เกาะกระแส
00 ได้ยินได้ฟัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ให้ความคิดเห็นกับคลิปของกลุ่มที่อ้างว่าเป็น "อัลกออิดะห์"ขู่ตามฆ่า ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีสถานะเป็น "มหาโจร"ของไทยทำนองว่าต้อง "เร่งตรวจสอบ"ให้ชัดเจน แถมยังฮึ่มฮั่มตามสไตล์อีกว่า "อย่าชักศึกเข้าบ้าน" ทำให้ต้องกลับมาหลับตานึกภาพไปถึงคำพูดใน"คลิปถั่งเช่า"อุบาทว์ก่อนหน้านี้ ที่มีคนเชื่อว่าต้องเป็นเสียงของ ทักษิณ ชินวัตร กับ "อ๊อด" ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เป็นแน่แท้ โดยเฉพาะสะดุดตรงคำพูดที่ว่า "ไว้ใจไอ้ตู่ที่สุด" นั่นแหละ ทำให้ทุกอย่างเริ่มเข้าเค้ามากขึ้นไปอีก ตอนแรกก็ยังนึกว่าเป็น "ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์" หัวโจกคนเสื้อแดง ขี้ข้า ทักษิณเสียอีก เห็นจากการพาดหัวของสื่อว่า "ตู่" เหมือนกัน
00 แต่ถึงอย่างไร จากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แสดงท่าทีขึงขังจะตรวจสอบที่มาที่ไปเป็นอย่างไร และย้ำในความหมายที่ว่า "จะฆ่าแม้วตามที่พูดในคลิปนั้นมันไม่ง่าย" ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมี "รปภ.ที่ไว้ใจได้" อย่างที่มีเสียงหลุดออกมาให้ได้ยินทั่วบ้านทั่วเมืองว่า "ผมไว้ใจไอ้ตู่ที่สุด"หรือเปล่า และอีกคำที่คำรามว่า "อย่าชักศึกเข้าบ้าน เป็นเรื่องภายในของเรา เป็นปัญหาของแต่ละประเทศ ประเทศอื่นไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง" ก็ต้องบอกว่าอย่าพูดเอาเท่อย่างเดียว หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ "อย่าดีแต่พูด" เพราะเมื่อวกเข้าไปดูเรื่องชายแดนใต้ถามว่าเวลานี้ "ชักศึกเข้ามาในบ้าน"แล้วหรือยัง เวลานี้มีการ "ยกระดับ" ฐานะของมาเลเซียจากประเทศ"ผู้อำนวยความสะดวก"มาเป็น "ผู้ไกล่เกลี่ย"ตามที่หลุดปากออกมาแล้วหรือยัง รวมทั้งมีข้อเสนอจาก นายกฯมาเลย์ นาจิบ ราซัค ที่ให้ไทยจัดตั้ง "เขตปกครองพิเศษ"ในพื้นที่ถือว่าเสียมารยาท ไม่ควรก้าวก่ายประเภทอื่น ทั้งที่เป็นเรื่องภายในของเรา แล้วขอโทษ "เสือก"เข้าจุ้นทำไม แล้วที่ผ่านมานาจิบ คนนี้แหละที่เปิดเผยออกมาให้รับรู้กันว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการผลักดันให้เจรจาสันติภาพกำมะลอกับ "บีอาร์เอ็น"ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร จนเละเทะอย่างที่เห็นนั่นแหละ แล้วในฐานะผู้นำกองทัพ ในฐานะรองผอ.กอ.รมน.ที่มีอำนาจเต็มในพื้นที่ไม่โต้แย้งให้ความเห็น หรือเป็นเพราะ "วูเม่นอินทัช" หรือเปล่า แล้วอย่างนี้ใครกันแน่ที่ชักศึกเข้าบ้าน ใครกันแน่ที่ยกระดับปัญหาภายในให้องค์ต่างชาติเข้ามาแส่ หา !!
00 กลายเป็นว่าประเทศไทยอยู้ได้ด้วยการโม้ ด้วยการสร้างภาพ และคนไทยก็ยอมซุกอยู้ใต้เท้าคนรวย หรือองค์กรธุรกิจใหญ่ที่ครอบงำตลาด คราวนี้ก็เช่นเดียวกันหากไม่เกิดเหตุหายนะกรณี "น้ำมันดิบรั่ว"จนชายฝั่งตะวันออกฉิบหายวายป่วง ที่เห็นก็มีเกาะเสม็ด เกาะช้างตลอดชายฝังระยอง ถ้าไม่เกิดเรื่องเราก็คงไม่ได้เห็นความ "ห่วย" ความไม่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมตามที่ปากพูด และสร้างภาพบิดเบือนให้เห็นตลอดเวลา เพราะหลังจากเกิดเหตุตั้งแต่วันที่ 27-28 กค.ก็มีความพยายามปกปิดข่าว หรือปิดบังแสดงให้เห็นว่าความเสียหายไม่รุนแรง แต่เป็นเพราะความเสียหายมันลุกลามจนปิดบังไม่ได้อีกต่อไปแล้วนั่นแหละถึงได้ออกมารับผิดชอบ หน่วยงานที่รับผิดชอบอย่าง รมว.กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่ชื่อ วิเชษฐ์ เกษมทองศรี ถือเป็นหน่วยงานโดยตรงที่ต้องตื่นตัวตั้งแรก แต่ก็เพิ่งเห็นหัวได้ยินเสียงหลังน้ำมันโอบล้อมไปทั่วทั้งเวิ้งอ่าวแล้ว หรือว่าเป็นเพราะเคยมีความผูกพันสมัยที่ยังเป็น "อดีตประธานบอร์ดปตท."หรือเปล่า หรือว่า"กลัวหุ้นตก" กลัวฝรั่งหัวดำที่ถืออยู่ขาดทุนหือ อ้อ อีกคนที่เพิ่งเห็นหน้าก็คือ "เพ้ง" พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ทีอย่างงี้แทนที่จะออกแอ็กชั่นเร็ว กลับช้าไม่เหมือน"เลียนาย"ตอนเกาะเก้าอี้เลยนะ
00 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พร้อม การ"ไม่ยอมลงทุน"เพื่อเตรียมรับมือกับอุบัติเหตุทั้งจาก ปตท.ที่ทำธุรกิจประเภทนี้ เพราะมันมีโอกาสเกิดเหตุแบบนี้ได้เสมอ ไม่ว่าจะป้องกันดีเพียงใด มีเทคโนโลยีดีเพียงใดก็ยังเกิดขึ้นได้ ในทางตรงกันข้ามหากไม่ใส่ใจหรือละเลยมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ทั้งที่ศักยภาพของ ปตท.หากวัดจากกำไรในแต่ละปีหลายแสนล้านก็น่าจะเจียดมาลงทุนด้านการป้องกันหรือรับมือได้อย่างเพียงพอ แต่เท่าที่เห็นเมื่อเกิดเหตุกลับมีแต่เรือของกองทัพเรือเข้าไปวางทุ่นป้องกันคราบน้ำมันตามมีตามเกิด ขณะเดียวกันก็ได้ยินว่าต้องขอความช่วยเหลือผู้เชี่ยวชาญจากสิงคโปร์ กว่าจะเดินทางมาถึงต้องรออย่างน้อยสองสามวัน ทุด!!