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมคิดว่าเป็นการก่อตั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แล้วความรู้สึกต่อเนื่องสืบเนื่อง ยืนหยัด ยืนยง เป็นเวลาตั้ง 8 ปี และจะต่อเนื่องต่อไป ผมเชื่ออย่างนั้นว่า พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ได้ร่วมต่อสู้กับเรามานานจนเกือบ 8 ปี เสียชีวิตไป และบาดเจ็บ พิการไป 1,007 คน ความสืบเนื่องนี้ และความยิ่งใหญ่นี้มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ผมได้ประสบ และสิ่งมหัศจรรย์อีกข้อหนึ่งที่ผมอยากจะพูดถึงความรู้สึกนั้นก็คือ การทำงานร่วมกันของแกนนำ พี่น้องครับ พี่น้องผมไม่ทราบ ผมกับคุณสนธิไม่ได้คุ้นเคยกันเลย เหมือนกับลุงจำลองไม่ได้คุ้นเคยกันเลย และว่าไปแล้วแนวทางในหลายเรื่องก็ไม่ตรงกันด้วย ผมกับอาจารย์สมเกียรติ อาจจะคุ้นเคยกันบ้าง กับคุณสุริยะใส ซึ่งเป็นผู้ประสานงานคุ้นเคยกันมากที่สุด ตั้วไม่เคยรู้จักกันเลย รู้จักในฐานะดารา คุณศิริชัย ไม้งาม ก็ไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าจะเป็นประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และว่าไปแล้วองค์กรนี้ ในตอนที่ผมร่วมกับขบวนการภาคประชาชน เราเกือบจะอยู่ตรงข้ามกัน แต่เมื่อได้เจอกับคุณศิริชัย ไม้งาม ความเข้าใจ และการปรับตัวองค์กรก็ดีขึ้น คุณติ๊กก็รู้จักกันมา แต่ไม่ได้คุ้นเคยกันมาขนาดนั้น อาจารย์ปานเทพไม่รู้จักเลย ดังนั้นที่ผมอยากจะพูดตรงนี้ว่า ทำไมที่เราไม่รู้จัก และไม่คุ้นเคยกันเลย เมื่อเราเอาปัญหาของประเทศชาติมาเป็นตัวตั้ง คุณทักษิณเป็นตัวสร้างปัญหาให้ประเทศชาติ ทำไมเราจึงเป็นแกนนำร่วมกันมาได้เกือบ 8 ปี

พี่น้องครับ พวกเราแกนนำที่คุยกันด้วยเหตุด้วยผล มีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่สุดท้ายที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของผมก็คือ นอกจากเราจะไม่ท้อกัน ไม่อิจฉาริษยากัน ไม่แข่งกัน ว่าใครจะเด่นจะดีกว่ากัน แต่ที่สำคัญก็คือมติออกมาเป็นเอกฉันท์ทุกครั้ง และไม่เคยยกมือ คนก็ถามผมว่า พิภพอยู่กับคุณสนธิได้ยังไง อยู่กับลุงจำลองได้ยังไง ผมบอกว่า ถ้าคุณไม่เคยอยู่กับ 2 คนนี้ คุณจะไม่รู้จัก 2 คนนี้ สิ่งที่คุณรู้จักนั้นเป็นความห่างไกล อยู่กับ อ.สมเกียรติ ได้ยังไง อยู่กับคนอื่นๆ อ.ปานเทพ ได้ยังไง นั่นเป็นความมหัศจรรย์ที่ผมอยากจะพูดด้วยความจริงใจในวันนี้

สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์สำหรับตัวผมอีกอันหนึ่งก็คือ ผมเป็นคนที่ทำงานแล้วจะต้องมีความสุข ผมทำโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก มูลนิธิเด็ก มีความสุข ทำงาน ครป.มีความสุข และที่มีความสุขมากก็คือ ทำงานกับแกนนำทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 มีความสุขมากๆ และความสุขยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เรามีพี่น้องพันธมิตรฯ ห้อมล้อม และพร้อมที่จะเสียสละชีวิต ไม่ว่าจะบาดเจ็บหรือล้มตาย แทนเราได้ทุกวินาที ถึงแม้เราจะเจอคดีควาามเยอะแยะ แต่นั่นไม่ใช่เป็นประเด็นในการตัดสินใจในวันนี้ ถึงแม้ว่าปัญหาประเทศชาติยังมีอยู่ ก็ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะตัดสินใจในวันนี้ ว่าทำไมจึงยุติบทบาท แต่สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะเรียนพี่น้องก็คือว่า ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์ และยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้ไปตรวจความเคลื่อนไหวในประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ผมได้เคยร่วมต่อสู้มากับพี่น้องชาวบ้าน

ตอนเราทำเวทีครั้งแรก ใน 193 วัน เราเปิดโอกาสให้พี่น้องขึ้นมาพูดถึงปัญหาของตัว ไม่ใช่ปัญหาเรื่องทักษิณเท่านั้น ปัญหากับรัฐ ไม่ว่ารัฐตำรวจ ไม่ว่ากับกลุ่มทุน และกระนั้นก็ตาม การเคลื่อนไหวก็ยังต้องรอการชี้นำจากแกนนำที่จะนำพาไปสู่ ว่าจะต่อสู้และเคลื่อนไหวแบบไหน เพราะฉะนั้นวันนี้พี่น้องอาจจะตกใจ และสงสัยว่าถ้าวันนี้ไม่มีแกนนำแล้ว พี่น้องพันธมิตรฯจะไปอย่างไร ผมเรียนด้วยความเคารพนะครับ ที่ผมรู้จักพี่น้องพันธมิตรฯมาในช่วงเกือบ 8 ปี ไม่มีใครกล้าสู้ กล้าชนะ และมีสติปัญญาเท่าพี่น้องพันธมิตรฯ ผมเคยคิดว่าขณะที่เราชุมนุมอยู่ พี่น้องคงลืมไปแล้วว่า เราตั้งมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ผู้ปราศรัยบนเวทีไม่ได้ปราศรัยด้วยอารมณ์พาไปเท่านั้นเเต่เต็มไปด้วยความคิด ทฤษฎี และข้อเสนอแนะ และเหตุผลประกอบเพื่อให้เกิดปัญหาว่า เรากำลังจะสู้กับอะไร และด้วยเหตุผลอะไร และใช้ปัญญาแบบไหน

วันนี้พี่น้องครับ หลังจากผ่าน ผมคิดว่าพี่น้องจะกลับมาเป็นตัวของตัวเอง ผมเชื่อมั่น และพี่น้องไม่ต้องรอแกนนำ ถ้าปล่อยให้เรานำและเป็นแกนนำต่อไป พี่น้องจะเกิดโรคชนิดหนึ่งในทางจิตวิทยา เขาเรียกว่าโรคติดแกนนำ เราจะปล่อยให้แกนนำทำงานต่อไป แกนนำก็จะติดโรคแกนนำ ไม่ดีหรอกครับ เพราะฉะนั้นการยุติบทบาทในวันนี้เป็นการปลดปล่อย นอกจากตัวพวกกระผมเองแล้ว และเป็นการปลดปล่อยเพื่อให้เกิดขบวนการประชาชนใหม่ ผมเชื่ออย่างนั้น ในระหว่างที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหยุดเคลื่อนไหวบางขณะ พี่น้องก็คงได้เห็นว่าได้เกิดกลุ่มต่างๆได้เคลื่อนไหวเป็นระยะๆ แล้วทุกคนก็คอยฟังว่าแกนนำจะว่าไง เพราะคิดว่าแกนนำพันธมิตรฯจะเป็นผู้ที่ชี้และรวมขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนทั้งหมด แม้แต่พรรคการเมืองอย่างประชาธิปัตย์ ก็เอาเปรียบกับประชาชน โดยเฉพาะเอาเปรียบกับพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รอให้เรานำแล้วจะตาม และถ้าเราพลาดพลั้งก็พร้อมจะบดขยี้เรา ที่พูดนี้ก็ไม่ต้องการมาฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่เป็นความจริง พรรคประชาธิปัตย์ก็คงฟังอยู่ และภารกิจนี้ไม่ใช่เราปัดเพื่อให้เป็นภารกิจของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นเพราะพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ล้วนไว้วางใจไม่ได้ทั้งนั้น ภารกิจที่เรากำหนดไว้คือ ภารกิจที่มอบให้กับพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า และผมเชื่อครับ ขบวนการประชาชนไม่เคยตาย ถ้าตายก็ตายไปแล้วตอน 6 ตุลา 2516 แต่ก็ไม่ตาย ตายไปแล้วใน พฤษภาฯ 35 ถูกฆ่าตายสูญหายไปเยอะแยะ แต่ก็ไม่ตาย พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบาดเจ็บล้มตายโดนคดีไม่รู้กี่คดี แต่ก็ไม่ตาย

ฉะนั้นวันนี้ผมถือว่าการยุติบทบาทของแกนนำคือการเกิดใหม่ เกิดใหม่ของขบวนการประชาชน ตราบใดที่ยังมีความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรม ตราบใดที่เรายังมีนักการเมืองอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำความเหลื่อมล้ำความไม่เป็นธรรมดำรงอยู่ กระบวนการประชาชนจะเกิดใหม่และแข็งแรงขึ้นกว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอให้พี่น้องมีความหวัง เราสัญญา ว่าเราถึงแม้ว่าจะยุติบทบาทแกนนำ เรายังเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพร้อมที่จะเดินกับพี่น้อง พร้อมจะต่อสู้กับพี่น้องเพื่อปฏิรูปประเทศไทยให้หมดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรม แต่ทักษิณก็ยังเป็นตัวปัญหาหลัก นักการเมืองทุกพรรคการเมืองก็ยังเป็นปัญหาหลัก กลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลังนักการเมืองก็ยังเป็นปัญหาหลัก เพราะฉะนั้นปฏิรูปประเทศไทยต้องขจัดพวกนี้ไปให้หมด และเมื่อถึงวาระอย่างในแถลงการณ์มีความจำเป็นเราจะกลับมาอีกครับ เราไม่ทิ้งพี่น้องประชาชน ระหว่างที่ไม่กลับเราก็จะทำงานของเราไป และร่วมเดินไปกับพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือในนามอื่น ถ้าจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ขอให้พี่น้องเชื่อครับ เราสัญญาว่าทุกคนที่นั่งในที่นี้จะให้คำมั่นสัญญาเราจะไม่ไปไหนเราจะร่วมต่อสู้กับพี่น้อง ขอให้ชัยชนะเป็นของพี่น้องประชาชน และขอให้มีความศรัทธาเหมือนเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ ที่เปิดตอนต้านรายการ ขอให้พี่น้องมีความสุขนะครับวันนี้หลังจากผ่านการรู้เรื่องราวที่เฝ้ารอคอยแล้ว ขอให้มีความสุขพร้อมกับแกนนำแล้วเราจะร่วมกันต่อสู้ต่อไปพี่น้องครับ ขอบคุณครับ

