รองเลขาฯ กกต.เผยที่ประชุมมีมติยุติสอบ 150 ส.ส.ปชป.บริจาคเงินเข้าพรรค หลังให้สำนักเลขาฯ หักบัญชีเงินเดือน สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อม ยันไม่ฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรค บอกภูมิใจไทยก็ใช้แบบเดียวกัน เมินส่งความเห็นดีเอสไอ ชี้คนละหน่วยงาน
วันนี้ (17 ก.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายธนิศร์ ศรีประเทศ รองเลขาธิการ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง แถลงว่า ที่ประชุม กกต.มีมติเห็นชอบตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอความเห็นให้ยุติการตรวจสอบกรณี ส.ส.150 คนของพรรคประชาธิปัตย์การบริจาคเงินเข้าพรรค โดยยินยอมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรหักเงินจากบัญชีเงินดือน ส.ส. แล้วสั่งจ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมยอดรวมจำนวน 1.5 ล้าน นำส่งเข้าพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนในการอำนวยความสะดวกจัดส่งเงินบริจาคของ ส.ส.ที่ต้องการอุดหนุนให้กับพรรค นำส่งพรรค จึงไม่เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติวห้าม หน่วยงานราชการ บริจาคเงินให้กับพรรคการเมือง นอกจากนี้ ในจำนวน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ดังกล่าวที่มี ส.ส.จำนวน 7 คน บริจาคเงินเกิน 2 หมื่นบาท การไม่ได้สั่งจ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมโดยสั่งจ่ายด้วยตนเอง แต่ผ่านสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก็เห็นว่าไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า การบริจาคเงินจำนวนมากกว่า 20,000 บาท ต้องทำเป็นเช็คขีดคร่อม เนื่องจากแม้ให้สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรสั่งจ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมรวมวงเงิน แต่ก็มีบัญชีที่สามารถตรวจสอบได้ว่าที่มาของเงินดังกล่าวเป็นของผู้ใด
ทั้งนี้ การตรวจสอบดังกล่าวไม่ได้มีผู้ใดร้องเรียนมา แต่ กกต.เห็นว่าเป็นเรื่องการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับ กกต. ประกอบกับมีพรรคการเมืองอื่นนอกเหนือจากพรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคภูมิใจไทยที่ใช้วิธีการเดียวกันในการให้ ส.ส.อุดหนุนพรรค นายทะเบียนพรรคการเมืองจึงอยากให้มีแนวทางปฏบัติที่ถูกต้อง จึงได้ให้ที่ปรึกษากฎหมายทำการศึกษาประเด็นข้อกฎหมายและมีความเห็นเสนอมาดังกล่าว ส่วนที่มีการร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ตรวจสอบกรณีนี้นั้น กกต.ไม่จำเป็นต้องส่งความเห็นดังกล่าวไปให้ เพราะแต่ละหน่วยงานก็มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบแตกต่างกันไป แต่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้ขอเอกสารเกี่ยวกับประกาศการรับบริจาคเงินของพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี 52 ถึงปัจจุบันมา กกต.ก็ทยอยนำส่งให้เพราะเอกสารมีจำนวนมาก ประกอบกับเอกสารบางรายการเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ 3 จึงจำเป็นต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาข้อมูลข่าวสารก่อน
วันนี้ (17 ก.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายธนิศร์ ศรีประเทศ รองเลขาธิการ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง แถลงว่า ที่ประชุม กกต.มีมติเห็นชอบตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอความเห็นให้ยุติการตรวจสอบกรณี ส.ส.150 คนของพรรคประชาธิปัตย์การบริจาคเงินเข้าพรรค โดยยินยอมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรหักเงินจากบัญชีเงินดือน ส.ส. แล้วสั่งจ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมยอดรวมจำนวน 1.5 ล้าน นำส่งเข้าพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนในการอำนวยความสะดวกจัดส่งเงินบริจาคของ ส.ส.ที่ต้องการอุดหนุนให้กับพรรค นำส่งพรรค จึงไม่เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติวห้าม หน่วยงานราชการ บริจาคเงินให้กับพรรคการเมือง นอกจากนี้ ในจำนวน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ดังกล่าวที่มี ส.ส.จำนวน 7 คน บริจาคเงินเกิน 2 หมื่นบาท การไม่ได้สั่งจ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมโดยสั่งจ่ายด้วยตนเอง แต่ผ่านสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก็เห็นว่าไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า การบริจาคเงินจำนวนมากกว่า 20,000 บาท ต้องทำเป็นเช็คขีดคร่อม เนื่องจากแม้ให้สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรสั่งจ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมรวมวงเงิน แต่ก็มีบัญชีที่สามารถตรวจสอบได้ว่าที่มาของเงินดังกล่าวเป็นของผู้ใด
ทั้งนี้ การตรวจสอบดังกล่าวไม่ได้มีผู้ใดร้องเรียนมา แต่ กกต.เห็นว่าเป็นเรื่องการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับ กกต. ประกอบกับมีพรรคการเมืองอื่นนอกเหนือจากพรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคภูมิใจไทยที่ใช้วิธีการเดียวกันในการให้ ส.ส.อุดหนุนพรรค นายทะเบียนพรรคการเมืองจึงอยากให้มีแนวทางปฏบัติที่ถูกต้อง จึงได้ให้ที่ปรึกษากฎหมายทำการศึกษาประเด็นข้อกฎหมายและมีความเห็นเสนอมาดังกล่าว ส่วนที่มีการร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ตรวจสอบกรณีนี้นั้น กกต.ไม่จำเป็นต้องส่งความเห็นดังกล่าวไปให้ เพราะแต่ละหน่วยงานก็มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบแตกต่างกันไป แต่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้ขอเอกสารเกี่ยวกับประกาศการรับบริจาคเงินของพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี 52 ถึงปัจจุบันมา กกต.ก็ทยอยนำส่งให้เพราะเอกสารมีจำนวนมาก ประกอบกับเอกสารบางรายการเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ 3 จึงจำเป็นต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาข้อมูลข่าวสารก่อน
