“หมอวรงค์” ลั่น ปชป.ไม่เห็นด้วย รบ.ลดจำนำข้าวเป็น 13,500 บาท ชี้สัญญาไว้หมื่นห้า ทำไม่ได้ถือว่าหาเสียงมั่ว-เลิกแถ จี้รับผิดชอบทางการเมือง เตือนอธิบดีการค้าฯ เลิกเจรจาชาวนาแทนรัฐฯ ไม่งั้นโดนหางเลข ซัด รบ.ตัวนำข้าวปนการเมืองแถมทำร้ายซ้ำ ชำแหละประมูลข้าว 3 รายการ ขาดทุนข้าวขาว 1,800 ล้าน ข้าวเอวันเลิศ 600 ล้าน ฟันธงจับคู่ทำข้าวนึ่งส่งออกเหลว และข้าวเปลือกเจ๊ง 1,200 ล้าน รวมกว่า 3,600 ล้าน
วันนี้ (19 ก.ค.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะปรับลดราคาจำนำข้าวจาก 15,000 บาท ไม่เกิน 5 แสนบาทต่อครอบครัว เป็น 13,500 บาท ไม่เกิน 4 แสนบาทต่อครอบครัว โดยพรรคประชาธิปัตย์ขอประกาศว่าไม่เห็นด้วย เพราะเป็นนโยบายสัญญาประชาคมระหว่างพรรคเพื่อไทยกับประชาชน ถ้ารัฐบาลหาเสียงแล้วไม่ทำจะกลายเป็นบรรทัดฐานว่าหาเสียงมั่วได้พอเป็นรัฐบาลแล้วไม่ทำ อีกทั้งสิ่งที่รัฐบาลประกาศไปแล้ว 15,000 บาท แต่ทำไม่ได้ไม่ต้องอ้างอะไรทั้งสิ้น เพราะในทางการเมืองต้องออกไปได้แล้วหากทำไม่ได้ ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองจะลาออกหรือยุบสภาเป็นเรื่องของรัฐบาล และขอเตือน น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายในที่ออกมาหน้าเสื่อเรื่องนี้ไปเจรจากับตัวแทนชาวนา ว่าอย่าไปยุ่งเพราะเป็นสัญญาระหว่างพรรคเพื่อไทยกับประชาชน น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ต้องปฏิเสธการเป็นตัวแทนรัฐบาล เพราะการเจรจาต้องให้นายกฯหรือฝ่ายการเมืองเป็นผู้เจรจาเองเนื่องจากเป็นสัญญาประชาคมของพรรคเพื่อไทยที่ให้ไว้กับชาวนา แต่ถ้า น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ยังเข้ามายุ่งตนจะบอกกับชาวนาว่าสาเหตุที่ทำให้มีการลดราคาจำนำลงเหลือ 13,500 บาท นอกจากเป็นความล้มเหลวของพรรคเพื่อไทยแล้วยังมี น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
นพ.วรงค์กล่าวว่า ในขณะนี้มีการพูดว่าอย่าเอาข้าวมาเล่นการเมือง หรือใช้คำว่าหยุดทำร้ายข้าวไทย ตนต้องย้ำว่า ป้ายหาเสียง 15,000 บาทก่อนรัฐบาลเท่ากับมีการนำเรื่องข้าวมาเป็นการเมืองอยู่แล้ว แต่เมื่อหาเสียงแล้วทำไม่ได้ถูกวิจารณ์กลับมากล่าวหาว่าใช้ข้าวเป็นการเมือง ส่วนกรณีคำพูดว่าหยุดทำร้ายข้าวไทยนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากนโยบายรัฐบาลทั้งสิ้น ตั้งแต่การรับจำนำในราคาที่สูงกว่าตลาด จนเกิดปัญหาเรื่องการจัดเก็บรักษา ทำให้มีผลกระทบตามมาเกี่ยวกับสารปนเปื้อน ดังนั้นการทำร้ายข้าวไทยเกิดจากนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลเพื่อไทย