ปานเทพ - ลำดับถัดไปเป็น อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ซึ่งถือว่าเป็นแกนนำที่ได้ต่อสู้กับเรามาอย่างยาวนาน และด้วยสุขภาพที่ไม่ดีก็กลับมาฟื้นฟูร่างกาย จนกระทั่งพร้อมที่จะเป็นนักสู้ที่เข้มแข็งต่อไปนะครับ ขอต้อนรับอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ครับ

สมเกียรติ - ขอคารวะแด่พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ ผมมาพูดวันนี้ด้วยความศรัทธาพี่น้องจริง เพราะผมมีฐานะ 3 ฐานะ ตั้งแต่มาต่อสู้ในปี 2548 2549 แล้วมาเป็นผู้แทนราษฎร เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แล้วมาเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมยอมรับจริงๆ ว่า การต่อสู้ในหัวใจของผม สำเร็จเพียงต่อสู้ให้เขาสลับขั้วกัน ถ้าพูดถึงความสำเร็จที่การต่อสู้ที่ผ่านมา ผมอยากจะบอกพี่น้องประชาชนในประเทศ และต่างประเทศที่ผมไปทุกประเทศนะครับ

เราเห็นว่าเราต่อสู้ได้เพียงการผลัดเปลี่ยนรัฐบาล ไม่พรรคนี้ก็พรรคนั้น อัปรีย์ไป จัญไรมาทั้งนั้น เรายังต่อสู้ไม่สำเร็จอยู่ 2 ประการคือ 1.ต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ อันนี้เป็นใจความสำคัญ 2.ต่อสู้เพื่อล้มสภาธาตุ หรือ สภาขี้ข้า เราก็ยังทำไม่สำเร็จ แต่เรามาเห็นว่า การต่อสู้ในวันนี้เราต้องเปลี่ยนแผนใหม่ เราต้องคิดหลายอย่างการที่แกนนำพันธมิตรฯ คุณสนธิได้ประกาศว่า จะขอให้ประชาธิปัตย์ลาออกจาก ส.ส. 2.มาเป็นแกนนำ แล้วเขาจะเป็นแกนตาม และผมจะเป็นแกนตามโดยตลอด แต่แล้วเราก็ผิดหวัง เดี๋ยวก็พูดว่า จะลาออก เดี๋ยวก็พูดว่าไม่ลาออก เดี๋ยวก็พูดว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า การที่พันธมิตรฯ คงอยู่ แกนนำคงอยู่ มันจะเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของพี่น้องประชาชน

วันที่ผมไปพบกับคนหลากหลาย ผมเป็นนักเดินทางคนหนึ่งที่ไปไกลมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมค้นพบว่าการที่พี่น้องประชาชนต้อนรับผม และการที่ผมได้พบกับพี่น้องประชาชน เป็นเหตุการณ์ที่ผมประหลาดใจมาก ที่คนต่างประเทศรวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไปรอพบเรา ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในการเคลื่อนไหวครั้งใดๆ 14 ตุลาฯ พฤษภาทมิฬ และเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ครั้งใดๆ ก็ตาม แต่มาครั้งนี้ทำให้ผมรักกับพี่น้องประชาชนมากที่สุด วันนี้ผมยังไปเลย ไปเยี่ยมม็อบ ปตท.กับลุงปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ผมไปยกมือไหว้ เขาคิดว่าผมแกนนำ ผมไม่เคยบอกใครเลยว่าผมจะลาออกจากแกนนำแล้วในวันนี้

ผมขอพูดเรื่องการที่ไม่สามารถโค่นล้มระบอบทักษิณได้ กับการที่ไม่สามารถล้มระบบสภาที่ฆ่าได้ มันเป็นปมเงื่อนของชาติไทย เดี๋ยวนี้ระบบทุนครอบงำพรรคการเมือง ให้พรรคทำอะไรก็ได้ พรรคก็ไปสั่ง ส.ส. ระบบทุนยังเชื่อมโดยตรงกับ ส.ส.อีก เชื่อมโดยตรงกับพรรค เชื่อมโดยตรงต่อข้าราชการอีก มีข้าราชการทั้งหลายสยบยอมระบอบทักษิณ โดยเฉพาะตำรวจ และ ผบ.ทบ.บางคน ผบ.เหล่าทัพ บางเหล่าทัพ ผมไม่เคยเชื่อเลยว่า ผมเคยเรียกร้องทหารกับศาลมาตั้งหลายครั้ง แต่วันแล้ววันเล่าไม่ประสบความสำเร็จ ผมจึงบอกว่า ระบอบทักษิณมันกินประเทศจริงๆ ผมขอยกตัวอย่างนะ ทำไมการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพ คนของพรรคเพื่อไทยจึงได้คะแนนล้านกว่าคะแนน เกือบชนะพรรคประชาธิปัตย์ ก็เพราะว่าสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือของเขา และเงินเป็นเครื่องมือของเขา ข้าราชการเป็นเครื่องมือของเขา ทุกอย่าง ขนาดกรุงเทพมหานครเคยเป็นฐานของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง แต่แล้ววันนี้ พรรคเพื่อไทยมาจ่อคิวไว้แล้ว ได้ล้านกว่าคะแนน ทำให้ผมเศร้าใจ วันที่ผมไปพบกับพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่เป็นศิษย์หลวงตามหาบัวที่วัดแห่งหนึ่ง ท่านบอกว่า ในชนบทเดี๋ยวนี้ เขาดูทีวี ดูอะไร เขาชอบเพื่อไทยหมดแล้ว การที่พรรคการเมืองบางพรรคจะเอายุทธศาสตร์อะไรไปชนะ ไม่ชนะได้เลย นอกจากภาคใต้ ผมจึงเห็นว่าระบอบทักษิณเป็นระบอบเดียวที่ยังคงเกาะกินประเทศชาติเดี๋ยวนี้ ใกล้จะหมดแล้ว เราไม่มีปัญญาหรอกครับ ระบอบทักษิณ ไม่ว่าเราจะเคลื่อนอย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องเคลื่อนโดยวิธีสหบาทา หรือเคลื่อนไหวไปพร้อมกันทุกหมู่เหล่า เพราะฉะนั้นการยุติบทบาทแกนนำพันธมิตรฯ ครั้งนี้ จึงเป็นการยุติบทบาทของผมและของเพื่อนอีกหลายคน ที่จะไปก่อเกิดให้เกิดพลังมวลชนใหม่ การเมืองใหม่นั่นเอง ผมคิดว่าเดี๋ยวนี้พ่อท่านพระโพธิรักษ์ ก็เกิดกระบวนการการเมืองใหม่แล้ว ผมไม่เคยเชื่อเลยว่า มันเกิดท่ามกลางสงครามหลายด้าน ทั้งด้านรัฐสภา ทั้งด้านนอกรัฐสภา ทั้งด้านการเป็นพระภิกษุสงฆ์

