“องอาจ” งงวินัยการคลังเปลี่ยนได้ภายในสัปดาห์เดียว จากที่ลดจำนำข้าวเหลือตันละ 1.2 หมื่นบาทโดยอ้างวินนัยการคลัง มาวันนี้กลับให้ใช้ราคา 1.5 หมื่นบาทแล้ววินัยหายไปไหน จี้ให้รับความจริงนโยบายจำนำข้าวผิดพลาด เย้ยแนวคิด “ยรรยง” บรรจุข้าวถุงเป็นของชำร่วยนักท่องเที่ยวไม่ใช้ทางแก้ปัญหา ขณะเดียวกันย้อนเกล็ด “นายกฯ ปู” 2 ปี ประดิษฐ์วาทกรรมปราบโกง 10 รอบ แต่การคอร์รัปชันยังเกลื่อน ฝังรากลึกในรัฐบาล อันดับความโปร่งใสทรุด จาก 80 หล่นไปที่ 88 ในปีเดียว
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลปรับลดราคาจำนำข้าวจากตันละ 15,000 เป็น 12,000 บาทภายในสัปดาห์เดียว กลับไปเป็น 15,000 บาทอีกครั้ง ชี้ให้เห็นว่านโยบายจำนำข้าวมีความผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ความผิดพลาดเริ่มต้นคือการรับจำนำในราคาสูงกว่าตลาด ทำให้ไม่มีชาวนาคนใดไถ่ถอนข้าวคืน จนข้าวอยู่ในสต๊อกจำนวนมาก ทำให้เกิดความยากลำบากต่อการระบาย และนโยบายที่เปลี่ยนไปมาเหมือนไม้หลักปักเลน หาความแน่นอนในโครงการไม่ได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของกระบวนการผลิตและการจำหน่ายข้าวไทยไปสู่ตลาดด้วย นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อการระบายข้าวเป็นอย่างมาก ทั้งในส่วนภาครัฐและเอกชน
นายองอาจกล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในวันที่ ครม.เห็นชอบให้ลดราคาจำนำเป็น 12,000 บาท อ้างวินัยการคลัง ค่าเงินบาท และราคาตลาดโลก เมื่อกลับมาใช้ราคาเดิมก็ต้องถามว่าประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องวินัยการคลังแล้วหรือ ทำไมวินัยการเงินการคลังจึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็วภายในหนึ่งสัปดาห์ การเปลี่ยนแปลงจึงน่าจะเป็นเหตุผลอื่นมากกว่าเรื่องวินัยการคลังเพราะไม่มีวินัยการเงินการคลังที่ไหนในโลกนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วภายใน 1 สัปดาห์ อีกทั้งราคาข้าวไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก เช่นเดียวกับค่าเงินก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ พรรคขอเรียกร้อง 3 ประการ คือ 1. ขอให้รัฐบาลเร่งสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการผลิตและระบายข้าวของไทยให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 2. รัฐบาลประกาศว่าจะพยายามเร่งระบายข้าวให้ได้เดือนละ 1 ล้านตัน สิ่งที่อยากเรียกร้องคือให้รัฐบาลระบายข้าวในราคาที่ไม่ก่อให้เกิดภาวะการขาดทุนเพิ่มเติมจากที่เป็นอยู่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา 3. เนื่องจากมีสต๊อกข้าวจำนวนมากที่ยังไม่ได้ระบายออกไป ขอให้คำนึงถึงข้าวที่จะระบายออกไปด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อข้าวไทยโดยรวมทั้งหมด ทั้งหมดเป็นปัญหาเฉพาะหน้า 3 ประการที่รัฐบาลต้องดำเนินการหากมีความประสงค์จะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป
ส่วนที่นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ มีนโยบายที่จะนำข้าวบรรจุถุงเป็นของชำร่วยให้นักท่องเที่ยวนั้น นายองอาจกล่าวว่า เห็นใจว่ารัฐบาลพยายามระบายข้าวออกไป แต่สิ่งสำคัญ คือ การระบายข้าวโดยให้เป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวน่าจะเป็นโครงการระยะยาวที่ไม่สามารถแก้ปัญหาระยะสั้นได้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่ได้บริโภคข้าวทั้งหมด และประเทศไทยมีของที่ระลึกอื่นที่สามารถเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ ดังนั้นปัญหาคืออยู่ที่การเร่งระบายข้าวส่วนจะระบายเป็นของที่ระลึกแถมหม้อด้วยนั้นไม่ใช่จะสามารถสร้างได้ในปีสองปี พร้อมกับยกตัวอย่างว่ากว่าที่ประเทศเกาหลีใต้จะสร้างความเชื่อถือให้กับโสมเกาหลีได้ต้องใช้เวลานาน จึงไม่เชื่อว่าวิธีการนี้จะแก้ปัญหาโครงการจำนำข้าวในปัจจุบันได้
