หากติดตามข่าวผู้ชุมนุมในนาม “กองทัพประชาชนโค่นระบบทักษิณ” ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ลานพระบรมรูป รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี ก็จะเห็นได้ว่า เป็นเพียงการร่วมชุมนุมของคนที่ไม่ชอบ “ทักษิณ – รัฐบาล” จำนวนหนึ่งเท่านั้น
แถมยังถูกปรามาสว่า เสียแรงเปล่า เพราะคงทำอะไรรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้
แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ท่าทีของรัฐบาล ตั้งแต่มีการประกาศชุมนุมในวันที่ 4 ส.ค.เท่านั้น ก็เต้นผางมีการกริ๊งกร๊างข้ามทวีปสั่งการให้ ครม.วงเล็กประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร ใน 3 เขต ประกอบด้วย ดุสิต พระนคร และป้อมปราบศัตรูพ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 - 10 ส.ค.
จับอาการ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี แสดงว่าหวั่นเกรงการชุมนุมของมวลชนคนไม่ชอบทักษิณครั้งนี้มากเป็นพิเศษ โดยไม่สนใจว่าประกาศไปแล้วจะขัดต่อสิทธิพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนสามารถชุมนุมได้ด้วยความสงบ
ขณะที่ “ฝ่ายตำวจ” ที่รับหน้าเสื่อดูแลความไม่สงบเรียบร้อย ตามที่มีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯก็เด้งรับลูกทำหน้าที่ “ขี้ข้า” รับใช้รัฐบาลได้อย่างไร้ที่ติ โดยมิได้คำนึงถึงฐานะ “ข้าของแผ่นดินผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” อีกต่อไปแล้ว เลือกที่จะใช้กฎหมายมากดหัวประชาชน ปิดถนนสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คน
ทั้งที่ยังไม่เกิดเหตุ แต่กลับปิดถนนถึง 12 เส้นยาวนาน 10 วัน ทำให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้
ยิ่งเช้าตรู่ของวันจันทร์ที่ 5 ส.ค.กลายเป็นฝันร้ายของคนกรุงทันที เมื่อตำรวจเอาแผงปูนขนาดใหญ่มากั้นถนนแบบถาวร รถราสัญจรผ่านไม่ได้ใน 5 ถนนหลัก ราชวิถี-พิชัย-อู่ทองใน-พิษณุโลก-ราชดำเนิน ทำเอาการจราจรในละแวกนั้นยิ่งสาหัสสากรรจ์
ไม่เท่านั้นยังสร้างภาพสั่นประสาทประชาชนให้ขวัญผวาว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง โดยสั่งระดมกำลังตำรวจหลายนับหมื่นนาย ติดอาวุธปราบจลาจลครบมือ มายืนแถวป้องกันเส้นทางเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล-รัฐสภา ถ่ายภาพแช๊ะๆเพื่อข่มขวัญกลุ่มผู้ชุมนุม และมองได้ว่าต้องการให้ประชาชนขวัญสยองไม่กล้าออกมาร่วมม็อบ
ฝ่ายผู้ชุมนุมก็เจตนาชัดเจนที่จะเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย หรือถูกไล่ทุบตีเหมือนทำกับม็อบ เสธ.อ้าย ก็ลงมติย้ายวิกไปไกลจาก“พื้นที่ความมั่นคง” เลือกหัวหาดปักหลักดูเชิงอยู่ถึงสวนลุมพินี
ทำเอาบรรดาตำรวจที่ประจำการในพื้นที่ความมั่นคงว้าเหว่กันไปเลยทีเดียว อาศัยผลัดกันถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กแก้เหงามือไปก่อน เพราะไม่มีใครมาเป็นเป้าให้เอากระบองฟาดกบาลเล่นอย่างที่ตั้งใจไว้
เมื่อยังไม่มี “คู่ซ้อม” ก็ยังไปไล่ระรานประชาชนในโลกออนไลน์อีก ตามที่ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ภายใต้การนำของ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงห์สิงแก้ว ผู้บัญาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ออกประกาศจะเอาผิดกับคนีื่่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวประเด็นสถานการณ์บ้านเมืองในโซเชียลเนตเวิร์ก
อารมณ์ประมาณว่า บรรยากาศการเมืองอึมครึม ไม่รู้ใครจะโค่นใคร ผู้ใดจะกดไลก์กดแชร์อะไรที่ล่อแหลมจะเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
ไม่ใช่แค่ขู่แต่ยังทำงานไวปานวอก เชือดไก่ให้ลิงดู ออกหมายเรียก 4 รายที่โพสต์ข้อความว่าจะมีการรัฐประหารผ่านโซเชียลมีเดียเข้ารับทราบข้อกล่าวหาทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นมี “เสริมสุข กษิติประดิษฐ์” บก.ข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กับระบอบทักษิณรวมอยู่ด้วย
เรียกว่างานนี้ ตำรวจทำงานกำลังเอาใจ “นายทาส” ด้วยการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของชาวบ้านร้านตลาดอย่างเต็มรูปแบบ หวังปิดหูปิดตาประชาชนหลังโดยปิดกั้นช่องทางโซเซียลมีเดีย หลังจากที่ครอบงำสื่อกระแสหลักไว้ได้แล้ว
หันกลับมาดูที่ความเคลื่อนไหวของ “กองทัพโค่นแม้ว” กันบ้าง เข้าสู่วันที่ 2 ของการชุมนุม หลังลั่นระฆังยกที่ 1 เพื่อโค่นระบอบทักษิณ และประกาศปักหลักค้างคืนอย่างน้อย 3 วัน บรรยากาศยังเป็นไปอย่างเรียบร้อย ผู้คนยังแน่นลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 มีเหตุปั่นป่วนเล็กน้อยตามประสาคนหมู่มาก และคนไม่หวังดีอาศัยจังหวะมั่วเข้ามาบ้าง
ผ่านไปหนึ่งวันเศษ ต้องถือว่าการชุมนุมครั้งนี้สำเร็จในระดับหนึ่งเมื่อเขย่าขวัญ ทำเอาเมื่อวันที่ 4 ส.ค. “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี ไม่กล้าเยื้องย่างออกมาจากรู กำหนดการที่คิดจะเซอร์ไพรส์คนระยอง ไปเที่ยวเกาะเสม็ด ดูความคืบหน้าเหตุการณ์น้ำมันรั่วลงทะเลก็พับเก็บไว้แบบใจไม่กล้าพอ แถมสั่งจัดวางกำลังตำรวจทั้งใน-นอกเครื่องแบบราว 1 กองร้อยเป้าดูแลกันตลอด 24 ชั่วโมงอีกต่างหาก
เมื่อทำให้รัฐบาลขวัญผวาได้ขนาดนี้แล้ว คำถามมีว่าจังหวะก้าวต่อไปของ “กองทัพโค่นทักษิณ” จะเลือกเดินอย่างไร
ในที่ประชุม “เสนาธิการร่วม กองทัพประชาชนฯ” ได้มีการหารือยุทธวิธีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา มีการประเมินสถานการณ์แบบชั่วโมงต่อชั่วโมง หากมีมติการเคลื่อนไหวใดออกมาก็จะประกาศล่วงหน้าไม่นาน ตามบุทธวิธีแบบ “ลับ ลวง พราง” ที่วางเอาไว้แต่ต้น
โดยเปิดหัวด้วยมาตรการเรียกน้ำย่อย ส่งตัวแทนไปชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการชุมนุมตามสถานทูตต่างๆ เพื่อให้นานาชาติเข้าใจสถานการณ์ในประเทศ ส่วนการยกระดับการชุมนุมเพื่อกดดันรัฐบาลในรูปแบบต่างๆก็มีเสนอเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าสนใจที่สุดคือ การเคลื่อนมวลชนในรูปแบบ “ดาวกระจาย” ซึ่งเป็นที่จับตามองกันอยู่
ซึ่งที่ประชุมเสนาธิการร่วม ขณะนี้ยังไม่ตกผลึกว่าจะมี “ดาวกระจาย” หรือไม่ หากมีจะไปที่ไหนอย่างไร เพราะมีโจทย์ว่าต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไป
โดยมีไอเดียที่ถูกส่งเข้าประกวด และได้รับการตอบรับมากที่สุดในตอนนี้คือจัดตั้งทีมราว 4-5 คนเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วติดตามภารกิจ “นายกฯยิ่งลักษณ์” ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นทีเด็ดทำให้ “ปูกรรเชียง” ที่ขวัญผวาอยู่ในตอนนี้ยิ่งอกสั่นขวัญแขวนหนักขึ้นไปอีก เหมือนครั้งที่ “กองทัพมือตบ” โผล่ไปตะโกนขับไล่ช่วงในปลายสมัย “ทักษิณ ชินวัตร” จนทำเจ้าตัวเดือดดาลเก็บอาการไม่อยู่หลายต่อหลายครั้ง
ส่วนนี้อาจจะเป็นยุทธวิธีย่อยที่หยิบยกมาใช้ในวันที่ 6 ส.ค.นี้ ก่อนถึงวันสำคัญ
เพราะทุกฝ่ายเฝ้าจับตาดูว่าในวันที่ 7 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับ “วรชัย เหมะ” ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ทางกลุ่มผู้ชุมนุมจะมีมาตรการใดออกมา โดยเฉพาะในยามที่ “หน้ารัฐสภา” ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมาย กลายเป็นไข่แดงอยู่ใน “พื้นที่ความมั่นคง” มีการสกัดกั้นหลายด่าน
หากประกาศโต้งๆว่าจะขนคนไปประท้วงที่หน้ารัฐสภา ย่อมหนีไม่พ้นการถูกหาเรื่องตีกระเจิงเหมือนเมื่อครั้ง “ม็อบ เสธ.อ้าย” เมื่อปลายปีก่อน
ถือเป็นโจทย์ที่ฝ่ายเสธ.ของกองทัพประชาชนฯยังคิดไม่ตก เพราะแน่นอนว่าหากต้องคัดค้านการออกกฎหมาย จุดยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดย่อมเป็นที่หน้ารัฐสภา แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะโหมไฟความขัดแย้งให้ลุกลามขยายวงต่อไป โดยการ “ดับเครื่องชน” ลุยไปที่หน้ารัฐสภา
ขืนปักหลักผลัดกันขึ้นไปยืนด่ารัฐบาลอยู่ที่สวนลุมพินี ก็มีหวังเฉาตายสถานเดียวกัน และเท่ากับปล่อยให้บรรดาอีกานกแร้งทำคลอด “กฎหมายล้างผิด” ได้อย่างสบายใจเฉิบ
มองข้ามไม่ได้กับการปรากฏตัวของ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ที่โผล่พรวดขึ้นปราศรัยบนเวทีที่สวนลุมพินี เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 4 ส.ค. นอกจากสนับสนุนการชุมนุมของกองทัพประชาชนฯแล้ว ยังเชิญชวนประชาชนให้ไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจการทำหน้าที่ ส.ส. ในวันที่ 7 ส.ค.ที่รัฐสภาอีกด้วย โดยบอกด้วยว่าก่อนมาขึ้นเวทีได้รับไฟเขียวจาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ – สุเทพ เทือกสุบรรณ” แล้ว
ส่ง “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” มาจับมือสานสัมพันธ์กับม็อบไว้ เพราะเวที “ผ่าความจริงวันนี้” ที่จัดแบบนอนสตอป 4 วันรวดก่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยเฉพาะในวันที่ 6 ส.ค.จะปราศรัยกันยาวถึงรุ่งเช้าของวันที่ 7 ส.ค. โดยกำหนดยุทธภูมิจะมาตั้งเวทีกันที่ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ ซึ่งห่างจาก“พื้นที่ความมั่นคง” เพียงไม่กี่ก้าว
ถือว่ายุทธภูมิดีกว่าที่สวนลุมพินี หากต้องการเผด็จศึกรัฐบาล
เพียงแต่ยังมีข้อสงสัยในวงประชุม “เสธ.กองทัพประชาชนฯ” ว่า พรรคประชาธิปัตย์สู้เต็มตัวหรือไม่ หรือหวังยืมมือมวลชนไปเผชิญหน้ากับฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น
ไล่เรียงแนวร่วมกองทัพประชาชนฯในตอนนี้ พบว่านอกจากมวลชนเดิมขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ที่มีอยู่ราว 5 หมื่นคนแล้ว ก็ยังมีกำลังเสริมจากกลุ่มช่อง 13 สยามไท กลุ่มธรรมยาตรา กลุ่มหนุมานอาสา กลุ่มสหพันธ์หน้ากากขาว กลุ่ม V For Friend แนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน กลุ่มนักรบนิรนามของ “ผู้กองปูเค็ม” กลุ่มสันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย
ต้องยอมรับว่าลำพังมวลชนในมือของกองทัพประชาชนฯ ยากที่จะต่อกรหรือต่อรองกับทางฝ่ายรัฐบาลได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก “พรรคประชาธิปัตย์” และหากสนับสนุนจะเอาด้วยมากน้อยขนาดไหน
ด้วยข้อจำกัดที่แนวร่วมยังไม่เป็นกลุ่มก้อนเล็กๆไม่มีมวลชนเป็นกอบเป็นกำ หากไร้ซึ่ง “มวลชนคนเสื้อฟ้า” มาร่วม ก็ดูไม่ออกว่าจะสร้างแรงกดดันให้แก่รัฐบาลได้
วันที่ 7 ส.ค.นี้ สู้ไม่สู้ บุกไม่บุก หลักๆก็คงขึ้นอยู่กับ “พรรคประชาธิปัตย์” ด้วยว่า จะส่งสัญญาณได้แรงและจริงใจขนาดไหน