ผมเชื่อว่าการล้มระบอบทักษิณจะทำตามลำพังของพันธมิตรฯ ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นแกนนำจึงขอร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ลาออก จะลืมทุกอย่างเลย แม้กระทั่งลูกปืนที่มาสังหารเขา เขาก็ยอมลืม อย่างผมเคยตั้งข้อหาพรรคประชาธิปัตย์มา 3 ข้อ ผมก็ยังใส่ลิ้นชักเลย ผมประกาศขอโทษกลางเวทีเอเอสทีวีเลยว่า ผมขอโทษพรรคประชาธิปัตย์ทุกอย่าง ถ้าคุณจะออกมากับผม วันนี้ระบอบทักษิณยังคงอยู่ และกินกลืนประเทศชาติไปมากแล้ว คะแนนเสียงเกือบไปทั้งหมดแล้ว ผมยืนยันเลย

อันที่ 2.ระบบรัฐสภาทาส ระบบรัฐสภาขี้ข้า เราไม่มีทางล้มได้ ตราบใดที่ข้าราชการกับคนที่จะลงเลือกตั้งเป็นสมุนของนักโทษชายทักษิณ นักโทษชายทักษิณเขาไม่ได้หวังที่จะทำงานภายในประเทศ เขาทำงานนอกประเทศ และเขาหวังสูงสุดนะ ยึดโอกาสสูงสุดของเขาคือ ต้องการเป็นประธานาธิบดี ผมย้ำอีกทีต้องการเป็นประธานาธิบดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ผมเห็นว่าการที่ผมยุติบทบาทในครั้งนี้ มันเข้าหลักปรัชญาของกฤษณามูรติที่บอกว่า ถ้าไม่ให้เสรีภาพแก่คน คนเราจะไม่กล้าหาญ วันนี้แกนนำพันธมิตรฯ ให้เสรีภาพกับมวลชนทั้งหลายว่า จะไปร่วมกับใคร ถ้าท่านมีปัญญาตื่นรู้ ท่านควรจะไปร่วมหรือไม่ ผมมีโปรแกรมอยู่แล้วว่า ถ้าผมลาออกจากแกนนำพันธมิตรฯ ยุติการเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ผมจะไปทำงานกับใคร ผมมีอยู่แล้ว

ผมเชื่อว่าเส้นทางชีวิตของผม จะต้องนำมาสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่ก็ตาม เมื่อครั้้งผมเจ็บป่วยนะ หมอบอกว่า หมอเขียนจดหมายมาถึงผมว่า เขียนมาจากสหรัฐอเมริกาว่า ไม่มีทางหายเหมือนเดิม เว้นแต่ปาฏิหาริย์ ในวันนี้ความคิดเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ ผมเริ่มเชื่อแล้ว ผมเริ่มไม่กินยามา 15-16 เดือนแล้ว ยิ่งผมมาพบปะผู้คนมากมาย ผมไปให้กำลังใจ ผมพาคณะพันธมิตรฯ ประชาชนมากกว่า 3-4 จังหวัด และไปต่างประเทศด้วย ทำให้ผมรู้ว่า พันธมิตรฯ ยังอยู่ พันธมิตรฯ ยุติบทบาทเพียงยุทธวิธีเท่านั้น หมายความว่าอะไร หมายความว่า พันธมิตรฯ ยังคงอยู่ เอเอสทีวีเขาก็รับปากว่า จะเคลื่อนไหวให้แก่พันธมิตรฯ อยู่ อันนี้เป็นประการสำคัญ แล้วเขาบอกว่า ถ้ามวลชนตื่นรู้มากมายเต็มประเทศ พร้อมจะปฏิรูปการเมือง เราจะพร้อมจะกลับมาเป็นพันธมิตรฯ เหมือนเดิม แต่จะกลับมาในฐานะเป็นแกนนำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน ผมสัญญาว่า ผมจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คำสั่งศาลในทัศนะผม เป็นเพียงกลไกย่อยของศาลเท่านั้นเอง แต่ผมเคารพศาลมาก ผมต้องการให้บ้านนี้เมืองนี้ เคารพหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม ผมเชื่อว่ามวลชนพันธมิตรฯ ยังคงเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวภายในประเทศ พร้อมจะไปก่อรูปขบวนการการเมืองใหม่ ในรูปอะไรก็ไม่รู้ ในรูปของการที่จะไปร่วมกันของการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปบ้าง ของการชุมนุมบ้าง แล้ว 2 สายนี้มาพบกัน

