“วสันต์” เตรียมออกพ็อกเกตบุ๊ก “ชีวิตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” หลังลาออก โฆษกยันเป็นจุดประสงค์ส่วนตัวไม่เกี่ยวแรงกดดันการเมือง เชื่อ 8 ตุลาการที่เหลือวินิจฉัยคดีไร้ปัญหา คาด “จรูญ” ตุลาการอาวุโสสุดนั่งประธานที่ประชุมจนกว่าได้ตุลาการใหม่
วันนี้ (17 ก.ค.) นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงยืนยันว่า นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ มีความประสงค์ที่จะลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญและการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้มีผลเป็นทางการในวันที่ 1 ส.ค.นี้เป็นต้นไป หลังจากปฏิบัติภารกิจที่ตั้งใจไว้ คือ 1. การเร่งรัดพิจารณาคดีที่ค้างในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้คดีที่เข้าสู่การพิจารณาต้องแล้วเสร็จภายใน 1 ปี ซึ่งในต้นปี 2555 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีคดีที่ยังคงค้างอยู่ถึง 123 คดี แต่เราพิจารณาคดีเสร็จสิ้นไปแล้วถึง 109 คดี และปัจจุบันยังมีคดีที่ค้างอยู่ในการพิจารณาเพียง 30 คดีเท่านั้น
2. การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ให้รองรับภารกิจ เช่น ให้มีระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการจัดการงานคดี เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถจัดการงานคดีให้มีประสิทธิภาพ 3. การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพัฒนาภาพลักษณ์ขององค์กร และให้ประชาชนมีความเข้าใจ การทำความร่วมมือกับศาลรัฐธรรมนูญในต่างประเทศ โดยงานบางส่วนได้เสร็จสิ้นแล้วตามที่นายวสันต์ได้ให้สัญญาไว้กับคณะตุลาการเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 54 ว่าจะอยู่ปฏิบัติภารกิจดังกล่าวให้แล้วเสร็จไม่เกิน 2 ปี โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้มีหนังสือแจ้งไปยังประธานวุฒิสภา ถึงการลาออกของนายวสันต์เรียบร้อยแล้ว
นายพิมลยืนยันด้วยว่า การลาออกของนายวสันต์ไม่ได้เกี่ยวกับแรงกดดันทางการเมือง ซึ่งหลังจากนี้นายวสันต์จะใช้เวลาในการเขียนพ็อกเกตบุ๊กเกี่ยวกับชีวิตการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าภายใน 2-3 เดือนนี้จะแล้วเสร็จ ส่วนงานคดีที่สำคัญในขณะนี้ เช่น คำร้องที่ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และการพิจารณาสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น คณะตุลาการทั้ง 8 คนที่เหลือก็จะดำเนินการพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าคณะตุลาการจะเห็นชอบให้นายจรูญ อินทจาร ตุลาการผู้อาวุโสสูงสุด ปฏิบัติหน้าที่ประธานในที่ประชุมไปจนกว่าจะมีประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่
อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยคดีต่อจากนี้ไม่อยากให้สังคมกังวลว่าตุลาการจะไม่สามารถหามติที่เด็ดขาดได้ เพราะตุลาการที่เหลือมี 8 เสียง เนื่องจากที่ผ่านมาการพิจารณาคดีของตุลาการค่อนข้างมีความเห็นไปในแนวทางเดียวกัน หรือถ้ามีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถหาเสียงที่เด็ดขาดได้ คณะตุลาการจะทำการอภิปรายต่อจนกระทั่งแน่ใจว่าได้เสียงที่เด็ดขาดจึงจะลงมติ รวมทั้งกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
“การลาออกของท่านวสันต์ เป็นความประสงค์ส่วนตัวจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการเมือง เพราะปกติศาลรัฐธรรมนูญก็เจอแรงเสียดทานทางการเมืองอยู่แล้ว ซึ่งท่านประสงค์ที่จะลาออกตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แต่เห็นว่าขณะนั้นมีสถานการณ์การเมืองภายนอกศาลฯ จึงได้ผ่อนคลายจนกระทั่งมายื่นลาออกในครั้งนี้จึงชัดเจนว่าแรงเสียดทานที่ผ่านมาไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจ และตุลาการที่เหลือก็ไม่ได้กังวลต่อแรงกดดันทางการเมืองที่เกิดขึ้นนับจากนี้ เนื่องจากการพิจารณาของคณะตุลาการจะยึดหลักผลประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ประชาชน และประชาธิปไตย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาของคณะตุลาการที่เหลือจะเป็นปัญหาหรือไม่ เพราะในคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 นั้น มีผู้ที่เตรียมจะคัดค้านตุลาการบางคนไม่ให้เป็นองค์คณะ นายพิมล กล่าวว่า ประเด็นยังไม่เกิด จึงคาดการณ์และตอบในขณะนี้ไม่ได้
นายพิมลกล่าวอีกว่า หลังจากนี้ทางวุฒิสภาจะต้องดำเนินการสรรหาให้ได้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ให้ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ที่จะเข้ามานั้น จะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี แม้ว่าตุลาการ 8 คนที่เหลือ จะเหลือวาระการดำรงตำแหน่งเพียง 3 ปีเศษ เนื่องจากเข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 51 โดยเมื่อวุฒิสภามีมติเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่แล้ว ก็จะมาร่วมกับ 8 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประชุมพิจารณา คัดเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ก่อนที่จะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในคราวเดียวกัน