xs
xsm
sm
md
lg

ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี 9 ก.ค. 2556

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพจากเว็บไซต์ Thaigov.go.th
• นายกฯ สรุปเดินทางเยือนโปแลนด์-ตุรกี

นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ครม.นายกฯได้มีการสรุปการเดินทางเยือนประเทศโปแลนด์ และตุรกีอย่างเป็นทางการ โดยระบุว่าประเทศโปแลนด์ มีศักยภาพสูงมาก เพราะเป็นประเทศที่ชายแดนติด 7 ประเทศในยุโรป และเป็นพื้นที่ในการกระจายส่งสินค้าในภูมิภาคที่มีค่าแรงไม่สูงนัก มีค่าขนส่งราคาถูก จึงมีบริษัทไทยเช่นบริษัท ส.ขอนแก่น ได้เปิดโรงงานอยู่ที่ประเทศโปแลนด์ และส่งออกไปขายใน 27 ประเทศยุโรป นายกฯจึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์ใช้ข้อมูลเหล่านี้เชิญชวนบริษัทที่อยากจัดส่งสินค้าไปยังยุโรป โดยหาช่องทางในการขยายการลงทุนไปยังประเทศโปแลนด์ โดยระหว่างไทยและโปแลนด์ ได้มีการประกาศว่าภายใน 5 ปีต่อจากนี้ จะมีการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันภายใต้มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ประเทศโปแลนด์ยังมีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว พลังงานหมุนเวียน นายกฯจึงมอบหมายให้กระทรวงพลังงานไปศึกษาว่าจะนำกลับมาปรับใช้กับประเทศไทยได้อย่างไร และยังมีการพัฒนาเกษตรกรรมได้ผลผลิตดีตลอดทั้งปี จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือเพิ่มเติมเพื่อนำมาเพิ่มผลผลิตในประเทศไทย

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ส่วนประเทศตุรกี นายกรัฐมนตรีได้ระบุว่า เป็นประเทศโลจิสติกส์ ที่สามารถส่งสินค้าจากเอเชียไปยังยุโรปได้ ซึ่งขณะนี้ประเทศตุรกีได้ตั้งอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป และกำลังจะมีโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ คือความต้องการที่จะเชื่อมเอเชียและยุโรปด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูงลอดมหาสมุทร ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในเดือน ต.ค.นี้ ก็จะทำให้การเดินทางโดยรถไฟจากปักกิ่ง ประเทศจีน ไปสู่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นความจริงได้ นายกรัฐมนตรีจึงเห็นว่าหากไทยทำเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงจาก จ.หนองคาย สู่ประเทศลาว และประเทศจีน ก็จะเกิดเส้นทางใหม่จากเอเชียที่เชื่อมต่อไปยังยุโรปได้ นอกจากนี้การท่องเที่ยวระหว่างไทยและตุรกีก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากว่าปัจจุบันการเดินทางระหว่าง 2 ประเทศ ไม่ต้องใช้วีซ่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2555

นอกจากนี้การเดินทางไปประเทศตุรกีของนายกรัฐมนตรี ยังได้มีโอกาสในการพบปะกับนักศึกษาไทย ที่ได้ทุนศึกษาจากรัฐบาลตุรกี 90 ทุน ซึ่งเป็นนักศึกษาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ประสานงานกับสถานทูตไทยว่าหากนักศึกษาเหล่านี้เรียนจบแล้วต้องการทำงานให้กับประเทศไทยก็ให้สถานทูตจัดหาให้กับนักศึกษาเหล่านี้ด้วย ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังได้พบปะกับเลขาธิการองค์การความร่วมมืออิสลาม หรือโอไอซี ซึ่งทางโอไอซีก็ได้มีการแถลงการณ์ชื่นชมการแก้ไขปัญหา3จังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย

• เห็นชอบงบองค์กรร่วม ไทย-มาเลเซีย สำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ปิโตรเลียม

นายธีรัตถ์ กล่าวต่อว่า กระทรวงพลังงานได้เสนอ ครม.พิจารณาเห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2557 ขององค์กรร่วม ไทย มาเลเซีย ซึ่งองค์กรดังกล่าวเกิดขึ้นจากการจัดตั้ง รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซีย เพื่อสวมสิทธิรับผิดชอบแทนรัฐบาลทั้งสองประเทศในการสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยาการธรรมที่ไม่มีชีวิตในพื้นดินใต้ทะเลและใต้ดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ปิโตรเลียม ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นผลประโยชน์ที่ได้ก็จะแบ่งกันทั้งสองประเทศอย่างเท่าเทียมโดยใน ปี 2556 จะมีการของบประมาณทั้งสิน 4.314 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนปี 2557 ได้มีการของบประมาณทั้งสิ้น 4.165 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งลดลงจากปีนี้เล็กน้อย อย่างไรก็ตามแม้จะมีการของบประมาณที่เยอะแต่องค์กรร่วมดังกล่าวจะมีรายได้จากค่าภาคหลวง รวมทั้งสิ้น 1,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับต้นทุนลงทุนเพียงแค่ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ได้ผลกำไรจากค่าภาคหลวงและค่าปิโตเลียม กลับมาถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ประชุม ครม.จึงอนุมัติเห็นชอบ

• เห็นชอบ ไม่ต้องทำวีซ่าทูต-ราชการเข้าโคลอมเบีย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงอีกว่า คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางเอกอัครราชทูตและราชการระหว่างประเทศไทยและประเทศโคลอมเบีย โดย ไทยและโคลอมเบีย ที่พยายามเจราจาเรื่องการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางเล่มแดง (หนังสือเดินทางเอกอัครราชทูต) และหนังสือเดินทางเล่มน้ำเงิน (หนังสือเดินทางราชการ) ซึ่งเพื่อเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและเพื่อการเดินทางที่สะดวกของทั้งสองประเทศซึงในวันที่ 11-13 ก.ค.นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโคลัมเบียจะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการโดยจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การหารือร่วมกันซึ่งจะทำให้หนังสือทางทูตและหนังสือเดินทางราชการไทยสามรถเข้าประเทศโคลอมเบียได้โดยไม่ต้องมี วีซ่า เป็นระยะเวลา 90 วัน

• ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรอง เสนอ ครม.3 ฝ่าย

ด้านนายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเพื่อเสนอ ครม.จำนวน 3 คณะ ประกอบด้วย 1.ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นประธาน นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ เป็นรองประธาน นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกฯ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธาน 2.ฝ่ายสังคมและกฎหมาย ที่มีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ เป็นประธาน นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน เป็นรองประธาน 3.ฝ่ายความมั่นคง และต่างประเทศ ที่มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นประธาน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา และ รมว.แรงงาน เป็นรองประธาน ทั้งนี้ มีการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทน รมว.ต่างประเทศ ในขณะที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยแต่งตั้งนายพงศ์เทพ เป็นรักษาการอันดับหนึ่ง และนายนิวัฒน์ธำรง เป็นรักษาการอันดับสอง อีกทั้ง ครม.มีการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยมอบหมายให้ รมช.สาธารณสุข ปฏิบัติหน้าที่แทน

• เห็นชอบข้อเสนอ กก.สิทธิฯ รื้อระบบแปะเจี๊ยะ โยน ศธ.ศึกษาปรับหลักสูตร

ส่วน ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมได้รับทราบ และเห็นชอบข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินการคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหาไม่ให้มีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการศึกษาและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มีข้อเสนอมายัง ครม.ดังนี้ 1.เสนอให้ส่งประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยระบุว่า การที่ไม่นำประกาศดังกล่าวไปลงในราชกิจจานุเบกษา อาจจะขัดกับรัฐธรรมนูญได้ 2.ให้มีการปรับปรุงชื่อของประกาศดังกล่าวเพื่อให้มีความชัดเจน และสามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้โดยไม่เกิดความสับสน และ 3.ให้บรรจุการจัดการเรียนการสอน นอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษา โดยให้เหลือเฉพาะรายการที่เป็นการจัดการศึกษานอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามความสมัครใจของผู้ปกครองและนักเรียน

ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้เห็นด้วยกับข้อเสนอในส่วนการปรับปรุงชื่อประกาศกระทรวงศึกษาธิการ แต่ 2 ประเด็นที่เหลือ คือการประกาศกฎกระทรวง ลงราชกิจจานุเบกษา สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานั้นเห็นว่า แม้ว่าจะไม่ได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมายแต่อย่างใด เพราะประกาศดังกล่าวไม่ได้มุ่งหมายที่จะใช้บังคับทั่วไปแต่เป็นคำสั่งของกระทรวงไปยังสถานศึกษาในสังกัดเท่านั้น ส่วนการขอให้ปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษานั้น นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ก็รับจะไปพิจารณาต่อไปว่าจะทำได้หรือไม่

• นายกฯ สั่งบี้ “พีซีซี” คืนค่าเสียหายโรงพักฉาว 396 แห่ง

ในส่วนวาระการพิจารณารับทราบคำขอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ขอให้มีการขยายเวลากันเงินเบิกจ่ายเหลื่อมปีงบประมาณ เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน จำนวน 396 แห่ง โดยขอขยายจาก ปี 2556 ไปจนถึง 2558 นั้น ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวว่า สตช.ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงความต้องการสถานีตำรวจภูธร (สภ.) ต่างๆ ที่ยังคงต้องการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน หลังจากที่มีปัญหาว่าบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ที่เป็นผู้รับดำเนินการโครงการดังกล่าว ในวงเงินประมาณ 6 พันล้านบาท ไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายใน 450 วัน ตามข้อกำหนดของสัญญาจ้าง ซึ่ง สตช.ก็ได้บอกเลิกสัญญากับบริษัทดังกล่าวแล้ว โดยได้มีการเบิกจ่ายให้กับผู้ว่าจ้างไปแล้ว ประมาณ 1.5 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม สตช.ยังความต้องการที่จะก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนอยู่

ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวอีกว่า ในที่ประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นว่าเพื่อความรอบคอบ รวมทั้งเพื่อประหยัดงบประมาณและรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้ได้มากที่สุด ขอให้ สตช.ไปจัดทำรายละเอียดประกอบการพิจารณา และส่งกลับมาให้ ครม.พิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้ยังได้มอบนโยบาย สตช.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทบทวนว่างบประมาณเดิมที่ได้จ่ายให้กับผู้รับดำเนินการโครงการเดิม ได้มีการก่อสร้างหรือดำเนินการไปแล้วหรือไม่ และจำนวนเงินที่จ่ายไปได้รับงานในส่วนที่เหมาะสมหรือไม่ด้วย เพื่อติดตามค่าเสียหายและค่าชดใช้จากบริษัทดังกล่าว นำมาสรุปว่ารัฐจะได้เงินกลับคืนมาเท่าใด และเมื่อนำมาคำนวนกับวงเงินก่อสร้างทั้งหมดจะทำให้มีวงเงินเหลือจากการก่อสร้างเท่าใด

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวต่อว่า นายกฯยังได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระมัดระวังเรื่องของการจัดทำรายละเอียดให้มีความโปร่งใส และเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยจะต้องมีการแสดงเหตุผลประกอบอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่ารัฐบาลไปกลั่นแกล้งหรือไม่ให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ สตช.ร่วมกับกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และกรมโยธาธิการ พิจารณารายละเอียดประกอบโครงการนี้ และนำส่งกลับมาให้ ครม.พิจารณาอีกครั้ง

• งดประชุม ครม.อังคารหน้า รอ ครม.สัญจรอยุธยา 19 ก.ค.

ร.ท.หญิง สุณิสา ยังได้เปิดเผยถึงกำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในระหว่างวันที่ 18-19 ก.ค.นี้ด้วยว่า ในการลงพื้นที่กลุ่มภาคกลางตอนบนครั้งนี้ คณะรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ 4 จังหวัดด้วยกัน ประกอบด้วย พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี และสระบุรี โดยวันที 17-18 ก.ค.จะเป็นช่วงที่คณะรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ดูโครงการต่างๆ ใน 4 จังหวัด และในช่วงบ่ายวันที่ 18 ก.ค.จะมีการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาค (กรอ.) ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ จ.พระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ในวันที่ 16 ก.ค.จะไม่มีการประชุม ครม.ที่ทำเนียบรัฐบาล

• “จุฬาฯ-มธ.-รามฯ” เตรียมพบ “พงศ์เทพ” ส่งการบ้านวิจัยแก้ รธน.

สำหรับความคืบหน้าการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสถาบันการศึกษา 3 แห่ง ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ได้รับมอบหมายให้ทำวิจัยปัญหาเรื่องข้อกฎหมายของกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (10 ก.ค.) คณะผู้วิจัยของ ม.ธรรมศาสตร์ และ ม.รามคำแหง จะเข้าพบ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอข้อคิดเห็นในแง่กฎหมายและแนวทางในมุมของรัฐศาสตร์ เพื่อประกอบการตัดสินใจของคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล หลังจากที่ได้มีการศึกษาวิจัยมาแล้ว จากนั้นจะมีการแถลงต่อสาธารณชนต่อไป แต่ในส่วนของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังไม่มีการยืนยันเข้ามาว่าจะเดินทางเข้ามาเสนอผลการวิจัยในวัน ที่ 10 ก.ค.นี้เลยหรือไม่ ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ผู้วิจัยมีความอิสระในการทำงานอย่างเต็มที่ โดยที่ฝ่ายการเมืองไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการทำงานแต่อย่างใด

• แต่งตั้ง “อุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร” เลขาธิการ สมอ.

นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นต้นไป
กำลังโหลดความคิดเห็น