และผมขอฝากไปถึงบรรดา 2 หน่วยงานที่ผมเคยเคารพท่าน คือ 1.ศาล ผมยังเห็นว่า ศาลในวันนี้ยังตัดสินคดีช้าไป และทหารผมผิดหวังมาก แต่ผมยังยืนยันว่า กองทัพเป็นกองทัพของพระเจ้าอยู่หัว ผมยังเคารพกองทัพอยู่ ผมมีความหวังว่า ประชาชนคงเข้าใจสิ่งที่คนแรกร้องไห้ พอคนที่สองมาก็ร้องไห้ แต่ผมหมดน้ำตาแล้ว และผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนฟังมาก็จะไม่ร้องไห้ ผมไม่ไปไหนหรอกครับ ท่านเห็นชุมนุมเมื่อไรก็จะเห็นผมเมื่อนั้น แต่ผมจะไปอย่างฐานะของคนที่ไปดูแลเขา ไปให้กำลังใจเขา และไปให้ความเห็นแก่แกนนำบ้าง แต่ผมไม่เคยเข้าประชุมแกนนำกับเขาเลย แกนนำพวกที่เกิดใหม่ทั้งหลาย ผมจะไม่แทรกแซงเขา ผมขอบคุณในน้ำใจไมตรีจิตของพี่น้องทุกคน ผมไม่ลืมเลยครับในชีวิตที่ผ่านมา เส้นทางของผมเป็นเส้นทางที่มีความสุขมาก ไม่เคยมีความสุขครั้งใดในชีวิต เหมือนความสุขที่เป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเลย

ผมอยากจะจบลงด้วย เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์ สักพันชาติจะสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์ แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน ประชาชนจงเจริญครับพี่น้อง ขอบคุณมากครับ

ปานเทพ - ครับ ลำดับถัดไปก่อนที่เราจะไปพบกับแกนนำรุ่นที่ 1 ในท่านถัดไป ขอให้แจ้งให้ทราบว่า มีพี่น้องประชาชนรู้สึกห่วงใยเรามาก และให้กำลังใจเรามาก ต้องกราบขอบพระคุณทุกท่าน แม้กระทั่งบางท่านตอนนี้จะไปจุดเทียนที่สะพานมัฆวานฯ นะครับ ก็ขอบพระคุณมากนะครับ สำหรับกำลังใจที่มีมา ลำดับถัดไปนะครับ ขอกราบเรียนเชิญท่านพลตรีจำลอง ศรีเมืองครับ

จำลอง - ท่านพี่น้องที่รักและห่วงใยบ้านเมืองครับ ตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่เรามีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เราได้นำมวลชนจัดการชุมนุมใหญ่ 3 ช่วง รวมระยะเวลา 384 วัน 384 คืน เป็นผลสำเร็จของความมุ่งหมายในการชุมนุมทุกครั้ง เป็นการชุมนุมอย่างสงบของภาคประชาชนครั้งประวัติศาสตร์ ที่ชุมนุมยาวนานที่สุดในโลก ที่เราทำได้อย่างนั้นก็เป็นเพราะ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้ทำอะไรตามใจ เราประชุมกันแล้วประชุมกันอีก พิจารณาอย่างรอบคอบทุกด้าน เราจึงสำเร็จทุกครั้ง เราได้ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองมาโดยตลอด และแกนนำรุ่น 1 แกนนำรุ่น 2 เห็นพ้องต้องกันว่า เราต้องหยุดการเป็นแกนนำนั้น แต่เราไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างอื่นเลย เรายังคงเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่พร้อมเสมอที่จะเสียสละเพื่อบ้านเมือง เราตัดสินใจอย่างนี้เป็นยุทธวิธีที่เปิดโอกาสให้คนจำนวนมาก ได้ออกมาอย่างเต็มที่ในการรวมกับกลุ่มที่กำลังช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ และเราเห็นชัดแล้วว่าการตัดสินใจของเราครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ซึ่งเราได้คิดแล้วคิดอีก การตัดสินใจครั้งนี้แม้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะหยุดบทบาทของการเป็นแกนนำแต่เราก็พร้อมเสมอที่จะมารวมตัวกันใหม่ที่มาจัดการชุมนุมใหญ่เป็นไงเป็นกัน ถ้าการชุมนุมนั้นคุ้มค่า เราขอยืนยันคำนี้ครับ และเราได้ประชุมกัน ต้องขอให้สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีและเว็บไซต์ Manager ตลอดจนวิทยุในเครือเอเอสทีวี ผู้จัดการ ได้เป็นศูนย์ในการรวมกิจกรรมของประชาชน เพื่อที่เราจะได้ให้ปัญญาแก่ประชาชน และมุ่งไปสู่การปฏิรูปประเทศให้จงได้

การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด ซึ่งเราเห็นพ้องต้องกันโดยไม่มีการโน้มน้าว นัดแนะ หรือมีการคะยั้นคะยอแต่อย่างใด เรามั่นใจครับ ว่าจากการที่เราได้ประชุมอย่างรอบคอบ จะทำให้การตัดสินใจของเราครั้งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติอย่างแน่นอน

ท่านพี่น้องครับที่ผมบอกว่า เราชุมนุมกันยาวนาน กินนอนในถนนทั้ง 384 วัน 384 คืนนั้น สำหรับผมต้องหักออกไป 5 วัน 5 คืนครับ เพราะเปลี่ยนที่ไปนอนในคุก ด้วยกำลังใจที่จะออกไปนอกพื้นที่การชุมนุมให้ตำรวจจับเป็นการประท้วงที่ได้ผล ผมติดตารางวันที่ 5 วันที่ 7 กระบวนการยุติธรรมก็ยกหมายกบฏออกจากพวกเราไป ท่านพี่น้องครับ ผมนับเป็นคนที่โชคดีคือนำการต่อต้านคัดค้านสิ่งที่ไม่ถูกไม่ต้อง ซึ่งจะมาทำความเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองนั้น ผมทำสำเร็จทุกครั้งเลยครับ

ย้อนไปตั้งแต่ 32 ปีก่อน พ.ศ.2524 ผมนำคัดค้านกฎหมายการทำแท้งเสรีเป็นผลสำเร็จ ต่อมาปี 2526 ก็นำคัดค้านการที่เขาจะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นเผด็จการ คัดค้านเป็นผลสำเร็จอีก ปี 2535 ผมนำในการหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจเผด็จการ นักการเมืองรุ่นหลังๆเข้าใจผิดครับ นึกว่าเป็นการชุมนุมต่อต้านนายกรัฐมนตรีที่พูดไม่จริง ไม่ใช่นะครับ เป็นการหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจเผด็จการ

ต่อมาปี 2542 ผมก็นำอีกครับ โดยตั้งเป็นกลุ่มประชาชน ชื่อว่า คนกู้เมือง ต่อต้านไม่ให้รัฐบาลขายหุ้นบางจากให้ต่างชาติ เป็นผลสำเร็จอีกเช่นกัน และหลังจากนั้นมาเมื่อต้นปี 2549 ยังซ้อมใหญ่ไว้ก่อน ผมกับชาวกองทัพธรรมได้ไปกินไปนอนในถนนวิทยุ หน้าคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า ก.ล.ต.คัดค้านไม่ให้นำเบียร์ เหล้า เข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นผลสำเร็จ และหลังจากนั้นมาก็มาร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการเรียกร้องให้นายกฯ 3 คน ต้องออกจากตำแหน่งอย่างต่อเนื่องกันมา รวมทั้งหยุดยั้งการเสียดินแดนให้กับเขมร ซึ่งทั้งหมดนี้ ผมเรียนยืนยันว่าผมโชคดี ที่ทำหน้าที่นี้มาตลอด และเมื่อย้อนไปในอดีตเมื่อนึกขึ้นมาก็ย้อนดีใจ ในการชุมนุมใหญ่ที่ผ่านมา เราพูดภาษาเดียวกันครับ เต็มออกๆ เหนื่อยเราก็ไม่เหนื่อย เมื่อยเราก็ไม่เมื่อย เราชุมนุมไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย เรามาทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดิน เราก็ช่วยคนละไม้คนละมือใครมีเงินออกเงินใคร ใครมีของออกของ ใครมีแรงออกแรง จนกระทั่งเรากินนอนในถนนอย่างทรหดอดทน ซึ่งไม่มีชนชาติไหนในโลกทำได้นอกจากคนไทยกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่ากันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

พี่น้องครับ ผมมาเป็นแกนนำกับเขาไม่ได้มีความสนิทชิดเชื้อกับใครเป็นพิเศษเลย เหตุผมที่ผมต้องออกมาคือ ผมเตือนทักษิณแล้วเขาไม่เชื่อ ผมเริ่มเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับแรกเมิ่อวันที่ 30 มการาคม ปี 2549 บอกเขาว่า คุณเทขายหุ้นในเทมาเส็กไปเถอะ 73,000 ล้านบาท แล้วไม่เสียภาษี ไหนคุณบอกจะช่วยเหลือคนยากคนจนไง ควักออกมาเสียดีๆ ผมคิดแล้ว ภาษี 37 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 26,000 ล้าน เขาก็ไม่ฟัง ต่อมาวันที่ 19 กุมภาฯ 2549 คณาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้รวมตัวกันเรียกร้องให้ทักษิณลาออก ผมก็ออกมาบอกเขา คุณควรจะลาออกแล้วล่ะ ถ้าคุณไม่ลาออก อีก 7 วัน คือวันที่ 26 กุมภาฯ ผมจะไปชุมนุมที่สนามหลวง เรียกร้องให้คุณลาออก และเมื่อผมได้ประกาศออกมาชัดเจนอย่างนี้ โดยเขียนเป็นจดหมายเปิดผนึก ซึ่งสื่อมวลชนเอาไปลงกันอย่างแพร่หลายนั้น ผมก็เลยได้รับชวนให้มาเป็นแกนนำคนหนึ่งในรุ่น 1 นี่ผมจึงเรียนให้ทราบ เพราะหลายคนยังไม่ทราบในเรื่องนี้ และท่านพี่น้องที่รักและห่วงใยประเทศชาติครับ เรายืนยันนะครับ เราทำงานอย่างมีความสุขตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา และเราขอให้ความมั่นใจอีกครั้งหนึ่งว่า เราไม่ไปไหนครับ เราพร้อม เป็นไงเป็นกันครับ ถ้าเราจะเสียสละออกมาชุมนุมใหญ่แล้วได้ผลอย่างคุ้มค่า