สำหรับกรณีที่รัฐบาลจะเปิดประมูลข้าว 3 รายการ คือข้าวขาว 5% จำนวน 1.5 แสนตัน ปลายข้าวเอวันเลิศ 2 แสนตัน และข้าวเปลือก 2 แสนตันเพื่อจับคู่ทำข้าวนึ่งนั้น นพ.วรงค์คาดว่า ในส่วนของข้าวขาว 5% รัฐน่าจะขาดทุนประมาณ 1,800 ล้านบาท ส่วนการขายปลายข้าวเอวันเลิศที่จะประมูล 2 แสนตันนั้นจะเป็นตัวเดียวที่ขายได้ เนื่องจากนโยบายรัฐบาลผิดพลาด เพราะข้าวเปลือกเจ้า 1 ตัน เมื่อสีเป็นปลายข้าวเอวันเลิศได้ประมาณ 90 กิโลกรัม แต่รัฐบาลกำหนดว่าข้าว 1 ตันในโครงการจำนำข้าวจะต้องส่งปลายข้าวเอวันเลิศ 170 กิโลกรัมให้รัฐบาล ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงทำให้มีความต้องการที่จะต้องส่งปลายข้าวเข้าโกดังรัฐบาล ดังนั้นจะเกิดการประมูลปลายข้าวเอวันเลิศเพื่อย้อนกลับไปสู่โครงการจำนำของรัฐบาลอีกครั้ง กลายเป็นการประมูลจากรัฐเพื่อไปขายทำกำไรกับรัฐจากโครงการจำนำข้าวอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ราคาปกติของปลายข้าวเอวันเลิศอยู่ที่ 14,500 บาท มีการซื้อขายลับๆ ที่ ราคา 12,000 บาทต่อตัน แต่ตอนเคาะราคาปลายข้าวหมายถึงตัวต้นทุนจะอยู่ที่ 15,000 บาทต่อตัน จึงคิดว่ารัฐบาลจะขาดทุนตันละ 3 พันตัน รวมขาดทุนราว 600 ล้าน
ส่วนข้าวเปลือก 2 แสนตันเพื่อจับคู่ทำข้าวนึ่งส่งออกนั้นตนเห็นว่ารัฐบาลอาจไม่เข้าใจระบบ เนื่องจากรัฐบาลจำนำข้าวเปลือกราคาหมื่นห้าพันบาทต่อตัน ในขณะที่ราคาในตลาดอยู่ที่ 9,000-10,000 บาท ดังนั้น การจับคู่ทำข้าวนึ่งเพื่อการส่งออกจะล้มเหลว ด้วยเหตุผลดังนี้ 1. โรงสีเมื่อนำข้าวเปลือกของรัฐบาลมาสีข้าวก็จะเอาของไม่ดีให้กับรัฐบาลด้วยการจ่ายเงินให้เซอร์เวเยอร์ใต้โต๊ะ แต่ถ้าไปจับคู่กับผู้ส่งออกจะถูกควบคุมมาตรฐาน ทำให้โรงสีไม่ได้ประโยชน์ จึงเชื่อว่าโรงสีจะไม่ให้ความร่วมมือ 2. ถ้าโรงสีทำข้าวนึ่งอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องซื้อข้าวเปลือกล็อตใหญ่เพื่อเอาเงินไปจมกับรัฐบาล เพราะที่ผ่านมาเอาข้าวไปเปาเการาคาถูกๆ ส่งโกดังรัฐบาล ตนจึงกล้าพูดว่านโยบายจับคู่ข้าวเปลือกไปทำข้าวนึ่งจะล้มเหลว เว้นแต่รัฐบาลจะขายราคาถูกมากๆ อย่างดีที่สุดตนประเมินว่าอาจมีการกู้หน้าให้รัฐบาลด้วยการให้คนในวงการช่วยซื้อ โดยน่าจะได้ราคาไม่เกิน 9 พันบาทต่อตัน 2 แสนตัน จะขาดทุน 1,200 ล้าน รวม 3 รายการจะขาดทุน 3,600 ล้านบาท