กมธ.ตำรวจ ถกเหตุ “ศิริโชค” ร้องกรณี ตร.อาสาใช้รถ ตร.ขนยาเสพติด กลับเปลี่ยนบันทึกเป็นวีออส ตร.ชุดจับกุมถูกย้าย ชี้คำสั่งมิชอบด้วยกฎหมาย บันทึกข้อมูลไม่ตรงกัน ไม่ยึดรถของกลาง ร้อง ผบ.ตร.สอบรอง ผบก.ภ.สงขลา เจ้าตัวแจงคนร้ายเป็น ตร.บ้านจึงใช้รถ ตร. แต่ขับไม่ถึงจุดล่อซื้อ พบยาฯ ที่ตัวจึงไม่ยึดรถ รับสั่งย้ายชุดจับกุมเอง “ชูวิทย์” ติงเลือกปฏิบัติ กมธ.ชี้ให้อำนาจ ตร.อาสามากไป ละเลยไม่ยึดรถ คาดไร้อำนาจย้าย
วันนี้ (18 ก.ค.) การประชุมคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการการตำรวจ ที่ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีตำรวจอาสาใช้รถยนต์ของสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขนยาเสพติดและมีการเปลี่ยนบันทึกการจับกุมจากรถตำรวจเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้าวีออส และมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมทั้ง 12 นายไปช่วยราชการในอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา โดยเชิญ พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ พิสุทธิศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พ.ต.อ.กฤษกร พลีธัญญาวงศ์ รองผู้บังคับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รักษาราชการแทนผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง
โดยนายศิริโชคตั้งข้อสังเกตว่า คำสั่งโยกย้ายอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการดำเนินการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับหลักฐานการบันทึกประจำวันมีข้อมูลไม่ตรงกัน และของกลางบางส่วน เช่น รถของสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ไม่ได้ถูกยึดเป็นของกลาง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมก็ถูกคำสั่งย้ายด่วนให้ไปช่วยราชการต่างอำเภอ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้ง 12 นายเกิดความวิตกกังวลและไม่กล้าให้ข้อมูล เพราะกลัวจะกระทบกับตำแหน่งหน้าที่
นอกจากนี้ นายศิริโชคยังเรียกร้องให้เสนอเรื่องจดหมายคำสั่งย้ายไปยัง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ตรวจสอบคำสั่งโยกย้ายว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และ พ.ต.อ.กฤษกร มีอำนาจในการออกคำสั่งโยกย้ายหรือไม่
ด้าน พ.ต.อ.กฤษกร ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ ว่า ในคดีดังกล่าวหากเกิดความผิดพลาดในเรื่องใดๆ ตนขอยอมรับในข้อผิดพลาดในฐานะที่ไม่ควบคุมกำกับดูแลหน้าที่ให้ดี แต่จากคดีดังกล่าวข้อเท็จจริงที่ปรากฏ คือ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2556 มีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดที่เป็นเจ้าหน้าที่อาสาตำรวจจริง และมีการล่อซื้อและส่งมอบยาเสพติดจริง โดยผู้ต้องหาคือนายตี๋ หรือสารวัตรตี๋
ส่วนกรณีการขับรถร้อยเวรไปส่งยาเสพติดนั้น มีการขับรถคันดังกล่าวไปจริง แต่เป็นการขับไปไม่ถึงจุดหมาย โดยผู้ต้องหาจอดรถทิ้งไว้กลางทาง และเดินทางต่อด้วยมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ส่วนสาเหตุที่นายตี๋สามารถนำรถร้อยเวรไปจากสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ได้ เพราะในวันเวลาดังกล่าวนายตี๋อาสาทำหน้าที่เป็นตำรวจบ้าน จึงสามารถนำรถจากสถานีตำรวจไปใช้งานได้ ซึ่งจากการสอบสวนค้นพบยาบ้าในตัวผู้ต้องหา แต่ไม่ได้มียาบ้าซุกซ่อนอยู่ในรถตำรวจ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงใช้วิจารณญาณที่จะไม่ยึดรถตำรวจเป็นของกลาง แต่ได้ยึดทรัพย์สินอื่นๆ ของผู้ต้องหา ส่วนการออกคำสั่งย้ายไปช่วยราชการนั้น ยอมรับว่าลายเซ็นเป็นของตนจริง โดยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 12 นายไปช่วยราชการ ซึ่งตนยินดีรับผิดชอบกับคำสั่งที่ได้ออกไปก่อนหน้านี้ พร้อมยืนยันว่าทำทุกอย่างถูกต้อง
ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กรรมาธิการเห็นว่าการกระทำของพันตำรวจเอกกฤษกร เป็นการเลือกปฏิบัติไม่ใช่วิธีที่ตำรวจที่ดีควรทำ ขณะที่ความเห็นส่วนใหญ่ของกรรมาธิการมองว่า พ.ต.อ.กฤษกร ละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่จากกรณีที่ไม่ยึดรถของกลางที่ผู้ต้องหาใช้ในการดำเนินการขนยาเสพติด อีกทั้งเห็นว่าตำรวจอาสาไม่มีสิทธิที่จะนำรถหลวงไปใช้ได้ตามอำเภอใจ ดังนั้นจึงขอให้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 นำเรื่องดังกล่าวเสนอไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ปรับกฎเกณฑ์การทำหน้าที่ของอาสาตำรวจใหม่ เพื่อป้องกันตำรวจอาสาใช้อำนาจเกินหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ประธานคณะกรรมาธิการฯ มองว่า พ.ต.อ.กฤษกร ไม่น่าจะมีอำนาจในการโยกย้าย ซึ่งจากนี้ไปจะต้องมีการสืบค้นข้อมูลข้อเท็จจริงและหลักฐานคำสั่งโยกย้ายตามคำร้องขอของที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการตำรวจที่ระบุว่าต้องการให้ผู้เสียหาย คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกโยกย้ายทั้ง 12 นาย เป็นผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนด้วยตัวเองเพื่อความเป็นกลาง