ผมขอเรียนพี่น้องประชาชนนะครับว่า สิ่งที่เราทำมาแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจไปตลอด เพราะเราได้ทำมาเป็นผลสำเร็จทุกครั้ง และการตัดสินใจครั้งนี้ ผมเชื่อมั่นครับว่า เราได้ทำอย่างรอบคอบแล้ว จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติอย่างแน่นอนครับ ผมต้องขอขอบคุณพี่น้องหลายๆ คนนะครับ และเมื่อผมเตือนไป พวกเราก็เชื่อ พี่น้องคงจำได้นะครับ ตอนที่พวกเราถูกยิงข้างเวทีนั้น การ์ดของพันธมิตรฯ หลายคนยื่นคำขาดกับผมว่าจะลาออกไปจับปืนมาสู้กับทางรัฐบาล ผมต้องขึ้นเวทีกลางดึกคืนวันนั้น และก็ห้ามปรามเขาเป็นผลสำเร็จ นี่ก็คือสิ่งที่เป็นที่น่าภาคภูมิใจสำหรับพวกเรานะครับ ที่เราฟังกัน เราเชื่อกัน เราเลยทำสำเร็จทุกครั้ง และท่านไม่ต้องตกใจนะครับ เราไม่ไปไหนครับ เราจะอยู่ข้างท่านอยู่ตลอดเวลา และพร้อมที่จะเสียสละเสมอครับ ขอขอบคุณพันธมิตรฯ ทุกคน รวมทั้งพี่น้องประชาชน ที่ติดตามพวกเรามาโดยตลอด ที่ได้ให้การช่วยเหลือสนับสนุนตลอดมา และอย่าลืมนะครับว่าเราได้ขอร้องสถานีวิทยุเอเอสทีวี เราได้ขอร้องเว็บไซต์แมเนเจอร์ เราได้ขอร้องวิทยุในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ดังนั้นต้องช่วยกันสนับสนุนต่อไปนะครับ เพื่อให้ยืนยงคงไว้ หากเรามีเรื่องอะไรปัจจุบันทันด่วน เราจะได้ทำสำเร็จได้อย่างทันที ขอบคุณครับ

ปานเทพ - ลำดับสุดท้ายในช่วงนี้ คงจะเป็นท่านสุดท้ายในช่วงเวลานี้ และในช่วงหน้าเราจะเปิดใจตอบคำถามจากคนที่ตั้งคำถามเก่งที่สุดในเอเอสทีวี ทั้งคุณเติมศักดิ์ จารุปราณ และคุณเก๋ อุษณีย์ เอกอุษณีย์ แต่ในช่วงนี้พบกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นเจ้าของรายการนี้ คุยทุกเรื่องกับสนธิ กับคุณสนธิ ลิ้มทองกุลครับ

สนธิ - ครับพ่อแม่พี่น้องครับ สิ่งที่จะพูดนั้นแกนนำรุ่น 2 และก็รุ่น 1 ได้พูดไปหมดแล้ว กุญแจสำคัญในการพูดครั้งนี้มีอยู่ไม่กี่จุด จุดแรกคือถ้าพันธมิตรฯ จะออก หรือแกนนำจะสู้อีกครั้งหนึ่ง การต่อสู้ครั้งนี้ต้องคุ้ม คุ้มตรงไหน ต้องคุ้มตรงที่ว่า เราต้องเปลี่ยนแปลงบ้าน เปลี่ยนแปลงเมืองได้ แต่ถ้าสู้เพียงเพื่อล้มระบอบทักษิณ เราไม่สู้ เพราะว่าระบอบทักษิณ และระบอบพรรคการเมือง จะชื่ออะไรก็ตามมันคือปัญหาใหญ่ของประเทศชาติที่ประกอบกันเป็นสภาผู้แทนราษฎร

พี่น้องครับ เราเคยเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก หนังสือหนังหาสอนเราว่า การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยนั้น อำนาจมีอยู่ 3 อำนาจ นิติบัญญัติ บริหาร และก็ตุลาการ ต้องแยกออกจากกัน แต่สิ่งที่เราเจอทุกวันมาเป็นเวลาสิบๆ ปี ก็คือวันที่ทีมนิติบัญญัติกับบริหารเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะฉะนั้นแล้ว เพียงแค่นี้เราก็รู้ว่า ระบอบการเมืองเมืองไทยนั้น เป็นระบอบเดรัจฉาน เป็นระบอบที่ไม่ได้ใช้เหตุไม่ใช้ผล แต่เป็นระบอบที่ใช้หลักคณิตศาสตร์ เหตุการณ์ที่ผ่านมาไป 3-4 วันในสภาฯ ก็ย่อมเป็นบทพิสูจน์ได้ ว่าการเมืองในที่สุดแล้วคือ การใช้เครื่องคิดเลขมากดตัวเลขว่า ใครเสียงข้างมากกว่าก็ชนะไป และเมื่อชนะแล้วจะทำอะไรก็ได้

เพราะฉะนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และตัวผมเห็นว่า ตรงนี้คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงถึงแม้จะล้มระบอบทักษิณได้ ระบอบใหม่ขึ้นมาก็ใช้วิธีการเช่นนี้เช่นกัน ในอดีตไม่เคยมีพรรคการเมืองพรรคไหนที่เป็นรัฐบาลไม่ใช้วิธีการนี้ ไม่ว่าจะพรรคนั้นจะชื่ออะไร หรือว่าเก่าแก่แค่ไหนก็ตาม แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นพี่น้องครับ จุดยืนผมมีมานานแล้วว่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงต้องเปลี่ยนชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้นทั้งระบบ ไม่ใช่เปลี่ยนเพื่อล้มระบอบทักษิณ และให้อีกพรรคการเมืองหนึ่งขึ้นมา เพื่อมีอำนาจ ไม่ใช่ เพราะผมคิดถึงพ่อแม่พี่น้อง พี่น้องเราที่ตายไปน้องโบว์ 2 โบว์ ทุกวันนี้ทุกเดือนผมยังเจอคุณจินดา ระดับปัญญาวุฒิ ซึ่งเป็นพ่อน้องโบว์ ซึ่งมาพบทุกเดือน กินเลี้ยงกันและเรี่ยไรเงินมาให้เอเอสทีวี ผมเห็นหน้าคุณจินดาแล้ว ผมสะเทือนใจ คนที่เสียลูกสาวไป

เพราะฉะนั้นแล้วการตายของพันธมิตรฯ การพิการของพันธมิตรฯ ต้องไม่เสียเปล่า เราต้องไม่เป็นเครื่องมือของใครอีกต่อไป และนี่คือหลักการที่ผมยืนมาตลอด ผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถ้าจะทำโดยเอาชาติเป็นตัวตั้ง ออกมาจาก ส.ส.แล้วมาสู้กัน และเราจะตามเขา แต่ถ้ายังจะสู้ในสภาฯ และให้มวลชนสู้เคียงคู่ขนาน ผมไม่เอาด้วย และมาชูว่า สู้เพื่อล้มระบอบทักษิณ แต่ไม่ยอมชูว่า สู้เพื่อปฏิรูปทางการเมือง แต่ถ้าชูว่า สู้เพื่อปฏิรูปการเมือง ตัวเองก็ต้องแสดงความจริงใจกับประชาชน ด้วยการออกมาร่วมสู้กับประชาชน ถ้ายังมีความเชื่อมั่นในประชาชน แต่ถ้ายังจะใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ ผมไม่ไป และปรัชญาตรงนี้ หลักการตรงนี้ ก็เลยเป็นเรื่องที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวนไม่น้อยที่เริ่มเข้าใจ และบอกพูดออกมาตลอดเวลาว่า อย่าออก เพราะในที่สุดมันจบด้วยคำว่า ออกแล้วคุ้มหรือไม่คุ้ม ถ้าคุ้มตายยังคุ้มเลย อย่าว่าแต่ต้องติดตารางเรื่องคดีความ แต่ถ้าไม่คุ้ม โดนใบสั่งตำรวจจราจรใบหนึ่งก็ยังไม่คุ้ม

พี่น้องครับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในโลกนี้ ไม่ได้เปลี่ยนในสภาฯ ทั้งสิ้น เปลี่ยนบนถนนทั้งสิ้น ประชาชนเป็นผู้เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ใช่นักการเมืองเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และผมยืนยันตรงนี้ว่า ชาติบ้านเมืองทุกวันนี้ พินาศฉิบหายมา เป็นเพราะนักการเมืองทั้งสิ้น นักการเมืองคือตัวการทำลายชาติ ทำลายบ้านทำลายเมือง เห็นแก่พวกพ้อง เห็นแก่พรรคตัวเอง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ได้เอาชาติเป็นตัวตั้้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตาม พี่น้องครับ ผมไม่มีน้ำตา และผมต้องขอให้พี่น้องเข้มแข็ง ถ้าเป็นพันธมิตรฯ ต้องเข้มแข็งต้องเข้าใจ ต้องเข้าใจการตัดสินใจครั้งนี้ว่า ทำไมเราต้องยุติบทบาททางการเมือง ที่เราต้องยุติบทบาททางการเมือง เพราะว่าเราได้หงายไพ่ของเราไปแล้ว เรายื่นมือไปแล้วบอกว่า ถ้าคุณรักชาติรักบ้านรักเมืองเหมือนเรา เสียสละหน่อยได้ไหม ออกมาร่วมกับเรา แต่ถ้ายังใช้วาทกรรมเดิมๆ ว่า มีกฎหมายในสภาฯ ต้องทำโน้นนี่นั่น ขอให้ประชาชนประท้วงควบคู่ไปกับพวกเขาในสภาฯ ผมไม่เล่นด้วย เมื่อผมไม่เล่นด้วยแล้ว พี่น้องครับถอย 1 ก้าวฟ้าจะสดใส เชื่อผม การที่พันธมิตรฯ แกนนำยุติบทบาทนั้น ไม่ใช่เป็นการถอย แต่เป็นการรุกอย่างหนึ่ง เราไม่ได้ถอย นี่คือยุทธวิธีพี่น้อง อย่าไปเสียกำลังใจพี่น้อง พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับเรามาจาก 193 วันมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง ได้กลั่นกรองออกไปส่วนหนึ่งแล้ว คือ 158 วัน

คลิก! อ่านต่อ







กำลังโหลดความคิดเห็น