กมธ.กู้ 2 ล้านล้าน โยกเงินที่ถูกลดค่าใช้จ่ายไปเพิ่มในวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดรวม 2.1 หมื่นล้าน ฝ่ายค้านหวั่นเปิดช่องทุจริต “อรรถวิชช์” ยันกำหนดงบปีใช้ก็ได้ ก่อนชงโหวต “วราเทพ-ชัย” วอนอย่าลงมติชี้ผิดประเพณี แต่เจ้าตัวไม่สน สุดท้ายก็แพ้ตามคาด
วันนี้ (10 ก.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ที่มีนายวราเทพ รัตนากร รองประธานคณะกรรมาธิการ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดยนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายขนส่งและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข.ในฐานะกรรมาธิการ ชี้แจงตัวเลขสรุปกรอบวงเงินลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งก่อนนำเข้าสู่การประชุมสมัยสามัญ ซึ่งที่ประชุมได้มีการปรับลดกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ เช่น ค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง วงเงิน 11,790 ล้านบาท โดยนำไปเพิ่มในวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดจากเดิมที่ตั้งไว้ 9,261 ล้านบาท เป็น 21,051 ล้านบาท
โดยคณะกรรมาธิการฝ่ายค้านแสดงความกังวลว่าตัวเลขอาจคลาดเคลื่อนจากตัวเลขความเป็นจริง โดยเฉพาะค่าที่ดิน และค่าก่อสร้าง เพราะดำเนินการแล้วอาจมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของโครงการได้ นอกจากนี้ การปรับลดต่างๆ ก็ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน พร้อมทั้งได้ตั้งข้อสังเกตว่างบประมาณที่ปรับลด 11,790 ล้านบาท และถูกนำมารวมกับวงเงินคงเหลือจากร่าง พ.ร.บ.เดิม คือ 9,261 ล้านบาทนั้น เป็นงบที่ไม่มีการชี้แจงรายละเอียดการใช้เงินอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเปิดช่องให้มีการทุจริตได้ ซึ่งนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องคงเงินจำนวน 21,051 ล้านบาท ไว้ในแผน ข. หรือเผื่อเหลือเผื่อขาดเพราะอายุของ พ.ร.บ.กู้เงินดังกล่าวมีอายุถึง 7 ปี หากมีความจำเป็นก็สามารถไปกำหนดเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้
ขณะที่นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ได้แย้งว่า การที่นำงบประมาณที่ตัดออกไปไว้ในแผน ข.จะทำให้ให้กฎหมายได้มีทางออกที่จะให้คณะรัฐมนตรีบริหารประเทศได้ ขณะที่กรรมาธิการเสียงข้างมากบางคนเห็นว่าประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนซึ่งอาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายและต้นทุนสูงขึ้น จึงเห็นด้วยที่จะคงงบที่จะปรับลดไว้ในแผน ข.
นายอรรถวิชช์จึงเสนอให้มีการลงมติตัดสิน แม้นายวราเทพ และนายชัย ชิดชอบ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทยจะขอร้องไม่ให้มีการลงมติเพื่อเป็นไปตามประเพณีการประชุมกรรมาธิการที่ไม่นิยมลงมติโดยให้ไปแปรญัตติแล้วไปอภิปรายในสภาฯ แทน แต่นายอรรถวิชช์ยังยืนยันให้ลงมติ โดยผลการลงมติปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นให้คงวงเงิน 21,051 ล้านบาทไว้ในวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดด้วยคะแนน 16 ต่อ 8