นายองอาจยังกล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำ ครม.และข้าราชการระดับสูง หัวหน้าส่วนราชการ ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ตนมองว่าเป็นเรื่องดี และขออนุโมทนาในสิ่งที่รัฐบาลจะดำเนินการด้วย เพราะการคอร์รัปชันเป็นมะเร็งร้ายของสังคมไทย และช่วงที่นายกฯ บริหารประเทศมา 2 ปี การคอร์รัปชันเป็นเชื้อโรคร้ายที่ฝังรากลึกในรัฐบาลที่ยังไม่สามารถรักษาได้ มีแต่จะแพร่เชื้อรุนแรงขึ้น ดังนั้นการป้องกันการคอร์รัปชันจึงต้องลงมือปฏิบัติจริง ไม่ใช่แค่ประกาศด้วยคำพูด
นายองอาจกล่าวว่า ตนตรวจสอบย้อนหลังก็พบว่านายกฯ พูดเรื่องการคอร์รัปชันต่อสาธารณชนในช่วง 2 ปีทีผ่านมา 10 ครั้งแล้ว ครั้งแรกในการแถลงนโยบายของ ครม.วันที่ 23 ส.ค. 54 ครั้งที่ 2 วันที่ 25 ก.ย. 54 ในงานเดินรณรงค์รวมพลังต่อต้านคอร์รัปชัน ครั้งที่ 3 วันที่ 17 พ.ค. 55 ประกาศยุทธศาสตร์การปราบการทุจริตคอร์รัปชัน ครั้งที่ 4 วันที่ 6 มิ.ย. 55 นายกฯ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “บทบาทภาครัฐต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” ในงานนิทรรศการและการสัมมนาผลการขับเคลื่อนยุทธศาตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2551-2554)
ครั้งที่ 5 ออกมติครม 24 ก.ค. 55 เห็นชอบในการแต่งตั้งศูนย์ปฏิบัตการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริคอร์รัปชันในส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และส่วนราชการไม่สังกัดนายกรัฐมนตรี
ครั้งที่ 6 วันที่ 18 ส.ค. 55 เป็นประธานเปิดงานประกาศแนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไปของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ครั้งที่ 7 วันที่ 4 ก.ย. 55 นายกฯ เป็นประธานการรับฟังการแถลงยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2556-2560 และยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ. 2556-2560 ครั้งที่ 8 วันที่ 22 ม.ค. 56 นายกฯ มอบนโยบายสำหรับขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศและการชี้แจงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ครั้งที่ 9 วันที่ 19 มิ.ย. 56 นายกฯ เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อทบทวน และจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ และครั้งที่ 10 วันที่ 2 ก.ค.56 ในการประกาศเจตนารมณ์การบริหารประเทศ ที่ทำเนียบรัฐบาล
นายองอาจกล่าวว่า 2 ปีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์บริหารประเทศมีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันมาแล้วสิบครั้ง จึงต้องตั้งคำถามว่าผลการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไร ซึ่งพรรคได้ตรวจสอบแล้วพบว่าสถาบันจัดอันดับการทุจริตคอร์รัปชันหรือองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ จัดอันดับเรื่องการคอร์รัปชันในเอเชีย ประเทศไทยติดอันดับที่ 11 ขณะที่อันดับโลกในปี 2011 หรือ 2554 ไทยอยู่ในอันดับที่ 80 หลังจากนายกฯ ประกาศป้องกันการคอร์รัปชันปีถัดมาคือ 2012 อันดับของไทยร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 88 จึงอยากถามว่านายกฯ รู้หรือไม่ว่าการทุจริตในประเทศถูกจัดอันดับเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้การคอร์รัปชันไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะในวันที่ 18 ส.ค. 55 นายกฯประกาศว่าหากประชาชนพบการทุจริตให้ส่งเรื่องร้องเรียนสายด่วน 1206 และช่องทางต่างๆ อาทิ ตู้รับเรื่องร้องเรียนการทุจริตคอร์รัปชันตามสถานที่ต่างๆ และเว็บไซต์ แต่ ในวันที่ 2 ก.ค. 56 ก็ยังประกาศเหมือนเดิมทุกอย่าง จึงไม่ทราบว่าตอนที่นายกฯอ่านโพยปีที่แล้วทราบหรือไม่ว่าพูดอะไรไปบ้างและมีความคืบหน้าไปอย่างไร เพราะในปีนี้ก็ยังพูดเหมือนเดิมอีก และเชื่อว่าในปีที่ 3 หากนายกฯยังมีโอกาสบริหารประเทศต่อก็คงพูดเหมือนเดิม จึงฝากไปถึงนายกฯ ว่า การทุจริตบั่นทอนประเทศและสังคมไทย เมื่อเป็นนายกฯ อย่าเอาเรื่องการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นมาสร้างวาระ วาทกรรมให้ดูดี อย่าเอาเรื่องการทุจริตมาสร้างภาพเป็นระยะ เพราะจะไม่ช่วยอะไรเลย เนื่องจากมีอำนาจในมืออยู่แล้วก็ขอให้ดำเนินการทุกวิถีทางที่จะทำให้การคอร์รัปชันทุเลาเบาบางลงด้วย คนไทยจะได้ไม่ต้องฟังคำปาฐกถาซ้ำในปีหน้า